หลักการ กำหนดโครงการฝึกอบรม
| เมื่อมีหลักสูตรการฝึกอบรมที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เพื่อให้การบริหารฝึกอบรมสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจำเป็นต้องเขียนโครงการฝึกอบรมขึ้น เพื่อประโยชน์ดังต่อไปนี้ |
| 1. เพื่อนำเสนอผู้บังคับบัญชาระดับสูง เพื่อขออนุมัติให้ดำเนินการตามโครงการเนื่องจากการดำเนินการฝึกอบรมนั้น จะต้องกระทบหรือเกี่ยวข้องกับบุคคลและหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งอยู่นอกเหนือจากการควบคุมบังคับบัญชาของหน่วยงานที่จัดการฝึกอบรม ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องให้ผู้บังคับบัญชาในระดับสูงให้ความเห็นชอบเสียก่อน |
| 2. เพื่อเป็นการอนุมัติงบประมาณสำหรับการฝึกอบรมจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงในการจัดและดำเนินโครงการ |
| 3. เพื่อใช้แจ้งให้บุคคลและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทราบถึงรายละเอียดต่าง ๆ อัน จะเป็นประโยชน์ในการร่วมมือประสานงานกันต่อไป |
| 4. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้บริหารงานฝึกอบรม |
| ความหมายของโครงการฝึกอบรม |
| ผู้เขียนเข้าใจว่า คำว่า "โครงการ" เป็นคำศัพท์ที่เดิมอยู่ในวิชาการเกี่ยวกับการวางแผน ซึ่งหมายถึง ขั้นตอนที่ลงสู่ รายละเอียด มากที่สุดในกระบวนการวางแผน ส่วนคำว่า"โครงการฝึกอบรม" นั้น ในคู่มือการเขียนโครงการฝึกอบรม /สัมมนาของ สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ. ให้คำจำกัดความว่า คือ "กิจกรรมที่ระบุรายละเอียดถึง การปฏิบัติงาน อย่างมีขั้นตอน ของการดำเนินงานต่างๆ (ในที่นี้ก็คือ การจัดฝึกอบรม - ผู้เขียน) ตลอดจนการใช้ทรัพยากรที่ประสานสอดคล้องกัน เพื่อให้บรรลุวัตถุ ประสงค์และเป้าหมายที่ต้องการ ภายในระยะเวลาที่กำหนด" หรือ "เป็นแผนงานของการปฏิบัติงาน (เพื่อจัดการฝึกอบรม - ผู้เขียน) ให้เป็นไปตามขั้นตอนและวัตถุประสงค์ที่วางไว้" [1] |
| รูปแบบ/โครงสร้างในการเขียนโครงการฝึกอบรม |
| จากข้อเขียนต่าง ๆ ของนักวิชาการด้านการบริหารงานฝึกอบรม สรุปได้ว่า การเขียนโครงการฝึกอบรม ควรจะ ประกอบด้วยหัวข้อดังต่อไปนี้ |
| 1. ชื่อโครงการ |
| โดยทั่วไป ชื่อโครงการมีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 เป็น ประเภทของโครงการ โดยทั่วไปมักใช้ชื่อโครงการ 3 ประเภท คือ 1. โครงการฝึกอบรม มักจะหมายถึง โครงการที่เน้นถึงการจัดประสบการณ์ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และทัศนคติในสิ่งที่บกพร่องเป็นปัญหา หรือเพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานที่จำเป็น โดยเทคนิค วิธีการฝึกอบรม อาจมีหลายชนิดประกอบกัน แต่มักจะเน้นการบรรยายเป็นส่วนประกอบสำคัญ |
| 2. โครงการสัมมนา มักจะหมายถึง โครงการที่มีลักษณะเป็นการประชุมโดยเชิญผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในงาน หรือเรื่องที่กำหนด มาอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น และประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เทคนิควิธีการ ที่ใช้มักจะเป็นเทคนิค ที่เน้นกลุ่มผู้เข้าอบรมเป็น ศูนย์กลาง |
