https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
เพชร กับ 100 เรื่องความจริงอันน่าเหลือเชื่อ พิสูจณ์ได้ที่นี่ MUSLIMTHAIPOST

 

เพชร กับ 100 เรื่องความจริงอันน่าเหลือเชื่อ พิสูจณ์ได้ที่นี่


4,170 ผู้ชม

100 ความจริงอันน่าเหลือเชื่อของเพชร


ความจริงอันน่าเหลือเชื่อของเพชร

1. การใช้คำเรียก ”เพชร” เริ่มแรกมาจากภาษาสักสกฤต พบในเอกสารโบราณ ของอินเดีย เรียกเพชรว่า “วัชระ” หรือสายฟ้า ดังนั้น คำว่า ”เพชร” จากอินเดีย สู่ไทย จึงกลายจาก ”วัชระ” มาเป็น ”พัชร” และ “พชร” จนถึง “เพชร” ในที่สุด

2. ในพระ ไตรปิฎกได้มีการกล่าวถึง รัตนชาติมงคลเอาไว้ 7 ชนิด คือ สุวณฺณํ คือ ทอง, รชตํ คือ เงิน, ปวาฬ คือ แก้วประพาฬ, มณิ คือ แก้วมณี, เวฬุริยํ คือ แก้วไพฑูรย์ หรือ เพชรตาแมว, มุตตา คือ แก้วมุกดา และวชิรํ คือ เพชร 

3. จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มนุษย์รู้จักเพชรมานานแล้ว แต่ไม่มีใคร สามารถรู้ได้ว่าเราเริ่มตั้งแต่เมื่อใด ในช่วงแรกๆ ผู้คนใช้เพชร ในการพกพา ติดตัวไป ให้มีความแคล้วคลาดปกป้องอันตรายที่เกิดขึ้น เชื่อว่าเพชรมีพลังในตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสวมใส่เพชรไว้ทางด้านซ้ายมือ เพชรจึงมักถูกใช้เป็น เครื่องราง มากกว่าเป็นเครื่องประดับ ฉะนั้นในอดีตจึงมีแต่ผู้ชาย ที่สวมใส่เพชรมากว่าผู้หญิง
4. คนยุโรปเมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อน เชื่อว่าเพชรเป็นวัตถุมงคลที่สามารถขจัด และปัดเป่าภัยอันตรายจากภูตผีปีศาจ
5. เพชรเป็นอัญมณีที่มีความเชื่อเกี่ยวข้องด้วยมากมาย เช่น พระราชินีแมรี่ แห่งสกอตแลนด์ ทรงเชื่อว่า พระธำมรงค์เพชร ที่พระนางสวมอยู่ สามารถปกป้องพระนางให้รอดพ้นจากการถูกลอบปลงพระชนม์ได้ แต่พระนางถูกพระราชินีเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษทรงสำเร็จโทษ ด้วยการประหารชีวิต
6. ในสมัยกลาง (Middle Ages) เชื่อกันว่าเพชรช่วยในการป้องกันโรคระบาดได้ พระราชินีเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ ทรงประดับเพชรไว้ที่พระอุระ เพื่อป้องกันโรคติดต่อ
7. ตำนานโบราณกล่าวไว้ว่า เพชรมีแหล่งกำเนิดมาจากกระดูกยักษ์ชื่อ มหาพลสูตร ที่คิดจะทำพิธีอดอาหาร เพื่อเป็นเกียรติยศ ให้ปรากฏในแผ่นดิน พอครบ 7 วัน ก็สิ้นชีวิต เทวดาจึงนำกระดูกไปฝังไว้ทุกแห่ง ก็บังเกิดกลายเป็นเพชรรัตน์
8. เพชรที่มีความหมายไม่เหมือนใคร นั่นคือ เพชรเดอ คิวบัน แคปิตอล(The Cuban Capitol) ที่เป็นตัวแทนแห่งความภาคภูมิใจ ในชนชาติคิวบา (แสดงเขตแดนทหาร) ได้รับการฝังเอาไว้ใต้พื้นของจุดที่เรียกว่า ศูนย์กลางของประเทศคิวบา ณ กรุงฮาวาน่า
9. เพชรเป็นอัญมณีสิริมงคลประจำเดือนเมษายน หรือ ราศีเมษ เพชรจะสามารถเสริมดวง ให้มีบารมีน่าเกรงขาม ซึ่งจะมีความสอดคล้อง กับนิสัยของคนราศีนี้ที่ชอบเป็นผู้นำ
10. ในตำราพรหมชาติซึ่งเป็นตำราโหร กล่าวไว้ว่าเพชรเป็นอัญมณีสิริมงคลสำหรับผู้เกิดปีมะเส็ง
11. เพชรมีความแข็งเท่ากับ 10 โมห์สเกล เป็นสสารที่แข็งที่สุด หรือแข็งมากกว่าทับทิม 140 เท่า
12. เพชร แสดงถึง ความบริสุทธิ์ ความรักนิรันดร ความมีอำนาจ จึงเป็นอัญมณีที่ที่นิยมนำมาทำเป็นแหวนหมั้นมากที่สุด
