https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
การแต่งกายผู้หญิงมุสลิม ทำไมสาวมุสลิมถึงคลุมผม และทำไมชายถึงใส่เป็นหมวก MUSLIMTHAIPOST

 

การแต่งกายผู้หญิงมุสลิม ทำไมสาวมุสลิมถึงคลุมผม และทำไมชายถึงใส่เป็นหมวก


7,667 ผู้ชม

คนดีที่ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม  อิสลามก็ระบุว่าเขาก็จะได้รับความดีตอบแทนเฉพาะในโลกนี้ แต่สำหรับอิสลาม ความดีที่ได้รับการตอบแทนถึงโลกหน้า เป็นความดีที่คงทนถาวร


ทำไมสาวมุสลิมถึงคลุมผม และทำไมชายถึงใส่เป็นหมวก การแต่งกายผู้หญิงมุสลิม

เรียบเรียงโดย ทีมงานสำนักข่าวมุสลิมไทย info.muslimthaipost.com

Source: https://www.annisaa.com

การแต่งกายผู้หญิงมุสลิม

ทำไมสาวมุสลิมถึงคลุมผม และทำไมชายถึงใส่เป็นหมวกประจำ
อยากทราบมากๆว่าทำไมอิสลามจึงคุมหัวส่วนชายนั้นใส่หมวกอยากทราบค่ะใครช่วยบอกที Huh?
การแต่งกายผู้หญิงมุสลิม ทำไมสาวมุสลิมถึงคลุมผม และทำไมชายถึงใส่เป็นหมวก
การคลุมผ้า (ฮิญาบ )ของสตรีมุสลิมนั้นไม่ใช่ประเพณีของอาหรับ แต่เป็นบทบัญญัติของศาสนา ฮิญาบ แปลว่า ปิดกั้น
ประวัติที่มาของการคลุมฮิญาบมีดังนี้
ช่วงแรกๆในการเป็นศาสนฑูตของท่านนบีมูฮำมัดนั้น ยังไม่มีคำสั่งเรื่องการคลุมฮิญาบลงมา
ครั้นเมื่อท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.) มุ่งหน้าไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ช่วงนั้นท่านนบียังไม่มีที่บ้านเป็นของตนเอง จึงพักที่บ้านของอบูอัยยูบ
แต่ภรรยาของท่านนบีต้องพักที่อื่น เช่นนั้นเมื่อภรรยาของท่านนบีและสตรีมุสลิมท่านอื่นๆ ต้องการออกไปทำภาระกิจ (เช่น ธุระส่วนตัว....เมื่อก่อนยังไม่มีห้องน้ำ)
ในยามค่ำคืน ก็ต้องออกไปทำภารกิจนอกบ้านซึ่งในระหว่างทาง พวกอันธพาลมักนั่งแถวๆ ข้างทาง คอยหยอกล้อ,จีบสาว
และพูดจาเกี้ยวพาราสีต่อสตรีที่เดินผ่านไปมา
ด้วยเหตุนี้พระองค์อัลลอฮฺทรงประทานอัลกุรฺอานในบทที่ว่า
"โอ้นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบรรดาบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธาโดยให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนางเถิด" ( Qu’ran บทอัลอะหฺซาบ 33 : 59)
**ถ้าเป็นกลุ่ม กุรอานนียูร จะเชื่อว่าดึงผ้าลงมาปิดแค่ช่วงหน้าอกก็พอ ใครพบเจอก็ระมัดระวังกลุ่มนี้นะคะ
เพราะเขาจะเชื่อเฉพาะอัลกุรอาน ไม่เชื่อตัวบทฮะดีษ ตีความกุรอานเองเข้าข้างตนเอง อากีดะฮฺจะเสียได้