| 3. โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ หมายถึง การฝึกอบรมที่เน้นให้ผู้เข้าอบรมเกิดความสามารถหรือทักษะในการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม โดยเน้นการฝึกปฏิบัติของผู้เข้าอบรมเป็นสำคัญ |
| ส่วนที่ 2 เป็นลักษณะหรือความเกี่ยวข้องของโครงการ ว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร หรือเกี่ยวกับใคร ส่วนใหญ่มักจะกำหนด ชื่อโครงการใน 3 ลักษณะ คือ | ||||
| 1. กำหนดตามตำแหน่งงานของผู้เข้ารับการฝึกอบรม เช่น การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย การฝึกอบรม เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการยุคใหม่ การฝึกอบรมนักบริหารงานมหาวิทยาลัย การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ธุรการ ฯลฯ | ||||
| 2. กำหนดตามลักษณะของเนื้อหาวิชาหลักของหลักสูตร เช่น การฝึกอบรมเทคนิคการนำเสนองานอย่างมีประสิทธิภาพ การฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารงานฝึกอบรม การประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง การวางแผนการปฏิบัติงาน การฝึกอบรมหลักสูตร การใช้งานโปรแกรม Microsoft Excel for Windows การประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อรื้อปรับกระบวนการทำงาน ในสำนักงาน อธิการบดี ฯลฯ | ||||
| 3. กำหนดตามลักษณะของเนื้อหาวิชาหลักของหลักสูตรและตำแหน่งของผู้เข้าอบรมประกอบกัน เช่น การฝึกอบรม ปฐมนิเทศ ข้าราชการฝ่ายบริการทางวิชาการและธุรการ การฝึกอบรมการพัฒนาเจ้าหน้าที่ระดับบริหาร การสัมมนาการบริหาร สำหรับ ผู้บังคับบัญชา การฝึกอบรมหลักสูตรสุขศึกษาสำหรับผู้ช่วยทันตแพทย์ ฯลฯ | ||||
| 2. หลักการและเหตุผล หรือ เหตุผลและความจำเป็น | ||||
| กริช อัมโภชน์ ได้อธิบายถึงแนวการเขียนหลักการและเหตุผล ไว้พอสรุปได้ดังนี้ 1) หลักการที่ควรเป็นหรือควรยึดถือปฏิบัติ 2) สภาพหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมของผู้ที่ควรจะต้องมาเข้ารับการฝึกอบรม) ซึ่งเบี่ยงเบนไปจากหลักการที่ควรจะเป็น และเป็นสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนา 3) ระบุถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความเบี่ยงเบนระหว่างหลักการกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงว่าเสียหายเพียงใด หรือมีความรุนแรงแค่ไหน หากปล่อยทิ้งไว้จะเสียหายมากน้อยอีกสักเท่าใด 4) ระบุว่าความเบี่ยงเบนจากหลักการหรือสภาพที่ควรจะเป็นหรือปัญหาตามข้อ 2) นั้นเป็นความจำเป็นในการฝึกอบรม อย่างไร และเพียงใด 5) สรุปว่า เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว จำเป็นที่จะต้องฝึกอบรมใคร ในเรื่องอะไร | ||||
| ส่วนคู่มือการเขียนโครงการฝึกอบรม/สัมมนาของสถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สรุปถึงวิธีการเขียนหลักการ และเหตุผลว่า ควรจะเขียนดังนี้ | ||||
| 1. เขียนในลักษณะบรรยายความ ไม่นิยมเขียนเป็นข้อ ๆ 2. จะต้องเขียนให้ชัดเจน อ่านเข้าใจง่าย และมีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ 3. ย่อหน้าแรก เป็นการบรรยายถึงเหตุผลและความจำเป็นในการจัดโครงการฝึกอบรมครั้งนี้ โดยบอกที่มา และความ สำคัญ ของโครงการฝึกอบรมนั้น ๆ 4. ย่อหน้าที่สอง เป็นการอธิบายถึงปัญหาข้อขัดข้อง หรือพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนจากหลักการที่ควรจะเป็น ซึ่งทำให้เกิด ความ เสียหายในการปฏิบัติงาน (หรืออาจเขียนรวมไว้ในย่อหน้าที่ 1 ก็ได้) 5. ย่อหน้าสุดท้าย เป็นการสรุปว่าจากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้รับผิดชอบในการพัฒนาบุคคล จึงเห็นความจำเป็น ที่จะต้อง จัดโครงการฝึกอบรมขึ้นในเรื่องอะไร และสำหรับใคร เพื่อให้เกิดผลอย่างไร | ||||