13. ตามตำราโบราณได้กำหนดลักษณะที่ดี เป็นมงคลของเพชรไว้หลายประการไว้ดังนี้ เพชรพราหมณชาติ มีสีขาว ไฟดี เปล่งประกายเจิดจ้า เหมือนดั่งดวงอาทิตย์ยามเที่ยง ถ้าใส่ที่นิ้วชี้ข้างขวา สมบัติจะไหลมาเทมา ศัตรูจะพ่ายแพ้ไปเอง
14. เพชรสมณชาติ มีสีเหลือง เหมือนน้ำมันไก่ ใส่ที่นิ้วชี้ข้างขวาจะทำให้เจริญรุ่งเรืองมีความสุข มีอานุภาพเป็นที่เกรงขาม
15. เพชรแพสชาติ มีสีเขียว ประกายไฟแรง ถ้าใส่ที่นิ้วชี้ข้างขวา จะช่วยให้ค้าขายดี ชีวิตรุ่งเรือง และศัตรูจะพ่ายแพ้ไป
16. เพชรสูทชาติ มีสีดำ ถ้ามีไว้จะทำให้ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ ถ้าทำการเกษตรจะได้ลาภผลดี
17. คนอินเดียสมัยโบราณเชื่อว่า เพชรมีพลังอำนาจทำให้ได้รับชัยชนะ และยังนิยมฝังเพชรไว้ที่ดวงตาเทวรูปเพื่อสักการบูชา แม้กษัตริย์อินเดียในสมัยนั้น ก็นิยมใช้เพชรเพื่อป้องกันภัยจากปีศาจ
18. ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 บางคนเชื่อว่าเพชรมีสองเพศ คือ เพศผู้กับเพศเมีย ดังนั้นถ้ามีการนำเพชรมาอยู่รวมกันแล้ว คนกลุ่มนั้นเชื่อเหลือเกินว่าจะมีลูกเพชรเกิดตามมา
19. เพชรเดินทางเข้าสู่ยุโรปเมื่อ วาสโก ดา กามา (Vasco Da Gamma) นักเดินเรือชาวโปรตุเกส ได้ค้นพบเส้นทางการเดินเรือ ทางทะเลจากยุโรปถึงอินเดียในปี พ.ศ. 2041 โดยเดินเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮป(Cape of Good Hope) ทำให้เกิดเส้นทางการค้า ระหว่างอินเดีย และยุโรป ทำหใคนยุโรปเริ่มมีตลาดค้าเพชรขึ้น และมหานครเวนิสก็กลายเป็นศูนย์กลาง การเจียระไนเพชรของโลก คนกลุ่มแรก ๆ ที่ใช้เพชร คือ ราชวงศ์ในยุโรปและคนชั้นสูง แต่ด้วยความเจริญของยุโรป เพชรจึงได้แพร่กระจายไปทั่วโลก และกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์
20. เพชรในประเทศไทยมีการค้นพบกัน มานานเกินกว่า 40 ปีมาแล้ว จากรายงานมีการพบเพชรร่วมกับแร่ดีบุกในลานแร่ จังหวัดภูเก็ต และพังงา ทั้งในแหล่งแร่ดีบุกบนบก และนอกชายฝั่งทะเลอันดามัน ด้านตะวันตกของอำเภอตะกั่วป่า เรื่อยไปทางใต้จนถึงจังหวัดภูเก็ต
21. เพชรที่พบในไทยส่วนใหญ่มีขนาด 1.8-4.7 มิลลิเมตร (0.04-0.89 กะรัต) เคยมีรายงานว่าพบเพชรใหญ่ขนาดประมาณ 6 กะรัต จากบริเวณอำเภอกะปง จังหวัดพังงา บางส่วนสามารถนำมาเจียระไน ทำเครื่องประดับได้
22. สำหรับต้นกำเนิดเพชรในไทยยังไม่ทราบกันแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าอาจผุพังมาจากหินโคลนปนกรวด (Pebbly Mudstone) ซึ่งแตกต่าง จากแหล่งเพชรอื่นๆ ของโลกที่พบในหินแคมเบอร์ไลต์
23. นอกจากเป็นเครื่องประดับแล้ว เรายังใช้เพชรในชีวิตประจำวันด้านอื่นๆ เช่น ใช้ในการขุดเจาะ เป็นชิ้นส่วนของ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และแพทยศาสตร์ อาทิ ใช้เคลือบกระจกหน้าต่างของยานอวกาศ ให้สามารถทน อุณหภูมิสูงถึง 490 องศาเซลเซียส และกรองแสงอัลตราไวโอเลต ไม่ให้ผ่านเข้าไปทำอันตรายมนุษย์อวกาศ ที่ทำงานอยู่ภายในยาน
24. การที่เพชรมีคุณสมบัติขยายตัวน้อย เมื่อได้รับความร้อนมาก ทำให้วิศวกรนิยมใช้เพชรทำชิ้นส่วนดูดซับความร้อน ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ จักษุแพทย์ใช้มีดผ่าตัด ที่ปลายถูกเคลือบด้วยเพชรในการผ่าตัดลูกตา เป็นต้น