การแต่งกายผู้หญิงมุสลิม ทำไมสาวมุสลิมถึงคลุมผม และทำไมชายถึงใส่เป็นหมวก


การคลุมฮิญาบของสตรีนั้น โดยทั่วไป จะเปิดเผยแค่ใบหน้าและฝ่ามือ
ส่วนการปิดจนเหลือแต่ลูกตานั้นเป็นทัศนะที่ปฏิบัติเพื่อป้องกันตนเองจากฟิตนะห์ (ความไม่ดีไม่งามทางสังคม) เช่น ป้องกันการถูกแซว หรือ การหยอกล้อเชิงชู้สาว
จากเพื่อนชาย เป็นต้น
การปิดหน้าจนเหลือแต่ลูกตา ไม่ได้มีไว้เพื่อปิดบังตัวเอง จากการทำสิ่งไม่ดี หรือ เพื่อเจตนากระทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ให้ผู้อื่นรู้ว่าตนเองเป็นใคร เพื่อไม่ให้ใครจำได้
..เช่น ยามปกติ(หมายถึงการใช้ชีวิตปกติทั่วๆไปก็ใส่ฮิญาบธรรมดา) ก็ไม่ได้ปิดหน้าปิดตา การกระทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เช่นนี้ไม่ใช่เจตนาของอิสลาม ที่้ใช้ศาสนาอำพราง กระทำในสิ่งไม่ดี  
และการปิดหน้านั้นไม่ใช่เพื่อป้องกันฝุ่นทะเลทรายหรือประเพณีอย่างที่คิดกันไปเอง เพียงเพราะว่าอิสลามมาจากประเทศแทบอาหรับทะเลทราย แต่มาจากบทบทบัญญัติศาสนา ในเรื่องการคลุมฮิญาบและป้องกันสิ่งที่ไม่ดีนั่นเอง
อย่าไปล้อเลียนดูถูกคนที่ปิดหน้า เพราะเขาทำเพื่อป้องกันฟิตนะฮฺและอยู่ในหนทางอิสลามเช่นกัน
(เรื่องทัศนะของบรรดาผู้ร ู้เรื่องเปิดหน้า ปิดหน้า จะเอามาลงอีกที อินชาอัลลอฮฺ)
เขาก็ต้องใช้ความอดทนมากกว่าคนที่เปิดเผยใบหน้าและฝ่ามือ น่ายกย่องเขามากกว่า…ที่เขาเลือกที่จะป้องกันตัวเองก่อนที่สิ่งไม่ได้ต่างๆ จะมาถึงตัวเขา
ดังนั้น จะเปิดหรือปิดหน้า ไม่ควรนำมา่เถียงกัน ว่าคุณถูกเธอผิด หรือไปดูถูกคนที่เขาปิดหน้า สำรวจตัวเองว่า ตัวเองปฏิบัติในศาสนาได้ดีแล้วหรือ ที่จะไปกล่าวหาผู้อื่น  Smile2 ว่าเ้ขาทำไม่ถูกต้อง
ทัศนะส่วนตัว จากที่พบเห็นได้ศึกษาเรียนรู้พฤติกรรมและจิตใจมนุษย์   พบว่า์ปิดหน้าป้องกันฟิตนะห์ได้มากกว่า เพราะบางทีแม้กระทั่งดวงตา ปาก จมูก รอยยิ้ม น้ำเสียง หรือส่วนของมือของสตรี ก็ทำให้ฝ่ายชาย คิดอะไรไปได้กว่ากว่าที่ สตรีคิด เพราะชายมีความสามารถรับรู้ด้านอารมณ์ทางเพศได้มากกว่าหญิง พูดง่ายๆว่า ความรู้สึกของชายไวต่อสิ่งเร้ามากกว่าหญิง  แต่หญิงจะมีความรู้สึกด้าน ความรักความสวยงามมากกว่า
แต่ไม่ใช่อยู่กับน้องชายกับพ่อ ก็เล่นแต่งชุดว่ายน้ำอยู่กับบ้านก็ไม่ถูกต้อง  แต่งได้ แต่แต่งให้สามีดูนะคะ หรือแต่งในห้องดูคนเดียว