| แนวทางในการเขียนหลักการและเหตุผลดังกล่าวข้างต้น โดยสรุปแล้วมีแนวการเขียนคล้ายคลึงกัน ดังตัวอย่าง การเขียนหลักการและเหตุผลต่อไปนี้ | ||||
| ตัวอย่าง การเขียนหลักการและเหตุผล | ||||
| ||||
| ที่มา โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง เทคนิคการประเมินผลการฝึกอบรม จัดโดย สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ. |
| แนวทางในการเขียนหลักการและเหตุผล ทั้งสองแนวทางดังกล่าวข้างต้น นับว่าเป็นการเขียนที่สมบูรณ์ครบถ้วนดี อย่างไรก็ตาม หากผู้รับผิดชอบจัดการฝึกอบรมต้องการเขียนแบบหลักการและเหตุผลแบบสั้น ก็อาจเขียนในแนวนี้ได้ คือ | ||
| 1. เขียนถึงความเป็นมาหรือความสำคัญของเรื่องที่ประสงค์จะจัดโครงการฝึกอบรม และอาจรวมไปถึงสภาพการณ์ หรือหลักการที่ควรจะเป็นในเรื่องดังกล่าว | ||
| 2. เขียนถึงสภาพปัญหาหรือความเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นจริงในเรื่องนั้นๆ โดยอาจระบุถึงความรุนแรงของปัญหา และความ เสียหาย ที่เกิดขึ้นด้วยหรือไม่ก็ได้ หรือ เขียนถึงแนวโน้มของปัญหาที่อาจเกิดขึ้น หากไม่มีการเตรียมป้องกัน ไม่ให้เกิดขึ้นด้วย การ พัฒนาบุคลากรกลุ่มดังกล่าวด้วยการฝึกอบรมที่เห็นควรจะจัดให้มีขึ้น | ||
| 3. สรุปว่า เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหา หรือ เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าว จึงจำเป็นต้องจัดฝึกอบรมขึ้นสำหรับใคร ในเรื่องอะไร | ||
| ทั้งนี้ ในการเขียนไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกแต่ละขั้นตอนออกเป็นย่อหน้า อาจเขียนรวมกันเป็นเพียงย่อหน้าเดียว สองหรือ สามย่อหน้าก็ได้ แล้วแต่เนื้อความว่ายาวมากน้อยเพียงใด ดังตัวอย่างการเขียนหลักการและเหตุผลข้างล่างนี้ | ||
| ตัวอย่าง การเขียนหลักการและเหตุผลอย่างง่าย | ||
| ||
| ที่มา : โครงการฝึกอบรม หลักสูตร นักบริหารงานมหาวิทยาลัย รุ่นที่ 1 จัดโดย งานฝึกอบรมกองการเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ | ||
| 3. วัตถุประสงค์ของโครงการฝึกอบรม [2] | ||
| นักวิชาการด้านการฝึกอบรมกล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมที่ดีควรเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม กล่าวคือ ระบุไว้ล่วงหน้าว่า เมื่อผ่านการฝึกอบรมแล้ว ผู้เข้าอบรมควรจะมีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง โดยเป็นพฤติกรรม ซึ่งสามารถสังเกตได้และ วัดได้ เพื่อจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อการประเมินผลและติดตามผล | ||
| ดังนั้น เมื่อจะเขียนวัตถุประสงค์ของโครงการฝึกอบรม เราอาจยกวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรม ซึ่งได้กำหนดขึ้น โดยการเขียน ในขั้นตอนของการกำหนดหลักสูตร มาทบทวนว่ามีองค์ประกอบของวัตถุประสงค์ที่ดี ดังนี้ หรือไม่ | ||