25. จุดหลอมละลายของเพชรอยู่ที่ 6900 ฟาเรนไฮต์ซึ่งมากกว่า จุดหลอมละลายของเหล็กสตีลถึง 2 เท่าครึ่ง
26. แม้ว่าเพชรจะเป็นสสารที่มีความแข็งมากที่สุดในโลก แต่ก็มีความเปราะ สามารถแตกและบดเป็นผงได้ เพชรจะแตกได้ ถ้าได้รับความร้อนอย่างเฉียบพลัน
27. ในทางวิทยาศาสตร์พบว่า ในห้วงอวกาศนั้นเต็มไปด้วย สะเก็ดคริสตอลของเพชรกว่าล้านชิ้น ซึ่งมีขนาดเล็กมาก จนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น นักดาราศาสตร์เชื่อว่า เป็นผลงานจากการขยายตัว การหดตัว และการระเบิดของดวงดาวที่ตายแล้ว
28. เพชรเป็นอัญมณีที่แข็งที่สุดในโลก เป็นผลให้ในช่วงยุคกลางมีการขนานนามเพชรว่า “ไม่อาจทำลาย” หรือ “The invincible”
29. ชาวกรีกโบราณเชื่อว่าเพชร คือหยาดน้ำตาของพระเจ้า
30. ชาวโรมันเชื่อว่าเพชร คือสะเก็ดดาวตกที่หลุดร่วงมาจากฟากฟ้า
31. ชาวอินเดียเชื่อว่าเพชร สามารถป้องกันภยันอันตราย จากความเจ็บป่วย ขโมย และปีศาจร้าย อีกทั้งนำโชค และความสำเร็จ มาสู่ผู้สวมใส่ นอกจากนี้ยังเป็นการสะเดาะเคราะห์ทางโหราศาสตร์ และเพิ่มเสน่ห์ และแรงดึงดูดใจ ให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ ดังนั้นเพชรจึงดึงดูดใจคนทั่วโลก
32. ภาษาอังกฤษ “Diamond” ของเพชร ดั้งเดิมมาจากภาษากรีก Adamao ซึ่งคำกริยาเสริมในภาษากรีกเรียกเพชรว่า Adamas เพื่อเป็นคำเรียกสสารที่แข็งที่สุด แปลความหมายได้ว่า ไร้เทียมทาน และคำๆ นี้ได้ถูกแผลงเป็น Diamond มาจนถึงทุกวันนี้
33. ไม่เคยมีการค้นพบว่าเพชรแต่ละเม็ด จะมีรูปร่างลักษณะที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งนี้เป็น เพราะเพชรมีโครงสร้าง และลักษณะที่แตกต่างกัน ไม่สามารถเลียนแบบ หรือกำเนิดมาเหมือนกันได้
34. การขุดเพชรจำต้องมีการระเบิด บด และขุดหินแร่มากกว่า 250 ตัน เพื่อให้ได้มาซึ่งเพชรดิบเพียงแค่ 1 กะรัต
35. การทำเหมืองเพชร จะมีเพชรดิบเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นในโลกนี้เท่านั้น ที่เหมาะสำหรับการนำมาเจียระไนเป็นอัญมณี
36. คนโบราณเชื่อว่าเพชร คือเครื่องรางที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง นิยมมอบให้เป็นของขวัญ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งรัก หรือแสดงถึงมิตรภาพที่แท้จริง กระนั้นพลังของเพชรจะสูญสิ้นหากคนผู้นั้นรับเพชรมา และขายไป
37. เพชรถูกยกย่องให้เป็น “ราชาแห่งอัญมณี” (King Gem) โดยที่ไข่มุกถูกยกย่องให้เป็น “ราชินีแห่งอัญมณี” (Queen Gem)
38. เชื่อหรือไม่ว่าก่อนที่เพชรแต่ละเม็ด อยู่บนมือของชายหญิงสาว ทุกเม็ดเคยผ่านมือผู้คนมาแล้วกว่า 4 ทวีป รวมทั้งช่างทอง จากอีกหลายประเทศ
39. เพชรทรงเหลี่ยมมรกต (Emerald Cut) เป็นคัทที่มีราคาถูกที่สุด
40. เพชรที่มีเม็ดใหญ่กว่า ไม่ได้หมายความว่าจะมีคุณภาพดีกว่า เพชรเม็ดเล็กกว่าที่มีน้ำเดียวกัน
41. เพชรขนาด 2 กะรัต จำนวนหนึ่งเม็ด มีสนนราคามากกว่าเพชรขนาด 1 กะรัตในคุณภาพเดียวกันรวมกัน 2 เม็ด
42. เพชรมี 4 ประเภท คือ เพชรพรอพเพอร์ (Proper), เพชรบอร์ต (ที่ใช้ในการตัดวัตถุในงานอุตสาหกรรม (Bort), เพชรบัลลาส (Ballas) และหินเพชรดำ (Carbonado) ทั้งนี้เพชรพรอพเพอร์ จัดเป็นชนิดเดียวที่เป็นอัญมณี
43. เพชรส่วนมากมีการก่อรูปใต้พื้นผิวโลก ลึกลงไปกว่า 100-400 ไมล์