ฮิญาบคือการกดขี่สตรีเพศรึเปล่า ??
ฮิญาบไม่ได้เป็นการกดขี่สตรีเพศของอิสลาม
อยากให้มองดูสังคมแบบใจที่เป็นกลาง อิสลามให้ป้องกันก่อนจะมีสิ่งไม่ดีตามมา อิสลามมีการปกป้องและป้องกันจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย เราไม่อาจปฏิเสธได้ ในเรื่องธรรมชาติอารมณ์ของมนุษย์ มีได้หลายอย่าง การมอง การได้กลิ่น และการสัมผัส
ดังนั้น ด้วยหัวใจของมนุษย์นั้นที่ไม่สามารถคาดเดาได้ อิสลามจึงให้สตรีปกป้องตัวเองไว้ก่อน ดีกว่าที่จะไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ดูแลตัวเองปกป้องตัวเองเสียก่อน ก่อนที่จะไปพึงพาอาศัยคนอื่น หรือเมื่อเกิดปัญหาแล้วมาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
สั้นๆง่ายๆ ..
ป้องกันก่อนเกิดปัญหา ^^
อีกทั้งยังแสดงถึงความเท่าเทียมกัน ไม่โชว์ว่ามีดีกว่าคนอื่น สวยกว่าคนอื่น ไม่ต้องโชว์เครื่องประดับประดาต่างๆ และลดปัญหาการล้อเลี่ยนปมด้อยในร่างกายของแต่ละคน เช่น ร่างกายผิดปกติ เป็นเหตุที่เขาควบคุมไม่ให้เกิดขึ้นกับเขาไม่ได้ ตรงนี้เมื่อคนไม่เห็น เขาจะสุขสงบใจมากกว่า ที่คนจะมองด้วยสายตาประหลาดๆ ทำให้เกิดเป็นปมด้อยขาดความมั่นใจ
จนลืมไปว่าทุกคนมีความสามารถหลายๆอย่าง สามารถงัดมาใช้ให้เป็นประโยชน์เพิ่มคุณค่าให้กับตัวตน เช่นความรู้ความสามารถ ด้านศาสนา การเรือน และด้านอื่นๆอีกมาก
จึงเป็นสิ่งช่วยสร้างความอบอุ่นทั้งกายและใจในภายใต้ฮิญาบ นอกจากฮิญาบแล้ว เสื้อผ้าก็จะไม่รัดรูปค่ะ เน้นส่วนต่างๆของร่างกาย ก็ไม่แตกต่างกับที่ไม่คลุมฮิญาบนั่นเองค่ะ ^^
ในประเด็นที่ว่ามีดีก็ต้องโชว์ แต่อิสลามสวยด้วยการปกป้อง สวยด้วยอัตลักษณ์ของศาสนา มองให้ลึกลงไปว่าสาวๆเหล่านั้นรักนวลสงวนตัว และมีความสวยงามของผู้ศรัทธา^^
ได้พูดคุยแลกเปลี่ยน กับคนต่างศาสนาหลายๆคน ที่ตั้งใจมาสอบถามหาความรู้เกี่ยวกับอิสลาม ทุกคนพูดว่า สตรีอิสลามแต่งกายปกปิด เห็นอยากให้สังคมเป็นแบบนี้มาก เพราะจะช่วยยกระดับ ปัญหาสังคมต่างๆ และดูมีค่า มีราคามากกว่า เปิดโชว์  คำพูดจากชายต่างศาสนา
ส่วนการแต่งกายของชายมุสลิมนั้น
ก็ตามปกติทั่วๆไป มีส่วนที่ต้องปกปิดไว้ ตั้งแต่ ระหว่างหัวเข่าถึงสะดือค่ะ จะใส่สูทผูกไทค์ หรือจะใส่สะโหร่ง กางเกงเลก็ได้ ^^ ฯลฯ
แต่ต้องไม่ปิดเผยเอาเราะฮฺนั่นเอง (สำหรับชาย คือ ระหว่างหัวเข่าถึงสะดือ)
และการสวมหมวกของชายมุสลิม(ทั้งสีขาวและสีอื่นๆ) เรียกกว่าหมวกใส่เพื่อทำการละหมาด( นมัสการพระเจ้า)