| 1. สามารถเข้าใจง่าย ชัดเจน ไม่คลุมเครือ 2. เฉพาะเจาะจง ไม่กว้างจนเกินไป - มิฉะนั้นจะทำได้ยากและวัดยาก 3. ระบุถึงผลลัพธ์ที่ต้องการ ว่าสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นคืออะไร 4. จะต้องสามารถวัดได้ ทั้งในแง่ของปริมาณและคุณภาพ 5. มีความเป็นไปได้ ไม่เลื่อนลอย หรือทำได้ยากเกินความเป็นจริง | ||
| นอกจากนั้น วรภา ชัยเลิศวนิชกุล [3] ได้เสนอแนะถึงคำกริยาที่ควรหลีกเลี่ยง ในการเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เนื่องจากทำให้วัดและประเมินการฝึกอบรมได้ยาก ได้แก่ คำว่าเพื่อให้... | ||
| - เข้าใจถึง - ทราบถึง - คุ้นเคยกัน - รู้ซึ้งถึง - สนใจใน - เคยชินกับ - ยอมรับใน - เชื่อถือใน - สำนึกใน - ซาบซึ้งใน ฯลฯ | ||
| ส่วนคำที่อาจใช้ในการเขียนวัตถุประสงค์ของโครงการ แล้วทำให้สามารถวัดและประเมินผลการฝึกอบรมได้ ได้แก่ คำว่าเพื่อให้ | ||
| - แสดง - กระทำ - ดำเนินการ - วัด - เลือก - แก้ไข - สาธิต - ตัดสินใจ - วิเคราะห์ - วางแผน - มอบหมาย - จำแนก - จัดลำดับ - ระบุ - อธิบาย - แก้ปัญหา - ปรับปรุง พัฒนา - ตรวจสอบ | ||
| ดังตัวอย่างการเขียนวัตถุประสงค์ของโครงการฝึกอบรม ดังต่อไปนี้ | ||
| ||
| ที่มา โครงการฝึกอบรมความรู้พื้นฐานด้านการฝึกอบรม จัดโดย สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ. |
| 4. คุณสมบัติของผู้เข้ารับการฝึกอบรม | ||
| เป็นการระบุว่า ผู้เข้ารับการฝึกอบรม/ผู้เข้าร่วมสัมมนา/ผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการนั้นมีคุณสมบัติอย่างไร ดังนี้ | ||
| 4.1 เป็นบุคลากรฝ่ายใด หรือดำรงตำแหน่งใด ระดับใด และสังกัดหน่วยงานใดบ้าง 4.2 ระบุระดับความรู้พื้นฐาน ว่าจะต้องได้ผ่านการฝึกอบรมใดมาก่อน หรือต้องมีความรู้พื้นฐาน หรือประสบการณ์ใด อยู่แล้วบ้าง หรือ ในบางหลักสูตรอาจจำเป็นต้องระบุวุฒิการศึกษาก็ได้ 4.3 ต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ หรือกำลังจะได้รับมอบหมายงานใด แล้วแต่ความจำเป็น ของแต่ละโครงการ 4.4 อาจระบุคุณสมบัติเกี่ยวกับความสามารถในการมาเข้ารับการฝึกอบรมได้ตลอดหลักสูตร หรือเกี่ยวกับการยินยอมอนุญาต ของผู้บังคับบัญชาด้วยก็ได้ (ในกรณี หลักสูตรฝึกอบรมระยะยาว) 4.5 อาจระบุว่าเป็นผู้เข้ารับการฝึกอบรมจากหน่วยงานใดบ้าง จำนวนกี่คน คิดเป็นจำนวนรวมเท่าไร และหากจะมีการจัดแบ่ง เป็นรุ่น คาดว่าจะมีกี่รุ่น และรุ่นละเท่าใดด้วยก็ได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้ | ||
| ตัวอย่างที่ 1 : การระบุคุณสมบัติของผู้เข้ารับการอบรม | ||
| ||
| ที่มา : โครงการฝึกอบรม การพัฒนาเจ้าหน้าที่ระดับบริหาร จัดโดย งานฝึกอบรมกองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ||
| และ ตัวอย่างที่ 2: การระบุคุณสมบัติของผู้เข้ารับการฝึกอบรมแบบระบุจำนวน | ||
| ||
| ที่มา : โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่องการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างสำนักงานอธิการบดี มธ. | ||
| 5. หลักสูตรฝึกอบรม | ||
| เจ้าหน้าที่ผู้เขียนโครงการฝึกอบรม จะต้องนำหลักสูตรและรายละเอียดหัวข้อวิชาที่ได้รับการสร้างหรือพัฒนา ไว้แล้วตามขั้นตอนในบทที่ 4 มาบรรจุลงในโครงการฝึกอบรม โดยมีแนวทาง ดังนี้ | ||
