รักษาโรคกรดไหลย้อน อาหารต้องห้ามของโรคกรดไหลย้อน สมุนไพรแก้โรคกรดไหลย้อน MUSLIMTHAIPOST

 

รักษาโรคกรดไหลย้อน อาหารต้องห้ามของโรคกรดไหลย้อน สมุนไพรแก้โรคกรดไหลย้อน


4,102 ผู้ชม


รักษาโรคกรดไหลย้อน อาหารต้องห้ามของโรคกรดไหลย้อน สมุนไพรแก้โรคกรดไหลย้อน

 

 

โรคกรดไหลย้อน ท้องอืด อาหารไม่ย่อย แน่นท้อง

นอกจากการรักษาด้วยการกินยาตามหมอสั่งแล้ว ผมยังต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองในเรื่องต่างๆ ได้แก่ สุขนิสัยในการรับประทานอาหาร, หลีกเลี่ยงอาหารแสลงโรค, ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานและการใช้ชีวิต, ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และรู้จักผ่อนคลายความเครียด
วิธีเหล่านี้ ช่วยท่านได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน ผมหายจากอาการกรดไหลย้อน โดยใช้เวลารักษาด้วยตนเอง 6 เดือน ลองผิดลองถูกกับหลายๆอย่าง ตอนนี้ดีใจที่มีประสบการณ์ตรงกับโรคนี้มาแชร์ให้เพื่อนๆฟัง เพราะผมทราบดีว่า เมื่อเป็นโรคนี้แล้ว ผู้ป่วยทรมานมาก และหายขาดยากมาก “บางทีผมก็นึกขอบคุณโรคกรดไหลย้อนเหมือนกัน ที่ทำให้ผมหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้น”

ที่ผมหายได้ เพราะมี

ตัวเอก คือ ขมิ้นชัน น้ำกะเพรา น้ำขิง
ตัวรอง คือ ผักต้มกากใยสูง, อาหารอ่อนๆ, เคี้ยวให้ละเอียด, ออกกำลังกาย
ตัวประกอบ คือ ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ควร และไม่ควรทาน ลดเครียด และ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานและการดำเนินชีวิตทั้งหมด เช่น การเข้านอน ควรนอนไม่เกิน 22.00 น.

เล่าประสบการณ์
ผู้ที่ควบคุมอาหารแล้วอาการกรดไหลย้อนทุเลาลงไปอย่างมาก
(ข้อมูลได้มาเมื่อกลางปี2553)

คุณแม่ของเพื่อนผมคนหนึ่งอายุ 59 ปี เคยเป็นกรดไหลย้อนมา 8 ปี รักษากับแพทย์มาโดยตลอดแต่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องการควบคุมอาหาร จนกระทั่งมาระยะหลังๆ มีอาการแสบร้อนทรวงอกอย่างรุนแรงในตอนกลางดึก จนต้องลุกขึ้นมาเดินรอบบ้านเพื่อให้อาการแสบหน้าอกทุเลา ทำให้ไม่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ เป็นเช่นนี้มาปีครึ่ง ทั้งๆที่ทานยารักษาโรคกรดไหลย้อน (ที่ราคาเม็ดละ 70 บาท! ทานวันละ 3 เม็ด) ทั้งนี้เพราะคุณแม่ท่านนี้ชอบทานของหวานมาก เช่น ลอดช่อง ก็จะทานน้ำกะทิจนหมด ท่านเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่คลอดลูกคนแรก ท่านจะทานของหวาน 1 ครั้งใน 1 วันเป็นอย่างน้อย เป็นปกติเช่นนี้มาหลายสิบปี
หลังจากที่ได้ควบคุมอาหาร และงดทานของหวานทั้งหมด เน้นทานผักต้ม และเคี้ยวอาหารให้ละเอียด ควบคู่กับการทานยาชนิดเดิม อาการแสบร้อนหน้าอกกลางดึกดังกล่าวก็หายไปภายใน ๒ เดือน ปัจจุบัน คุณแม่ท่านนี้หายจากอาการป่วยแล้ว ของหวานท่านก็ยังทานบ้าง แต่น้อยลงมากเหลือเดือนละครั้ง
อาการแสบหน้าอกนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ใช่เพราะความเครียดอย่างที่เรารู้กันเพียงอย่างเดียว อย่างคุณแม่ท่านนี้ท่านเป็นเพราะรับประทานของหวานมากเกินไป แต่ความเครียดก็เป็นสาเหตุอันดับแรกที่ทำให้อาการกรดไหลย้อนกำเริบ รุ่นน้องคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เวลาที่อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของเขาเครียด อาจารย์จะให้น้องเขาช่วยไปหยิบยาเม็ดละ 70 บาท มาให้อาจารย์ทานทันทีที่อาจารย์เครียด

