https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
โลหิตจางในเด็ก - เป็นโลหิตจาง ตั้งแต่เด็กจนโต แก้ไขอย่างไร MUSLIMTHAIPOST

 

โลหิตจางในเด็ก - เป็นโลหิตจาง ตั้งแต่เด็กจนโต แก้ไขอย่างไร


674 ผู้ชม


โลหิตจางในเด็ก - เป็นโลหิตจาง ตั้งแต่เด็กจนโต แก้ไขอย่างไร
สุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ของบุตรหลานของท่าน ย่อมเป็นสิ่งที่เราทุกคนปรานาแต่ว่าบางครั้ง เราพบว่าเด็กของเรามีสุขภาพอ่อนแอ เจ็บกาสพบได้มากในวัยเด็ก ไม่ว่าจะช่วงวัยเด็ก ทารก เด็กวัยเตาะแตะ เด็กวัยอนุบาล จนไปถึงเด็กโต เด็กวัยเรียน หรือเด็กวัยรุ่นเพศหญิง การที่จะวินิจฉัยว่าใครมีโลหิตจาง ทำโดยการตรวจเลือดและพบว่า เด็กผู้นั้นมีจำนวนเม็ดเลือดแดงน้อยกว่า หรือมีปริมาณฮีโมโกลบิน (ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบหลักในเม็ดเลือดแดง) ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานในเด็กอายุนั้นๆ สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในเด็กไทย คือภาวะขาดสาอาหารที่จำเป็นหรือขาดธาตุเหล็ก ซึ่งการดูแลเลี้ยงเด็กที่ถูกต้อง ให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้ทานยาบำรุงเลือดที่เหมาะสม ขจัดสาเหตุที่ทำให้เด็กเสียเลือดเรื้อรัง เช่น โรคพยาธิ สามารถรักษาโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กให้หายได้
       อย่างไรก็ตาม โรคโลหิตจางที่เป็นปัญหาสำคัญและพบได้บ่อยในคนไทย ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ คือ โรคโลหิตจางธาลัสซเมีย(ThalassemHemoglobinopathies) ซึ่งเป็นโรคทางกรรมพันธ์ โรคนี้สามารถถ่ายทอดได้จากบิดามารดา ที่เป็นพาหะ(หรือภาวะแฝง) มาสู่บุตร ทำให้บุตรป่วยได้โดยที่บิดามารดาไม่จำเป็นต้องมีอาการผิดปรกติเลยจึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจหรือน่าตกใจสำหรับบิดามารดาหรือผู้ปกครองที่เพิ่งเคยทราบเป็นครั้งแรกว่าบุตรหลานของตนป่วยเป็นโรคนี้ อันที่จริง ประเทศไทยเรามีประชาชนที่เป็นพาหะของธาลัสซีเมียชนิดต่างๆ รวมกันประมาณ 20 – 30% ของประชากรทั้งหมด และคู่สมรสที่เป็นพาหะของธาลัสซีเมียประเภทเดียวกัน เมื่อให้กำเนิดบุตรแต่ละคนจะมีโอกาสเป็น โรคธาลัสซีเมียได้ 25% หรือ 1 ใน 4
      โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียหลายประเภท ที่สำคัญในเมืองไทยคือ กลุ่มแอลฟ่าธาลัสซีเมียและกลุ่มเบต้าธาลัสซีเมีย(Alpha-and Beta-Thalassemia diseases) กลุ่มแอลฟ่าธาลัสซีเมียนั้น ถ้าเป็นแบบรุนแร(Hemoglobin Bart hydrops fetalis ) จะทำให้เด็กตายคลอดหรือเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาได้ ถ้าเป็นแบบรุนแรงปานกลา(Hemoglobin H disease )  ผู้ป่วยเด็กจะมีอาการซีดเรื้อรัง ตับม้ามโต ต้องได้รับเลือดทดแทนเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะเวลาที่มีไข้หรือเจ็บป่วยไม่สบาย เด็กจะซีดลงเร็วมากเนื่องจากเม็ดเลือดแดงจะแตกทำลายเร็วขึ้นอย่างมาก สำหรับกลุ่มเบต้าธาลัสซีเมีย