| 5.1 ระบุหลักสูตรฝึกอบรมและหัวข้อวิชาทั้งหมดที่จะทำการฝึกอบรม โดยเรียงตามลำดับหมวดวิชาและหัวข้อวิชา ที่อยู่ในแต่ละหมวด (ถ้าเป็นหลักสูตรฝึกอบรมระยะยาว และมีหลายหมวด) พร้อมทั้งระบุจำนวนชั่วโมงที่กำหนดไว้ด้วย ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้ |
| ||||||||||||||
| ||||||||||||||
| ||||||||||||||
| ที่มา : โครงการฝึกอบรม หลักสูตร นักบริหารงานมหาวิทยาลัย รุ่นที่ 1 จัดโดย งานฝึกอบรมกองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ | ||||||||||||||
| 5.2 ระบุรายละเอียดของหัวข้อวิชาทุกหัวข้อวิชา โดยเรียงตามลำดับตามที่ระบุไว้ในหลักสูตร โดยในรายละเอียดของ แต่ละหัวข้อวิชา จะประกอบด้วย ชื่อหัวข้อวิชา วัตถุประสงค์ แนวการอบรม/ประเด็นสำคัญ วิธีการ/เทคนิคฝึกอบรม และระยะเวลา ฝึกอบรม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ | ||||||||||||||
| ตัวอย่าง : รายละเอียดหัวข้อวิชา | ||||||||||||||
| ||||||||||||||
| รายละเอียดหัวข้อวิชานี้ หากเป็นหลักสูตรระยะยาว และมีหัวข้อวิชาจำนวนมาก ผู้เขียนโครงการอาจนำไปแนบท้าย โครงการฝึกอบรมก็ได้ (โปรดดูตัวอย่างหลักสูตรและรายละเอียดหัวข้อวิชาเพิ่มเติมในภาคผนวก หมายเลข 5) | ||||||||||||||
| หลักการสร้างหลักสูตร กำหนดหัวข้อวิชา และการจัดทำรายละเอียดหัวข้อวิชา อธิบายไว้อย่างละเอียดแล้วในบทที่ 4 |
| 6. ระยะเวลาในการฝึกอบรม | ||
| การเขียนระยะเวลาฝึกอบรม หมายถึงการระบุว่า | ||
| 6.1 การฝึกอบรมจะใช้ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ใด ถึงเมื่อใด ตรงกับวันอะไรบ้าง และรวมกันแล้วเป็นระยะเวลาเท่าใด จำนวนกี่วันทำการหรือกี่ชั่วโมง | ||
| 6.2 ระบุด้วยว่าวันฝึกอบรมตรงกับวันอะไรบ้าง( เช่น วันจันทร์-ศุกร์) ทั้งนี้ เนื่องจากการฝึกอบรมบางโครงการ อาจใช้เวลาฝึกอบรมเป็นระยะๆ ไม่ติดต่อกัน เช่น อาจเป็นทุกวันจันทร์และพุธ ของแต่ละสัปดาห์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่เท่านี้ จนถึงอีกวันที่หนึ่งก็ได้ ผู้เขียนโครงการจำเป็นต้องระบุให้ชัดเจนเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดด้วยว่า รวมแล้วเป็นวันฝึกอบรมกี่วัน | ||
| นอกจากนั้น การกำหนดวันที่จะฝึกอบรมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าหากไม่รอบคอบพออาจก่อให้เกิดปัญหาว่าผู้ที่ควรจะมา เข้ารับการฝึกอบรมอาจไม่สามารถมาเข้ารับการฝึกอบรมได้ มีปัจจัยที่ควรคำนึงในการกำหนดวันฝึกอบรม คือ | ||
| 1) ลักษณะการปฏิบัติงาน ผู้จัดโครงการควรคำนึงถึงลักษณะการปฏิบัติงานของผู้เข้าอบรมว่าจะต้องมีช่วงใด ของปีหนึ่ง ๆ ที่สามารถจะมาเข้ารับการฝึกอบรมได้สะดวกกว่าช่วงเวลาอื่น ๆ หรือช่วงใดที่จะไม่สามารถเข้ารับการฝึกอบรมได้อย่างแน่นอน เช่น หากผู้ที่จะต้องเข้ารับการฝึกอบรมปฏิบัติงานด้านการเงินการบัญชี ก็จะต้องมีปริมาณงานมากและเร่งด่วน ในช่วงใกล้จะสิ้นปี งบประมาณและสิ้นปีการศึกษา ย่อมไม่สามารถมาเข้าฝึกอบรมในช่วงดังกล่าวได้ | ||
| 2) เทศกาลและวันที่ควรยกเว้น ในช่วงใกล้เทศกาลที่สำคัญๆ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ และตรุษจีน เป็นช่วงที่ควร งดเว้น ไม่กำหนดวันฝึกอบรม เพราะเป็นช่วงที่ทุกคนจะสงวนไว้สำหรับการรื่นเริงหรือพักผ่อนกับครอบครัว แม้กระทั่งช่วงวัน ที่อยู่ระหว่าง วันหยุดประจำปีต่าง ๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงการกำหนดวันฝึกอบรม เพราะผู้เข้าอบรมอาจถือว่าเป็นความจำเป็น และยอมขาดฝึกอบรม ในวันดังกล่าว ทำให้การเข้าฝึกอบรมไม่สมบูรณ์ไปอย่างน่าเสียดาย | ||