44. เพชรถูกเปรียบเทียบเป็น”น้ำแข็ง”ด้วยเหตุผลที่น่าทึ่ง ทั้งนี้เวลาเราจับเพชรจะรู้สึกเย็น เพราะเพชรมีอุณหภูมิต่ำกว่า ร่างกายมนุษย์ มีการนำความร้อนสูง และยังสามารถเป็นสื่อนำความร้อน ออกจากตัวของเราได้
45. ด้วยความที่เพชรมีคุณสมบัติพิเศษ สามารถทนทานต่อภาวะอุณหภูมิที่สูงอย่างรุนแรง ไปจนถึงการทนต่อสภาวะกัดกร่อน มีสภาพโปร่งแสง ในทุกรูปแบบของแสง และทุกรูปแบบการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้เพชรเป็นวัตถุดิบสำคัญ ในการทำเป็นหน้าต่าง สำหรับงานอุตสาหกรรม และการสร้างยานอวกาศ รวมทั้งยานสำรวจไพโอเนียร์ (Pioneer) ที่เคยใช้สำรวจ พื้นผิวดาวศุกร์ในปี 1978
46. สายทองแดงในเครื่องคอมพิวเตอร์โทรทัศน์ และที่ใช้ในการสร้างบ้านนั้น ล้วนถูกจัดรูปร่างด้วยลูกเต๋าขนาดเล็ก ที่ทำขึ้นจากเพชร
47. เพชรอาจถูกพบตามก้นแม่น้ำ อันเป็นลานแร่ ( Alluvial diamond) หรือบริเวณที่เพชร ถูกน้ำพัดพามาทับถมทั้งนี้ เพชรเหล่านี้มีต้นกำเนิดในชั้นดินที่มีสายแร่ที่เรียกว่า คิมเบอร์ไลต์ ไพพ์ (Kimberlite Piper) แต่ถูกเคลื่อนย้าย โดยการเปลี่ยนแปลง ทางธรณีวิทยา อาทิเช่น ธารน้ำแข็งและน้ำสามารถเคลื่อนย้ายเพชรจากจุดกำเนิดได้ไกลกว่าเป็นพันๆไมล์
48. จุดหลอมเหลวของเพชรอยู่ที่ 1878 องศาเซลเซียส ซึ่งมากกว่าเหล็กสตีลถึง 2 เท่าครึ่ง
49. เพชรสามารถเกิดไฟฟ้าสถิตได้เมื่อถูกเสียดสี
50. เพชรแต่ละเม็ดเป็นสิ่งที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุด เท่าที่มนุษย์เคยครอบครอง มีอายุมากกว่า 3 พันล้านปี หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของอายุโลก และที่มีอายุน้อยที่สุดคือ 70 ล้านปี
51. สีที่ดีที่สุดของเพชรคือ ไม่มีสี ตามแบบสีของก้อนน้ำแข็งหรือเหล้ายินโทนิก ซึ่งเพชรที่หายากที่สุด คือ สีขาวพิสุทธิ์ ที่เรียกว่า “Exceptional White”
52. แม้ว่าเราจะรู้ว่าเพชรดี คือ เพชรสีขาว ไร้สี ซึ่งไม่เหมือนพลอยที่มีสเปกตรัมของแสง ที่แยกออกเป็นสีต่างๆได้ กระนั้น เพชรสีเราเรียกว่า เพชรแฟนซี
53. สีเหลืองที่เห็นเป็นมลทินในผลึกเพชรนั้น เกิดขึ้นจากการตกค้างของสารในโตรเจน ทั้งน้ำในเพชรที่มีสีใส เกิดจากการที่สารไนโตรเจน ได้ถูกชะล้างออกไปเมื่อกว่าล้านปี นอกจากนี้ยังพบ ซิลิกอน แมกนีเซียม อะลูมิเนียม เหล็ก แคลเซียม และทองแดง ซึ่งมีอยู่ในปริมาณที่น้อยมาก
54. วิธีที่ง่ายที่สุดในการสังเกตความแตกต่างระหว่างเพชร และคิวบิก เซอร์โคเนีย คือการทดสอบด้วยน้ำหนัก ทั้งนี้คิวบิก เซอร์โคเนีย จะมีน้ำหนักมากกว่าเพชรถึงร้อยละ 55
55. เพชรมีความแข็งมากกว่าทับทิมหรือแซฟไฟร์ถึง 140 เท่า และแข็งมากกว่ามรกตถึง 180 เท่า
56.แม้ว่าเพชรเป็นสสารธรรมชาติที่แข็งที่สุด แต่มีความเปราะ สามารถแตกหักออกเป็นเศษๆ หรือแตกละเอียดได้ หากทุบด้วยค้อน
57. เพชรที่สมบูรณ์แบบมีอยู่จริงในโลกนี้
58. เพชรดิบที่เม็ดใหญ่ที่สุดในโลก คือ เพชรคูลลิแนน(Cullinan) พบในประเทศแอฟริกาใต้ ก่อนการเจียระไนมีน้ำหนักถึง 3,025 กะรัต ซึ่งดั้งเดิมเคยถูกนำไปเป็นของขวัญ ในวาระวันประสูติครบรอบ 66 ชันษา ของกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 7 อังกฤษ
59. เพชรเซนเทนนารี่(Centenary Diamond) ขนาด 273.85 กะรัต เดิมตอนเป็นเพชรดิบมีน้ำหนักมากถึง 600 กะรัต ต้องใช้นักเจียระไนชั้นครูในการเจียระไนถึง 3 ปี
60. เพชรเจียระไนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือ เพชรโกลเด้นจูบิลี่(Golden Jubilee) มีขนาด 545.67 กะรัต เป็นทรงคูขัน มีสีเหลืองอมน้ำตาล
61. มีเพียงเพชรเท่านั้นที่ตัดเพชรได้
62. เพชรสามารถสร้างรอยขีดข่วนให้แก่กันได้ จึงไม่ควรเก็บเพชรไว้ในกล่องเดียวกัน
63. ยิ่งแหวนมีรูปแบบเรียบง่าย และมีหนามเตยที่บางมากเพียงใด ก็จะยิ่งทำให้เพชรส่งแสงได้สวยที่สุด
64. “เพชรคือเพื่อนแท้ของหญิงสาว” แท้ที่จริงเป็นชื่อเพลง “Diamond are a Girl’s Best Firend” ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ เรื่อง “Gentlemen Prefer Blondes”(1953) นำแสดงโดย สองดาราดังอย่าง มาริลิน มอนโร และเจน รัสเซิลล์
65. ภาพยนตร์เรื่องนี้มีอายุมากกว่า 50 ปี และก็ยังเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ยอดนิยม ของตำนานฮอลลีวูดอย่าง มาริลิน มอนโร กระนั้นหนังเกี่ยวกับเพชรที่โด่งดังยังมีอีก เช่น ‘High Society’, Breakfast at Tiffany’s และ ‘Diamond Are Forever’
66. เพชรเป็นอัญมณีเพียงชนิดเดียว ที่ประกอบไปด้วยโครงสร้างทางเคมี เพียงหนึ่งชนิดนั่นคือ คาร์บอน ซึ่งเป็นโครงสร้างเดียวกับ ธาตุการไฟต์หรือไส้ดินสอ ทั้งนี้คาร์บอนจัดเป็นเคมีธาตุพื้นฐานที่มีอยู่ทั่วไป เป็น 1 ใน 4 ธาตุจำเป็นในการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต แม้แต่ร่างกายมนุษย์ยังประกอบไปด้วย ธาตุคาร์บอนถึงร้อยละ 18 และอากาศที่เราหายใจเข้าไป ก็ยังประกอบไปด้วย คาร์บอนเช่นกัน
67. เพชรแต่ละเม็ดล้วนมีเอกลักษณ์ ไม่มีเม็ดไหนที่ซ้ำกัน หรือเหมือนกันแม้แต่เม็ดเดียว
68. มนุษย์ค้นพบเพชรครั้งแรกเมื่อ ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล หรือกว่า 4,000 ปีก่อน ณ ก้นแม่น้ำในเมืองกัลป์กอนด้า ประเทศอินเดีย และอินเดียยังจัดเป็นแห่งเดียว ที่เป็นแหล่งผลิตเพชร และเป็นเช่นนั้นมานานกว่า 2,000 ปี กระทั่งในปี 1725 ได้มีการค้นพบเหมืองเพชร ครั้งใหม่ในบราซิล ต่อมาในปี 1871 จึงมีการค้นพบเหมืองเพชรครั้งใหญ่ในประเทศแอฟริกาใต้
69. ปัจจุบันมีการทำเหมืองแร่เพชรใน 25 ประเทศ ในทุกๆทวีปของโลก ยกเว้นทวีปยุโรป และทวีปแอนตาร์กติก้า อย่างไรก็ตาม ก่อนศตวรรษที่ 20 แหล่งเพชรยังไม่เคยได้มีการถูกค้นพบมากนัก เนื่องจากเทคโนโลยี และความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ ในสาขาการสำรวจเหมืองเพชร ยังไม่ได้รับการพัฒนาเหมือนในปัจจุบัน
70. แม้ว่าประเทศออสเตรเลีย, บอตสวานา, รัสเซียและสาธารณรัฐคองโก้ (ซาอีร์) จะขยับขึ้นมาเป็นผู้ผลิตเพชรรายใหญ่ของโลก กระนั้น ประเทศแอฟริกาใต้เอง ก็ยังเป็นผู้ผลิตรายหลักของโลก ทั้งในด้านกำลังการผลิต และคุณภาพของเพชร เรียกได้ว่าเพชรกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ที่ผลิตได้ทั่วโลกได้มาจากประเทศแอฟริกาใต้ ทั้งนี้ประเทศที่เป็นผู้ผลิตเพชรในลำดับรองลงมา คือ แองโกล่า, บราซิล, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, จีน, กานา, กรินี, อินเดีย, ไอวอรี่ โคสต์, ไลเบอร์เรีย, เซียรา ลีออนี, แทนซาเนีย และเวเนซูเอลา