พวกนี้อาจมีความผิดปกติชนิดฮีโมโกลบินอี  (Hemoglobin E )  ร่วมด้วยแบบที่มีอาการรุนแรงคือโฮโมซัยกัสเบต้าธาลัสซีเมีย  คือ(Homozygous Beta Thalassemia)  ผู้ป่วยเด็กจะมีอาการซีดมากตั้งแต่อายุ 6 เดือน ถึง 1 ปี ตัวเหลือง ท้องป่อง ตับโตม้ามโตมาก ร่างกายเจริญเติบโตช้า ตัวเตี้ยแคระแกรน โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยนแปลงผิดปกติ (Thalassemia facies) มีโรคเจ็บป่วยอื่นแทรกซ้อนง่าย ผู้ป่วยต้องได้รับเลือดทดแทนอย่างสม่ำเสมอ ทุก 2 – 4 สัปดาห์ จึงจะดำรงชีวิตอยู่ได้ มิฉะนั้น สุขภาพจะทรุดโทรมอย่างมาก ซีดมากจนหัวใจวาย และมีอายุขัยสั้นโรคเบต้าธาลัสซีเมียฮีโมโกล(Thalassemia/Hemoglobin E) ก็เป็นโรคที่พบได้ค่อนข้างบ่อยในเด็กไทย อาการอาจจะรุนแรงมากหรือค่อนข้างรุนแรงก็ได้
        ปัจจุบัน การรักษาผู้ป่วยเด็กที่มีอาการซีดรุนแรง ควรจะพยายามหาทางปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากผู้บริจาคที่ไม่ป่วยและมีหมู่เลือดพิเศษ HLA ตรงกัน ซึ่งมักจะเลือกจากพี่น้องของผู้ป่วยก่อน เพราะพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันมีโอกาสมีหมู่ HLA ตรงกันได้ 25 % การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดเป็นหนทางเดียวที่จะรักษาโรคธาลัสซีเมียให้หายขาดได้ถ้าไม่สามารถหาผู้บริจาคที่เหมาะสมได้ คงต้องให้การรักษาโดยการให้เลือดทดแทนอย่างสม่ำเสมอตลอดไป ร่วมกับการให้ยาขับเหล็กอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ป่วยจะมีภาวะธาตุเหล็กสะสมเกินผิดปกติจากการได้รับเลือดบ่อย ธาตุเหล็กที่มากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อตับ ตับอ่อน   ต่อมไร้ท่อและหัวใจ นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรได้รับประทานยาบำรุงเม็ดเลือดโฟลิค  (Folic acid) ทุกวันไปตลอดชีวิต ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงและหลีกเลี่ยงยาบำรุงที่มีธาตุเหล็ก ผู้ป่วยบางรายมีม้ามโตมากหรือ มีอาการซีดลงเร็วมากจนต้องให้เลือดบ่อยขึ้น แพทย์อาจจะต้องพิจารณาผ่าตัดม้ามออกเมื่อผู้ป่วยมีอายุเกิน 4 ปีแล้ว วิธีการต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อช่วยยืดอายุผู้ป่วยให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้การดูแลด้วยความเข้าใจและใส่ใจผู้ป่วยเด็กเป็นสิ่งสำคัญมาก เด็กเล็กอาจจะกลัวการที่ถูกเจาะเลือดบ่อยหรือถูกแทงเข็มเพื่อให้เลือด เด็กโตที่รู้ความอาจเกิดความรู้สึกเป็นปมด้วยที่ตนเองเป็นผู้ป่วยเรื้อรัง สุขภาพไม่แข็งแรง หรือหน้าตารูปร่างดูผิดปรกติ บิดามารดาผู้ปกครองและครูอาจารย์จะต้องคอยเป็นกำลังใจให้แก่เด็ก โดยทั่วไป ถ้าเด็กได้รับการรักษาอย่างสม่ำเสมอและระดับเลือดแดงไม่ซีดมากเกินไป เด็กก็สามารถไปเรียนหนังสือหรือออกกำลังกายได้ใกล้เคียงกับเด็กปรกติคนอื่นโรคโลหิตจางในเด็กไทย ยังมีโรคอื่นๆ ที่พบได้อีกหลายโรค ซึ่งกุมารแพทย์ผู้ชำนาญทางโลหิตวิทยา สามารถให้ความรู้และคำปรึกษาแนะนำกับท่านได้
ที่มา  www.oknation.net

อัพเดทล่าสุด