ภาษามาลายูเรียกว่า กะปิเยาะห์ (เป็นที่มาของชื่อเขตบางกะปิอีกด้วยเพราะเมื่อก่อน พื้นที่นี้มีมุสลิมมากมายอยู่บริเวณพื้นที่นั้น
คนเรียกจากบางกะปิเยาะห์มาเป็นบาง) ที่ชายมุสลิมใส่เป็นส่วนมาก เพราะท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.) ได้กระทำไว้เป็นแบบอย่าง
( อิสลามนั้นใช้แบบอย่างจากนบีท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.) ที่รับวะยูห์มาจากพระเจ้า เรียกว่าซุนนะฮฺ) แต่ไม่ได้จำเป็นต้องใส่แต่หมวกเท่านั้น
เพราะท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.) บางครั้งก็ใช้ผ้าสะระบั่น มาโพกที่ศรีษะ บางครั้งก็ใส่หมวกและเอาผ้าโพกอีกครั้งหนึ่งค่ะ
การที่มุสลิมโพกผ้าศีรษะถือว่าเป็นซุนนะฮฺเหมือนกัน มีรายงานถึงลักษณะของท่านนบีว่า ท่านอัมร์เล่าว่า
" ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวเทศนาธรรม (คุฏบะฮฺ) โดยใช้ผ้าโพกศีรษะสีดำ "บันทึกโดยติรฺมิซีย์ , อิบนุมาญะฮฺ และอบูดาวูด)
ส่วนจะใส่หรือไม่ใส่ทั้งในเวลาปกติ หรือเวลาละหมาดนั้น ไม่ได้เป็นคำสั่งใช้ ว่าจำเป็นต้องกระทำ (เช่นการละหมาด นั้นจำเป็นต้องทำ) แต่ทำตามท่านนบีนั่นจะดีกว่านั้นเอง
อาจจะถามว่าทำไม ชายส่วนที่ปกปิด ระหว่างหัวเข่าถึงสะดือ แต่หญิง คือ ฝ่ามือและใบหน้า เพราะชายมีหน้าที่มากมายกว่าหญิง ชายเป็นเพศที่ต้องปกป้องและทำหน้าที่ดูแลครอบครัว
แต่หญิงเมื่ออยู่ในบ้านก็ตามปกติ นั่นเองค่ะแค่ออกจากบ้านก็ต้องมีฮิญาบ... และ่เมื่ออยู่กับผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวก็ต้องปกปิดร่างกายด้วยฮิญาบแต่ระหว่างสตรีด้วยกันก็เปิดเผยได้ตามปกติทั่วไป