71. ในอดีตกาลชาวยุโรปเอง ยังไม่รู้จักการนำเพชร มาทำเป็นเครื่องประดับ เหมือนกับการใช้อัญมณีชนิดอื่นๆ จวบจนกระทั่ง ปลายศตวรรษที่ 13 มีการเริ่มให้ความสำคัญกับเพชรมากขึ้น กระนั้น ชาวยุโรปในสมัยก่อน นิยมใช้พลอยในการทำ เป็นเครื่องประดับ เช่น การแกะแซฟไฟร์เป็นจี้คามีโอ และการนำหินสีมาเจาะรูทำเป็นลูกปัด
72. ในยุโรปเพชรเริ่มปรากฏให้เป็นที่รู้จัก อย่างประปรายในช่องศตวรรษที่ 13 มีการนำเพชรไปประดับคู่กับไข่มุก แต่ด้วยการออก กฎมณเฑียรบาลเซนต์ หลุยส์ (ในช่วงการครองราชย์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส ค.ศ. 1214-1270) กำหนดให้เป็นอัญมณี สำหรับพระมหากษัตริย์เท่านั้น มีผลให้เพชรกลายเป็นของสูงค่า หายาก และมีราคางวดที่สูงขึ้นเป็นลำดับ
73. คนโบราณเชื่อว่าเพชรจะช่วยให้ผู้สวมใส่มีความกล้าหาญ และปราศจากความกลัว ทำให้ชาวยุโรปในชนชั้นสูง เช่น คาซิโม เดอะ เอลเดอร์ แห่งเมืองฟลอเรนซ์ (ค.ศ.1389-1464) , พระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 แห่งฝรั่งเศส (ค.ศ.1519-1559)และยุคแห่งเบอร์กันดี ต่างสวมแหวนในการออกศึก เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงความกล้าหาญชาญชัย
74. ในวันที่ 13 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1888 เจ้าหญิงอิมพีเรียล รีเจนต์ โดน่า อิซาเบล ได้ยกเลิกทาสในบราซิล ทรงลงลายพระหัตถ์ ในพระราชกฤษฎีกาด้วยปากกาฝังเพชร และมรกต และด้วยลายเซ็นเพียงตวัดเดียวของพระองค์ ทรงปลดแอกทาส หญิง ชาย และเด็กกว่า 1,500,000 คนให้เป็นอิสระ จัดเป็นการเลิกทาสประเทศสุดท้ายในโลกตะวันตก
75. คนไทยโบราณได้กำหนดลักษณะที่ดี ที่เป็นมงคลของเพชรเอาไว้หลายประการ ตามตำราโบราณได้กล่าวไว้ว่าเพชรปฐมชาติ มีสีแดงเหมือนผลตำลึง มีรัศมีหรือประกายหลากหลายสี ได้แก่ สีขาว สีเหลือง สีดำ สีเขียว สีรุ้งกินน้ำ เมื่อส่องแดด ประกายของเพชร ที่เปล่งออกมาจะเป็นสีเบญจรงค์ (มี 5 สี) และจะแล่นออกจากเหลี่ยมเพชรด้านละ 8 ดวง จะทำให้ผู้ที่มีไว้ครอบครอง เป็นใหญ่เป็นโต มีชัยแก่ข้าศึก ถ้านำเพชรสีแดงนี้มาใส่ไว้ที่นิ้วชี้ข้างขวา ตำราว่าจะได้เป็นยิ่งกว่าเดิม
76. ส่วนเพชรที่จัดเป็น “อัปมงคล” คนไทยโบราณได้กล่าวไว้เช่นกัน ได้แก่ เพชรแตกร้าว เพชรมีรู เป็นโพรงอยู่ในเนื้อ มีรอยตำหนิเหมือนรอยตีนกา ก้อนเพชรเมื่อนำมาเจียระไนต้องมีเนื้อใสสะอาด ปราศจากตำหนิใดๆ จึงจะให้คุณแก่เจ้าของ ถ้าเพชรมีรอยตำหนิแม้เพียงเล็กน้อย จะทำให้เจ้าของเสียทรัพย์พบกับความทุกข์ยากลำบาก ศัตรูปองร้าย เกิดโรคภัยไข้เจ็บ อยู่บ้านไม่เป็นสุข ไฟจะไหม้ ไม่มีความสุขในชีวิต
77. ในโบราณกาล นักบวชชาวยิวมักใช้เพชรเพื่อช่วย ในการตัดสินความผิด เชื่อกันว่าเมื่อผู้กระทำความผิดได้กุมเพชรไว้ในมือ สีของเพชรจะเปลี่ยนเป็นสีขุ่น และเข้มข้น ส่วนผู้บริสุทธิ์หากกุมเพชรไว้ เพชรจะส่องแสงเป็นประกาย
78. ชาวฮินดูเชื่อว่าเพชรเกิดจากหินที่ถูกสายฟ้าฟาด
79. คนโบราณเชื่อว่าเมื่อมอบเพชรให้เป็นเครื่องราง เพื่อแสดงถึงมิตรภาพ และความรัก เพชรจะมีอานุภาพเป็นอย่างยิ่ง แต่หากคนผู้นั้นนำไปซื้อขาย พลังอำนาจดังกล่าวจะสูญหายไป
80. ชาวอินเดียมีความเชื่อว่า เพชรสามารถขับพิษร้าย และรักษาโรคได้ สามารถทำให้สามีภรรยาคืนดีกัน ถ้ามีเพชรติดตัวไว้ จะประสบแต่ความโชคดีได้ลาภยศ และชีวิตจะประสบความสำเร็จ