-------------------------------------

อีกท่านหนึ่ง คุณพ่อของน้องคนหนึ่งอายุประมาณ 65 ปี สมัยก่อนเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ยังไม่มีใครรู้จักโรคกรดไหลย้อน ไม่มีใครรู้ว่า อาการแสบหน้าอกหรือว่าแน่นหน้าอกอาจเกิดจากกรดไหลย้อน (โรคลม) ท่านก็ไปหาหมอตามปกติ หมอก็บอกว่า เป็นโรคหัวใจ ก็ตรวจรักษาตามปกติในสมัยนั้น คุณพ่อท่านนี้มีอาการป่วยอย่างนี้มาประมาณ 20 ปี คือ มีอาการแน่นหน้าอก แสบร้อนทรวงอก และในระหว่าง 20 ปีนี้คุณพ่อท่านนี้ไม่ได้ระมัดระวังการรับประทานอาหาร คือ ยังคงสูบบุหรี่ ดื่มเหล้าเหมือนเดิม บวกกับมีความเครียดจากการทำงานมาก ระยะหลังคุณพ่อท่านนี้มีอาการเพิ่มขึ้นถึงขนาดแสบร้อนกลางอกตลอดเวลา และ แน่นหน้าอกจนสลบ จึงไปพบแพทย์ และหันมาดูแลตนเอง จริงจังกับการรักษาอีกครั้ง กว่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นโรคกรดไหลย้อนและรักษาได้ตรงจุดก็ใช้เวลาหลายปี เรา....คนสมัยนี้ จึงควรใส่ใจสังเกตอาการผิดปกติและรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆนะครับ
ปัจจุบันนี้ (ต้นปี 2554) คุณพ่อท่านนี้ทานแต่โจ๊กหรือไม่ก็ข้าวต้มทั้ง 3 มื้อ + ผักต้ม และเน้นทานอาหารชีวจิต และทานยาควบคู่ อาการดังกล่าวก็ทุเลาลงครับ

คำแนะนำเบื้องต้นในการดูแลตนเอง
เมื่อเป็นโรคกรดไหลย้อน
(อ่านข้อมูลโดยละเอียด โดยคลิกที่ลิงค์ด้านล่างทั้งหมด)