คำอธิบายเพิ่มเติม: การแต่งกายผู้หญิงมุสลิม

การอธิบายคำว่า "ม่าน" ของสมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ เพราะม่านแปลว่า สิ่งปิดกั้น
ดังนั้น ฮิญาบ จึงหมายถึงสิ่งที่ปิดกั้น นอกจากนี้ ยังใช้เรียกด้วยคำอื่นๆ อีก เช่น นิกอบ คิมารฺ บุรฺเกาะ หรือ ตอรฺฮะฮฺ
ขอยกอายะฮฺ ทั้งหมดที่เกี่ยวกับฮิญาบ
ซูเราะฮฺ อันนูร (แสงสว่าง)  24 : อายะฮฺที่ 31
"และจงประกาศแก่มวลสตรีผู้มีความศรัทธาทั้งหลาย ให้พวกนางยับยั้งสายตาของพวกนาง ( อย่างมองสิ่งต้องห้าม) และให้พวกนางรักษาสิ่งพึงสงวน (อวัยวะเพศ) ของพวกนางไว้ และพวกนางจะต้องไม่เปิดเผย (ร่างกายส่วนที่สวมใส่) สิ่งประดับของพวกนาง (ให้ปรากฏแก่สายตาเพื่อนต่างเพศ) ยกเว้นส่วนที่เปิดเผยจากมัน (คือบางส่วนของร่างกายที่อนุญาตให้เปิดเผยได้) และให้พวกนางดึงผ้าคลุมศีรษะของพวกนาง ลงมาปิดไว้บนคอเสื้อ(หน้าอก)ของนาง และอย่าให้พวกนางเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง ยกเว้นสามีของนางเอง หรือบิดาของพวกนาง หรือบิดาของคู่ครองของพวกนาง"
สาเหตุของการประทานอายะฮฺนี้ ตามที่ผู้รายงานคือ มุกอติล อิบนุฮัยยาน กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากญาบิร อิบนุ อับดุลลอฮฺ อัลอันซอรีย์ เล่าว่า
นางอัสมาฮฺบุตรสาวของมัรษัด ขณะที่นางกำลังอยู่ในที่ส่วนตัวของนางในกลุ่มของบะนีฮาริษะฮฺ บรรดาผู้หญิง(ในสมัยนั้น)ไดพากันเข้าไปหานางโดยที่ไม่ได้ใส่ผ้านุ่ง ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงเครื่องประดับจากกำไลข้อเท้า และในส่วนหน้าอกและเต้านมก็เปิดเผยด้วย อัสมาฮฺได้กล่าวว่า ช่างน่าเกลียดอะไรเช่นนี้ ! (อิสลามไม่อนุญาตให้มองดูร่างกายที่โป๊เปลือยของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้ามก็ตาม)
หลังจากนั้นอัลลอฮฺจึงได้ประทานอายะฮฺกุรอานลง
ท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺ เล่าว่า เธอเคยได้อยู่กับท่านรอซูลุลอฮฺ พร้อมท่านหญิงมัยมูนะฮฺ  ขณะนั้นเองที่เราทั้งสองอยู่กับท่านนบีมีชายคนหนึ่งชื่อ อิบนุ อุมมิ มักตูม เข้ามาหาท่าน ซึ่งเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นหลังจากที่เราได้รับคำสั่งเรื่องคลุมฮิญาบแล้ว ดังนั้นท่านรอซูลุลลอฮฺจึงพูดกับเราว่า เธอทั้งสองจงคลุมฮิญาบปกปิดจากเขาซิ แล้วฉันก็พูดว่า โอท่านรอซูลุลลอฮฺ เข้าไม่ได้เป็นคนตาบอดหรือไง เขามองไม่เห็นเราหรอก และเขาก็ไม่รู้จักเราด้วย? ท่านรอซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า แล้วเจ้าทั้งสองตาบอดหรือเปล่า? แล้วเจ้าทั้งสองมองไม่เห็นเขาหรอกหรือ ? (รายงายโดยอบูดาวูด และอัตติรฺมิซีย์)
ดังนั้น การดึงผ้าลงมาคลุมอกนั้น คงไม่ใช่ผ้าพันคอเป็นแน่แท้  Wink  เพราะกล่าวไว้แล้วว่า ผ้าจากศีรษะ
สร้อยข้อเท้าเดินแล้วเสียงกรุ๊งกริ๊ง ก็ไม่แตกต่างจากยุคยาฮิลิยะฮฺ เพราะใช้เรียกร้องความสนใจ ^^ เรียกว่าตกเป็นลูกน้องของชัยฎอน เพราะเมื่อเรียกร้องความสนใจคนที่มองมาก็จะมีทั้งชายและหญิง ชายก็จะทำซินาด้วยสายตา หญิงก็จะมามองด้วยสายตา….

ซูเราะฮฺ อัลอะหฺซาบ 33 : อายะฮฺที่ 33
"และจงอยู่ในบ้านเรือนของพวกเธอ และอย่าได้โอ้อวดความงาม (ของพวกเธอ) เช่น การอวดความงาม (ของพวกสตรี) แห่งสมัยงมงายในยุคก่อน"
อายะฮฺนี้ เน้นว่า อย่าโอ้อวดความงาม ด้วยการเปิดเผยเรือนร่างของสตรีดังเช่นผู้หญิงในสมัยก่อนอิสลาม ที่พวกนางออกจากบ้านโดยปราศจากฮิญาบ และไม่อนุญาตที่จะออกไปในที่ที่ไม่เหมาะสม แม้ว่าจะแต่งกายถูกต้องด้วยการคลุมฮิญาบมิดชิด เช่นไปอยู่ในสถานที่ลับตาคนกับชาย หรือไปยังแหล่งอบายมุข