81. คนโบราณเชื่อว่าความลี้ลับ และความลึกลับมีอยู่รอบเพชรสีดำ ตามตำนานอินเดียโบราณเชื่อกันว่า เพชรสีดำที่ดูน่ากลัว ดุจดังดวงตาของงูใหญ่ เหมาะกับการเป็นเครื่องบรรณาการที่ใช้ถวาย แด่พระยมซึ่งเป็นเทพแห่งความตาย
82. ในทางตรงกันข้ามชาวอิตาลีโบราณเชื่อว่า เพชรดำเป็นอัญมณีแห่งความปรองดองและการคืนดี เชื่อกันว่าสัมผัสของเพชรดำ สามารถขับไล่ความเข้าใจผิดระหว่างคู่กรณีได้
83. ชาวโรมันโบราณจัดเป็นชนชาติกลุ่มแรก ที่เชื่อมนต์แห่งความโรแมนติดของเพชรเชื่อกันว่า เพชรเป็นอัญมณีที่เกิดจากดาวตก ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น โดยการยิงธนูของอีรอสกามเทพ ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก และเชื่อกันว่าปลายลูกธนูของกามเทพนั้น ประดับด้วยเพชร
84. เพชรซีลอน (Ceylon diamond) และเพชรมาเทอร์ (mature diamond) ไม่ใช่เพชร แต่เป็นชื่อเรียกเซอร์คอนไร้สี เพชรคิลเลียแครนกี้ (killiecrankie diamond) และเพชรซาโซนี่ (Saxony diamond) เป็นชื่อเรียกของโทพาซไร้สี และเพชรโรเดียม (radium diamond) เป็นชื่อเรียกของควอทซ์สีควันบุหรี่
85. ประเพณีการหมั้นด้วยแหวนเพชรเริ่มต้นขึ้นในปี 1477 เมื่อเจ้าชายออสเตรียพระนามว่า แม๊กซิมิเลี่ยนได้ขอแต่งงาน กับเจ้าหญิงแมรี่แห่งเบอร์กันดีด้วยการใช้แหวนเพชร
86. ประเพณีการสวมแหวนบนนิ้วนางข้างซ้าย มาจากความเชื่อดั้งเดิมของชาวอียิปต์ ที่เชื่อกันว่าเป็นนิ้วที่มีเส้นเลือดที่เรียกว่า เส้นเลือดแห่งรักที่เชื่อมต่อมาจากหัวใจ
87. เราได้ยินคำว่าการแต่งงานอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งเครื่องแต่งกาย แต่งหน้า เครื่องประดับ และอื่นๆ และเป็นเช่นนี้มาเนิ่นนาน พิสูจน์ได้จากงานแต่งงานในอดีตกาล ที่เจ้าหญิงหลายๆ พระองค์ ไม่เพียงแต่จะเลือกเพชรเป็นเครื่องประดับ แต่ยังนิยมนำเพชร ไปประดับลงบนชุดแต่งงาน เพื่อแสดงถึงความภาคภูมิใจ และความสมพระเกียรติ
88. จากการสำรวจพบว่าเจ้าสาวร้อยละ 70 ได้รับแหวนหมั้นที่ทำจากเพชร โดยเจ้าสาวที่แต่งงานครั้งแรก มักได้รับแหวนแต่งงาน ทำจากเพชรมากถึงร้อยละ 75
89. ในขณะที่ฝ่ายชายมักใช้แหวนหมั้นเพชร ในการขอแต่งงานถึงร้อยละ 55 และพบว่าคู่รักส่วนใหญ่ นิยมที่จะเลือกแหวนหมั้นเพชร ด้วยกันร้อยละ 50
90. เจ้าบ่าวส่วนใหญ่มักจะได้รับแหวนแต่งงาน เป็นแหวนเกลี้ยงถึงร้อยละ 90 และมีเพียง1 ใน 5 คนเท่านั้นที่ได้รับแหวนแต่งงาน เป็นแหวนเพชร
91. แหวนหมั้นเพชรที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือ ทรงเพชรเม็ดเดี่ยวมียอดขายสูงถึงร้อยละ 34 ของแหวนหมั้นทั้งหมด โดยแหวนเพชรเม็ดตรงกลาง ประกบคู่ด้านข้างด้วยเพชรเม็ดรองอีกสองเม็ด มียอดขายร้อยละ 22 ของทั้งหมด
92. การเป็นเครื่องประดับประจำเดือนเมษายนนั้นของเพชรนั้น จะมีอานุภาพมากที่สุดเมื่อนำไปประดับลงบนตัวเรือนเหล็กสตีล
93. เพชรจัดเป็นของขวัญครบรอบแต่งงานครั้งที่ 60 และ 75 จัดเป็นเครื่องหมายแห่งข้อสัญญาทางความรัก และความรักนิรันดร์
94. ในปี 1919 นายมาร์เซล ทองคอว์สกี้ นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันได้คิดค้นทฤษฎีการเจียระไนเพชรให้ได้ประกายสวยที่สุด ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเหลี่ยมเพชรที่งดงามในปัจจุบัน เช่น เพชรทรงกลมเหลี่ยมบริลเลี่ยนคัตทั่วๆไปมี 58 เหลี่ยม ประกอบด้วย คราวน์ (Crown) 33 เหลี่ยมและพาวิลเลี่ยน(Pavilion) อีก 25 เหลี่ยม