1. ควรทานโจ๊ก ข้าวต้ม ในมื้อเย็นพร้อมกับผักต้มหรือผักลวกเท่านั้น ในมื้อเย็น ผมทานโจ๊กครึ่งจาน + บวบหอมต้ม + ผักกาดขาวต้ม + แตงไทย + ไข่ต้ม 1 ฟอง และเนื้อหมูต้มเล็กน้อย
2. ให้ต้มหรือลวกผักทาน เน้นบวบหอมซึ่งเป็นผักฤทธิ์เย็น (ไม่ใช่บวบเหลี่ยม) - ตามคำแนะนำของพี่โก๋สหายธรรม (อายุ 57 ปี) ผมทานบวบหอมต้มเพียงครั้งเดียวอาการแสบหน้าอกหายไปทันที อาจเป็นเพราะผมเพิ่งมีอาการแสบหน้าอกไม่มากและเป็นครั้งแรก
มีคนถามว่าในการรักษา ผู้ป่วยจะต้องทานแต่ผักต้มนานแค่ไหน ตอบว่า ทานจนกว่าจะรู้ว่า บวมหอมมีรสหวาน
3. พี่โก๋บอกว่า ในมื้อเย็น เขาทานแตงไทยเพียงอย่างเดียว 5 – 6 คำ แตงไทยจะดีเหมือนบวบเหมาะสำหรับคนธาตุร้อน สำหรับผมเป็นคนธาตุเย็นทานแตงไทยอย่างเดียวจะไม่เหมาะ ต้องมีเนื้อสัตว์ด้วย
4. ทานผักสีขาวต้ม เพราะผักสีขาวย่อยง่าย เช่น ผักกาดขาว หัวกะหล่ำปลี กะหล่ำปลี ผักกาดแก้ว สำหรับผักสีเขียวต้ม จะมีใยอาหารสูง ผมทานแล้วรู้สึกดี ทานแล้วเรอออกมาตลอด
5. กระเพาะปลา ทานได้ เพราะย่อยง่าย
6. เน้นทานผักต้มมากๆ ให้ใยกากอาหารไปดูดซับกรด แต่ถ้ามีอาการท้องอืดร่วมด้วย ให้ทานพอประมาณ 1 ถ้วย เช่น บวม 1 ผล + ผักกาดขาว 2 แผ่น เป็นการไม่ให้ลำไส้ทำงานหนักเกินไป
7. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ผมเคี้ยวผักต้ม 1 คำ 3 นาที
8. ออกกำลังกายทุกวัน ให้ความเครียดมันหายไป เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ โยคะ ฯลฯ
9. อย่าทานอาหารอิ่มจนท้องขยายมาก เพราะทำให้หูรูดเสื่อมประสิทธิภาพเร็ว
10. ขณะที่คุณป่วย ให้สังเกตตัวเอง และจดบันทึกไว้เป็นข้อมูลว่า อาหารชนิดไหนแสลงกับตัวคุณเอง ทำให้อาการกรดไหลย้อนกำเริบ หรืออาหารชนิดไหนเหมาะสำหรับตัวคุณ บันทึกไว้.....แล้วนำมาเล่าบนเว็บไซต์ จะได้ทราบว่า ผู้ป่วยโรคนี้ควรเลือกหรือหลีกเลี่ยงอาหารอะไร หรือใช้ชีวิตอย่างไร ซึ่งเป็นประโยชน์แก่คนไข้คนอื่นๆ เช่น พี่โก๋ซึ่งเล่าให้ฟังว่า ได้ทานมะม่วงสุกอย่างเดียวในมื้อเย็น ปรากฏว่า คืนนั้นอาการแสบร้อนหน้าอกกำเริบกลางดึก ทั้งๆที่วันก่อนไม่มีอาการเช่นนี้เลย และอย่างเช่นตัวผม ขณะเป็นโรคนี้จะไม่ถูกกับขนมปังเลย กินพายชิ้นเล็กๆ ชิ้นเดียว (ขนมปังน้อย แต่ไส้เยอะ) ทานแล้ว จุกที่คอทันที ทานผักต้มตามไปให้ช่วยเรอ ก็ไม่เรอ ทานยาขมิ้นชันไป 2 เม็ด ก็ไม่เรอ ดื่มน้ำกระเพราซ้ำ ก็ไม่เรอ แถมแสบร้อนหน้าอกอีกต่างหาก

สรุปว่า

หยุดเครียด + ควบคุมอาหาร + ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และออกกำลังกาย.....โปรดใจเย็นๆค่อยเป็นค่อยไปในการรักษา อาการจะทุเลาจนกรดไหลย้อนหายขาดได้
ข้อเตือนใจ– การเลือกทานอาหารอร่อยนอกบ้านตามใจปาก ทานจุบจิบไม่เป็นเวลาและทานมื้อดึก ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ลูกสาวของพี่คนหนึ่ง อายุ 25 ปี เธอชอบทานอาหารอร่อยๆทุกอย่างตามคำบอกเล่าจากเพื่อนและโฆษณาจากสื่อต่างๆ หลังเลิกงาน เธอมักจะเปิด SmartPhone ดูแผนที่ โทรนัดเพื่อน นัดเจอในร้านอาหารที่เขาแนะนำว่าอร่อย ปรากฏว่า ตอนนี้เธอป่วยเป็นโรคในระบบทางเดินอาหาร มีอาการปวดท้อง และมีเลือดปนมากับอุจจาระ หมอส่องกล้องดูลำไส้ พบแผลในลำไส้ โชคดีที่เธอยังอายุน้อย สามารถรักษาอาการป่วยได้หายขาด และให้ความสำคัญกับการเลือกรับประทานมากขึ้น ถ้าเธออายุมากในขณะที่เป็นโรคนี้ ระบบในร่างกายจะฟื้นตัวเองยากขึ้นแค่ไหน...........ลองคิดดูครับ



แหล่งที่มา : bloggang.com

อัพเดทล่าสุด