ซูเราะฮฺ อัลอะหฺซาบ 33 : อายะฮฺที่ 53
"โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! พวกเจ้าอย่าได้เข้าไปในบ้านทั้งหลายของนบี เว้นแต่จะเป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้า เพื่อรับประทานอาหารโดยมิต้องคอยการปรุงอาหารให้สุกเสียก่อน เพื่อรับประทานอาหารโดยมิต้องคอยปรุงอาหารให้สุกเสียก่อน แต่เมื่อพวกเจ้าได้รับเชิญก็จงเข้าไป ครั้นเมื่อพวกเจ้ารับประทานเสร็จแล้วก็จงแยกย้ายกันออกไป และอย่าเป็นผู้ชอบวิสาสะในการสนทนา แท้จริง ในการนั้นย่อมทำความรำคาญให้แก่ท่านนบี ซึ่งท่านกระดากอายพวกเจ้า แต่อัลลอฮฺไม่ทรงกระดากอายต่อความจริง และเมื่อพวกเจ้าขอสิ่งใดจากพวกนาง ก็จงขอพวกนางจากหลังม่าน เช่นนั้นแหละเป็นการบริสุทธิ์อย่างยิ่งแก่จิตใจของพวกเจ้าและจิตใจของพวกนาง และไม่เป็นการบังควรแก่พวกเจ้าที่จะก่อความรำคาญให้แก่ร่อซูลของอัลลอฮฺ และพวกเจ้าจะต้องไม่แต่งงานกับบรรดาภริยาของท่าน หลังจากท่าน (ได้สิ้นชีพไปแล้ว)
เป็นอันขาด แท้จริงในการนั้น ณ ที่อัลลอฮฺเป็นเรื่องที่ใหญ่หลวงนัก "
สาเหตุของการประทานอายะฮฺนี้ เกิดขึ้นขณะที่ท่านนบีจัดการแต่งงานระหว่างท่านกับนางซัยหนับ บินติญะฮฺช์ และได้เชิญผู้คนให้มาร่วมรับประทานอาหารที่บ้านของท่าน แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับทำให้ท่านลำบากใจ บางคนก็นั่งไม่ยอมลุกไปไหน ทั้งๆที่รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว บางคนก็นั่งพูดคุยกันไม่เลิก แต่ด้วยมารยาทอันดีงามของท่านนบีซล. ทำให้ท่านเกรงใจ ไม่กล้าที่จะออกปากบอกเขาเหล่านั้นและอดทนรอจนกว่าพวกเขาจะลุกออกไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
จนในที่สุด อัลลอฮฺซุบบะฮานะฮูวะตะอาลา จึงได้ลงวฮีย์ ในอายะนี้ มาให้ท่านนบีซล. และการไปรับประทานอาหารในงานเลี้ยง ซึ่งกไม่จำเป็นต้องไปนั่งรอตั้งแต่อาหารยังไม่สุก แล้วนั่งคุยรอจนกว่าจะสุก  ตลอดจนมารยาทของการพบปะพูดคุย เพื่อขอสิ่งใดไม่ให้เข้าไปขอโดยตรง   แต่ให้กระทำหลังสิ่งที่เป็นม่านกั้น เพื่อเป็นการให้เกียรติท่านนบี ซล.และบรรดาภรรยาของท่าน
ดังนั้นจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ผู้ศรัทธาทุกคนต้องยกย่องและให้เกียรติแก่ท่านนบีและครอบครัวของท่าน ต้องระมัดระวังที่จะไม่ทำการใดๆ ที่สร้างความอึดอัดใจแก่ท่าน หรือทำร้านจิตใจท่านนบี ซล.และครอบครัว
อัลลอฮฺ ซุบบะฮานะฮูวะตะอาลา ทรงเน้นย้ำว่า นี่เป็นเรื่องใหญ่ ณ ที่อัลลอฮฺ ซุบบะฮานะฮูวะตะอาลาให้เราสำนึกไว้
อายะฮฺนี้ประทานลงมาเกี่ยวกับมารยาทในการรับประทานอาหารในงานเลี้ยง มารยาทการปกปิดร่างกาย  การให้เกียรติท่านนบี และภรรยาของท่าน ที่เปรียบเหมือนมารดาของศรัทธาชน

ซูเราะฮฺ อัลอะหฺซาบ 33 : อายะฮฺที่ 59
"โอ้นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบรรดาบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธาโดยให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง เพื่อที่นางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ "
และอายะฮฺนี้ อัลลอฮฺทรงอนุญาตแก่สตรีให้ออกไปทำธุระที่จำเป็นได้

ข้อมูลเสริม 
ซูเราะฮฺ อัลอะฮฺซาบ 33 อายะฮฺที่ 36
"ไม่บังควรแก่ผู้ศรัทธาชายและผู้ศรัทธาหญิง เมื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ได้กำหนดกิจการใดแล้ว สำหรับพวกเขาไม่มีทางเลือกในเรื่องของพวกเขา และผู้ใดไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้วแน่นอนเขาได้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง"