| 3) ระยะทางและการเดินทางของผู้เข้าอบรม หากผู้เข้าอบรมต้องเดินทางไป-กลับมายังสถานที่อบรมเป็นระยะทางไกล เช่น สถานที่ฝึกอบรมจัดอยู่ ณ มธ.ท่าพระจันทร์ โดยมีผู้เข้าอบรมส่วนหนึ่งปฏิบัติงาน ณ มธ.ศูนย์รังสิต การกำหนดระยะเวลา ฝึกอบรม เพียงครึ่งวันย่อมควรหลีกเลี่ยง เพราะจะทำให้ผู้เข้าอบรมเสียเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานต่อได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง การเดินทางมาเข้ารับ การฝึกอบรมย่อมจะไม่คุ้มค่า นอกจากนั้น การฝึกอบรมนอกสถานที่ย่อมจะต้องคำนึงถึง ระยะเวลาเดินทาง ไปยังสถานที่ฝึกอบรม ด้วยในทำนองเดียวกัน | ||
| ตัวอย่าง การเขียนระยะเวลาฝึกอบรม | ||
| ||
| ที่มา : โครงการฝึกอบรม การพัฒนาเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการยุคใหม่ หลักสูตรที่ 1 จัดโดย งานฝึกอบรม กองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
| 7. สถานที่ในการฝึกอบรม | |||
| เป็นการระบุว่า จะใช้สถานที่ใดบ้างเป็นสถานที่ฝึกอบรม หากมีหลายแห่งควรจะต้องระบุด้วยว่า วันเวลาใด ใช้สถานที่ใดในการฝึกอบรม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ | |||
| |||
| ที่มา : โครงการฝึกอบรมการพัฒนาเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการยุคใหม่ จัดโดย งานฝึกอบรม มธ. | |||
| 8. วิทยากรในการฝึกอบรม | |||
| เป็นการระบุชื่อวิทยากร ตำแหน่ง และส่วนราชการที่สังกัด หากยังไม่ทราบแน่นอนว่าวิทยากรจะเป็นใคร หรือยังไม่สามารถ ระบุได้ อาจระบุเพียงว่าวิทยากรมาจากหน่วยงานหรือองค์กรใดเท่านั้นก็ได้ ดังตัวอย่างนี้ | |||
| |||
| ที่มา : โครงการฝึกอบรม การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม Microsoft Excel for Windows จัดโดย งานฝึกอบรม ร่วมกับ สถาบันประมวลข้อมูลเพื่อการศึกษาและการพัฒนา มธ. | |||
| 9. เทคนิค/วิธีการฝึกอบรม | |||
| เป็นการระบุถึงเทคนิคหรือวิธีการฝึกอบรมที่คาดว่าจะใช้ในการฝึกอบรมหัวข้อวิชาต่างๆ นำมารวบรวมไว้ภายใต้หัวข้อนี้ ซึ่งจะทำให้พอเข้าใจได้ว่า จะมีการใช้เทคนิคอะไรบ้างระหว่างการฝึกอบรม ดังตัวอย่างข้างล่างนี้ | |||
| |||
| ที่มา : การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อประมวลวิชา ในโครงการฝึกอบรมการพัฒนาเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ จัดโดย งานฝึกอบรม กองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | |||
| 10. การประเมินผล | |||
| เป็นการระบุว่า จะมีการประเมินผลหรือติดตามผลโครงการฝึกอบรมนั้น ๆ ด้วยวิธีใด โดยใช้เครื่องมืออะไร เช่น | |||
| - ประเมินผลด้วยการให้ผู้เข้าอบรมทำแบบทดสอบก่อน-หลังการฝึกอบรม - สังเกตการณ์การมีส่วนร่วม และการเรียนรู้ของผู้เข้าอบรมระหว่างการฝึกอบรม - ให้ผู้เข้าอบรมกรอกแบบประเมินรายวิชา เพื่อประเมินเนื้อหา วิธีการฝึกอบรม และวิทยากรเมื่อเสร็จสิ้นการอบรมทุกวิชา - ให้ผู้เข้าอบรมกรอกแบบประเมินโครงการ เมื่อเสร็จสิ้นการอบรมแล้ว - ให้ผู้เข้าอบรมแบ่งกลุ่มทำแบบฝึกปฏิบัติ (Assignment) ในช่วงท้ายของการอบรม ฯลฯ | |||