95. ในกระบวนการเจียระไนเพชรดิบแต่ละครั้ง จะมีการสูญเสียเนื้อเพชรมากถึง 40 -70 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักเพชรทั้งหมด
96. เมืองแอนต์เวิร์ฟ ประเทศเบลเยี่ยมจัดเป็นเมืองหลวงของโลก ในการเจียระไนเพชร และรองลงมาคือกรุงอัมสเตอร์ดัม, เทล อาวีฟ, นิวยอร์คและลอนดอน
97. ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มีสองเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับเพชร ซึ่งมีผลทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 20 เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในปี 1871 กับการค้นพบแหล่งเพชรธรรมชาติเป็นจำนวนมหาศาล ในประเทศแอฟริกาใต้ ที่มีผลทำให้ เพชรกลายเป็นอัญมณี ที่ใคร ๆ ก็สามารถซื้อได้ ไม่ได้เป็นของหายากอีกต่อไป ทั้งนี้ก่อนยุค 1870 เพชรจัดเป็นของหายาก และจำกัดการใช้อยู่ แต่เฉพาะกลุ่มชนชั้นสูง โดยในปี 1871 ผลผลิตมวลรวมของเพชรทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น ส่วนมากมาจากเหมือง ในประเทศแอฟริกาใต้ และเป็นครั้งแรกของโลกที่สามารถผลิตเพชรได้มากกว่า 1 ล้านกะรัต
98. เหตุการณ์ที่ 2 ได้เกิดขึ้นในปี 1871 ซึ่งเป็นยุคสิ้นสุดการปกครองของจักรพรรดิ นโปเลียนที่ 3 ส่งผลให้สาธารณรัฐฝรั่งเศส ลำดับที่ 3 ต้องประสบกับปัญหาบ้านเมือง โดยเฉพาะเครื่องเพชรประจำราชวงศ์ฝรั่งเศสในสไตล์หลุยส์ ทำขึ้นโดยจักรพรรดินียูจีน ซึ่งยังเป็นร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ ของระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตย และได้กลายเป็นปัญหาของฝรั่งเศสยุคใหม่ เครื่องเพชรจำนวนมหาศาลได้ถูกนำไปประมูล และมีการเหลือไว้บางชิ้น เพื่อเป็นสมบัติแผ่นดิน เครื่องเพชรดังกล่าว ถูกประมูลไปโดย ประเทศมหาอำนาจหน้าใหม่ อาทิ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังแตกยอดแห่งความร่ำรวย และต้องการ แสดงอานุภาพแห่งความมั่งคั่ง การประมูลยังเป็นการประกาศของสหรัฐอเมริกา ในการเป็นประเทศที่ร่ำรวยและ ต้องการเป็นประเทศที่มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ ในศตวรรษใหม่ข้างหน้า
99. ในราคาซื้อขายเพชรถูกจัดทำ และเปิดตัวเป็นครั้งแรกในยุคศตวรรษที่ 20 โดยชาวอาหรับนามว่าเทย์ฟาสชิอัส แต่ในปัจจุบัน ใบราคาซื้อขายเพชรที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป คือ รายการของRapaport หรือที่เรียกกันว่า Rap Sheet จัดพิมพ์โดย มาร์ติน ราพาพอร์ต ชาวเมืองนิวยอร์ค
100. ธุรกิจการค้าเพชรจัดเป็นธุรกิจที่มีการผูกขาด ภายใต้การควบคุมของบริษัทเชื่อว่า เดอร์เบียร์ส โดยจัดตั้งให้ De Beers Consolidated Mines Ltd. เป็นผู้ดูแลทางด้านการตลาด โดยผ่านการควบคุมจาก Central Selling Organization (CSO) อีกที ทั้งนี้ CSO จะเป็นตัวแทนขายเพชรดิบ ที่ได้จากเหมืองให้แก่ตัวแทนขายเพชรทั่วไปอีกที โดยเหมืองอิสระอื่นๆ จะใช้วิธีการค้าขาย ที่ต่างออกไป มีการขายเพชรด้วยการประมูลแบบปิดและการซื้อขายโดยตรง
ที่มา www.iyawan.com

อัพเดทล่าสุด