สรุป การแต่งกายผู้หญิงมุสลิม


คลุมเพราะเป็นคำสั่งคลุม จากพระเจ้า  ทำไมต้องเชื่อปฏิบัติตามพระเจ้า เพราะอิสลามนั้น เชื่อในพระเจ้าว่าเป็นผู้ทรงสร้าง
การคลุมจึง เพื่อรักษาและปกป้องสตรี ให้รอดพ้นจาก สายต้นของบุรุษ เพราะการแต่งกายสวยงามเป็นการโอ้อวด ประชันความงาม
ทำให้ชายมอง จากมองแล้วอาจจะถูกลวนลาม อาจจะถูกแซว จนถึงขั้นอาจตกเป็นเหยื่อทางอารมณ์ได้
เมื่อโชว์มาก คุณค่าของสตรีก็จะลดด้อยลงไป  เพราะเธอต้องการนำเสนอว่าเธอสวย
แต่อิสลามส่งเสริมให้สตรีสวยด้วย คุณค่า ด้วยการปกป้องตัวเองด้วยคุณธรรม จริยะธรรมทางศาสนา
อีกทั้ง ความรู้สึกของชายไวต่อสิ่งเร้ามากกว่าหญิง  แต่หญิงจะมีความรู้สึกด้าน ความรักความสวยงามมากกว่า
ดังนั้น การปกป้อง ปกปิดจะช่วยให้เธอปลอดภัยจากภัยอันตรายได้
อาจจะถูกถามกลับว่า แต่งตัวเปิดเผยสวยงามก็เป็นคนดีได้


-ใช่ คนดีที่ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม  อิสลามก็ระบุว่าเขาก็จะได้รับความดีตอบแทนเฉพาะในโลกนี้ แต่สำหรับอิสลาม ความดีที่ได้รับการตอบแทนถึงโลกหน้า เป็นความดีที่คงทนถาวร
อีกทั้งในการสั่งให้ปกปิดนั้น มีฮิกมะฮฺ(วิทยปัญญา) ซ่อนอยู่อีกเช่นกัน
คือการปกปิดร่างกายทำให้ปลอดภัยจากมะเร็งแสงแดด   ข้อดีของการแต่งกายแบบมุสลิมะฮฺ ที่เกี่ยวกับแสงแดด
ี้"ผ้าสีเข้ม จะป้องกันแสงแดดได้ดีกว่าผ้าสีอ่อน" และการสวมหมวก  ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยป้องกันแสงแดด อีกเช่นกัน
ที่สำคัญ อิสลามนั้นต้องปฏิบัติตามซุนนะฮฺ ของท่านร่อซูล Sallallahu 'alaihi wa sallam เพราะท่านเป็นศาสนฑูต เป็นผู้เผยแพร่คำสอนของพระเจ้า
ไม่ใช่ศาสดา  เพราะศาสนาหมายถึงเจ้าของศาสนา
แล้วในสภาพสังคมปัจจุบัน จำเป็นต้องคลุมหรือโพกผ้าไหม?


ตอบ จำเป็นต้องปฏิบัติ เพราะศาสนานั้นกำหนดให้ทำ (ดูได้จากคำสั่งใช้จากอัลกุรอาน)และเป็นการทดสอบด้วยว่า กฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้โดยที่เรามองไม่เห็นผู้กำหนด เราจะยังปฏิบัติได้หรือไม่ เป็นการวัดความศรัทธาพื้นฐานจิตใจ  อิสลามไม่ใช่ศรัทธา้เพียงแค่ใจ แต่ต้องปฏิบัติด้วย ไม่ว่าจะร้อน ไม่ว่าแดดจะแรง ไม่ว่าจะสังคมหน้าที่การงานหรือแฟชั่นใดๆ ก็ยังต้องคลุมศรีษะปกปิดร่างกาย กฏสังคมจะมาเปลี่ยนแปลงศาสนามิได้ เพราะถ้าศาสนาตามสังคม คุณธรรมในใจกจะลดลงตามไปด้วย
ศาสนาอยู่ต้องเหนือสังคม สังคมก็จะดำรงไว้ซึ่งคุณธรรม จริยธรรม ไม่ละเมิดสิทธิกันและกัน และไม่วุ่นวายเพราะทำตามใจตนเองคนละเล็กละน้อย จนรวมเป็นปัญหาสังคมแบบองค์รวมนั่นเอง

อัพเดทล่าสุด