| นั่นคือ ในขั้นตอนของการเขียนโครงการฝึกอบรมนั้น เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการจะต้องมีการดำเนินการ ตามกระบวนการ ประเมินผลโครงการฝึกอบรมไปบ้างแล้ว คือ อย่างน้อยจะต้องได้มีการกำหนดแล้วว่า แผนการรวบรวมข้อมูล ในการประเมินผล และติดตามผลการฝึกอบรมจะเป็นอย่างไร จะดำเนินการประเมินผลด้วยวิธีการใด และใช้เครื่องมืออะไร จึงจะสามารถ นำมาระบุไว้ ในโครงการฝึกอบรมดังกล่าวข้างต้นได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ | |||
| |||
| ที่มา : โครงการฝึกอบรมปฐมนิเทศบุคลากรฝ่ายบริการทางวิชาการและธุรการ จัดโดย งานฝึกอบรม กองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
| 11. การรับรองผลการฝึกอบรม/การผ่านการฝึกอบรม | ||||||||||||
| เป็นการระบุถึงเงื่อนไขในการที่จะรับรองว่าผู้เข้าอบรมแต่ละรายได้ผ่านการฝึกอบรมหรือไม่ ซึ่งมักจะแบ่งออกเป็นเงื่อนไข เกี่ยวกับ | ||||||||||||
| 1. ระยะเวลาการเข้ารับการฝึกอบรม และ 2. การผ่านการทดสอบ/การส่งผลงาน/ผลการฝึกปฏิบัติตามที่ได้รับมอบหมาย หรือดังตัวอย่างข้างล่างนี้ | ||||||||||||
| ||||||||||||
| ที่มา : โครงการฝึกอบรม การใช้โปรแกรม Microsoft Excel for Windows จัดโดย งานฝึกอบรมกองการเจ้าหน้าที่ ร่วมกับ สถาบันประมวลข้อมูลเพื่อการศึกษาและการพัฒนา มธ. | ||||||||||||
| 12. จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ | ||||||||||||
| ในโครงการฝึกอบรมของหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งจะขออนุมัติโครงการจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ผ่านกองคลังนั้น ในประมาณการค่าใช้จ่ายที่จะตั้งของบประมาณจะต้องมีข้อมูลประกอบอย่างครบถ้วน นั่นคือ มีการระบุว่าบุคคลที่จะเข้าร่วมโครงการ หรือผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งจะต้องนำมาคำนวณค่าใช้จ่ายด้วยนั้น มีกี่ประเภทๆ ละ กี่คน รวมเป็นกี่คน ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการคิด คำนวนค่าใช้จ่ายของโครงการดังตัวอย่างข้างล่างนี้ | ||||||||||||
| ||||||||||||
| ที่มา : โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อรื้อปรับกระบวนการทำงานในสำนักงานอธิการบดี ครั้งที่ 1จัดโดย งานฝึกอบรม กองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ||||||||||||
| 13. ประมาณการค่าใช้จ่ายของโครงการฝึกอบรม | ||||||||||||
| ในการจัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายของโครงการฝึกอบรม ก่อนอื่นผู้รับผิดชอบจะต้อง ตระหนักว่าค่าใช้จ่าย ที่แท้จริง ทั้งหมด ในการจัดโครงการฝึกอบรม แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ | ||||||||||||
| ก. ค่าใช้จ่ายของโครงการ หรืองบประมาณส่วนที่จ่ายจริง ได้แก่ ค่าใช้จ่ายที่ขออนุมัติจ่ายไว้ในโครงการฝึกอบรม โดยสามารถ ระบุ ได้อย่างชัดเจนเป็นรายการต่าง ๆ ตามความจำเป็น (ไม่ว่าจะขอเบิกจ่ายจากงบประมาณส่วนใดก็ตาม) | ||||||||||||
| ข. ค่าใช้จ่ายแฝง ได้แก่ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจริง หรือมีการใช้จ่ายอยู่จริง แต่ไม่สามารถระบุรายการค่าใช้จ่ายนั้นๆ เป็นจำนวนเงินได้อย่างชัดเจน เช่น ค่าสาธารณูปโภค(น้ำ ไฟ โทรศัพท์) ค่าใช้สถานที่ในการจัดฝึกอบรม ค่าวัสดุอุปกรณ์และเครื่องเขียน เช่น กระดาษ แผ่นใส ปากกาไวท์บอร์ด ฯลฯ ซึ่งไม่ได้จัดซื้อเพื่อการฝึกอบรมนั้นๆโดยเฉพาะ(ไม่ได้ใช้เงินของโครงการฝึกอบรมนั้น) ค่าใช้ครุภัณฑ์ต่างๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือโสตทัศนูปกรณ์ในการฝึกอบรม ตลอดจนเงินเดือนค่าจ้างของเจ้าหน้าที่ และผู้เข้า อบรมตลอดระยะเวลาที่มาเข้ารับการฝึกอบรม | ||||||||||||
| อย่างไรก็ตาม ในการประมาณการค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการฝึกอบรม เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบจะคิดเฉพาะเพียงค่าใช้จ่าย ของโครงการ หรืองบประมาณที่จ่ายจริงเท่านั้น หลักการประมาณการค่าใช้จ่ายนั้น ผู้คิดประมาณการจะต้องศึกษา และทำความเข้าใจ สิ่งต่อไปนี้ : | ||||||||||||
| 1) รายละเอียดโครงการฝึกอบรม แผนการดำเนินการฝึกอบรม ตลอดจน กำหนดการฝึกอบรมอย่างละเอียด | ||||||||||||
| 2) หลักเกณฑ์และอัตราการเบิกจ่ายเงินงบประมาณตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของ ส่วนราชการ พ.ศ. 2545 (ดังแนบไว้ในภาคผนวก หมายเลข6) รวมทั้งหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากค่าใช้จ่ายรายการ พื้นฐานในการจัดโครงการฝึกอบรมของส่วนราชการนั้น หากมีวงเงินงบประมาณได้รับจัดสรรไว้ จะสามารถเบิกจ่าย จากงบประมาณ แผ่นดินได้ และถึงแม้จะเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายจากรายได้พิเศษของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรืองบประมาณของหน่วยงาน ก็ยังคงต้องยึดถือหลักเกณฑ์ของงบประมาณแผ่นดินเป็นหลักเช่นเดียวกัน และ | ||||||||||||
| 3) หลักเกณฑ์และอัตราการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของมหาวิทยาลัยหรือของหน่วยงาน ในกรณีที่ต้องการเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่าย จากงบประมาณของมหาวิทยาลัยหรือของหน่วยงาน โดยอาจเป็นการเบิกค่าใช้จ่ายสมทบ ในรายการที่สามารถเบิกจ่ายจากงบประมาณ แผ่นดินได้อยู่แล้ว หรือเป็นการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายบางรายการเพิ่มเติมสำหรับรายการซึ่งไม่สามารถเบิกจ่ายจากงบประมาณแผ่นดินได้ก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อทำให้การประมาณการค่าใช้จ่ายมีความถูกต้องตรงกับความจำเป็นในการใช้จ่าย และไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินงาน ตลอดจนไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการเบิกจ่ายเงินในระยะเวลาต่อไป | ||||||||||||
| โดยทั่วไป การประมาณการค่าใช้จ่าย มักจะมีรายการดังต่อไปนี้ |
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| [1] สายสอางค์ แกล้วเกษตรกรณ์ , อ้างแล้ว , หน้า 3. | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| [2] โปรดดูรายละเอียดเรื่อง การกำหนดวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรม ในบทที่ 4 หน้า36-38 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| [3] วรภา ชัยเลิศวนิชกุล, การแก้ปัญหาและการตัดสินใจ, ชุดฝึกอบรมเรื่องการบริหารสำหรับผู้บังคับบัญชา, สถาบันพัฒนาข้าราชการ พลเรือน, สำนักงาน ก.พ. หน้า 103 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ที่มา : htts://www.tu.ac.th/org/ofrector/person/train/handbook/fix.html

