https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
กล้วย, กล้วยผง, ท้องเสีย, ปวดท้อง, อุจจาระร่วง, โรคกระเพาะ MUSLIMTHAIPOST

 

กล้วย, กล้วยผง, ท้องเสีย, ปวดท้อง, อุจจาระร่วง, โรคกระเพาะ


719 ผู้ชม


กล้วยผงแก้ ท้องเสีย

กล้วย, กล้วยผง, ท้องเสีย, ปวดท้อง, อุจจาระร่วง, โรคกระเพาะ

นำกล้วยมาปอกเปลือก (กรุณาใส่ผ้ากันเปื้อนขณะทำ เพราะอาจเลอะเสื้อได้ และถ้าใครผิวบางให้ใส่ถุงมือกันยางกล้วยกัดให้คัน) จากนั้นฝานเป็นแว่นบางๆ ตามขวาง เรียงใส่กระด้งตากจนแห้งสนิท ถ้าใครมีเตาอบให้นำกล้วยไปอบด้วยไฟ 50 องศาเซลเซียสนาน 4 ชั่วโมงจนแห้งสนิท นำไปปั่นให้ละเอียด แล้วนำไปร่อนด้วยแร่งเบอร์ 100 เก็บใส่ภาชนะมีฝาปิดสนิทหรือสุญญากาศยิ่งดี จะเก็บไว้ใช้งานได้ราว 3 เดือน ซึ่งวิธีสังเกตว่ากล้วยผงยังไม่หมดอายุก็คือ เวลาตักใช้ผงกล้วยยังแห้งร่วน หากเริ่มสัมผัสได้ถึงความชื้นก็ไม่ควรนำไปใช้ เพราะอาจเกิดเชื้อราได้

วิธีใช้

เมื่อมีอาการ ท้องเสีย หรือปวดท้องโรคกระเพาะ ให้ชงผงกล้วย 1 – 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำร้อนแล้วดื่มเมื่อมีอาการ เท่านี้อาการ ท้องเสีย ก็เป็นเรื่องกล้วยๆ แล้ว ทว่าบางครั้งผงกล้วยอาจทำให้ท้องอืดได้ แนะให้แก้ไขโดยดื่มน้ำขิงเพื่อแก้อาการดังกล่าว

ที่กล้วยผงสามารถเยียวยาอาการดังกล่าวได้นั้น ก็เพราะในกล้วยมีสารรสฝาดชื่อว่า “แทนนิน” ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อโรคอันเป็นสาเหตุที่ทำให้ท้องเสีย ทั้งยังมีสารเพ็กตินสามารถช่วยเคลือบกระเพาะจึงช่วยป้องกันโรคกระเพาะได้

Tips

1. ผู้ที่ไม่มีเตาอบ ควรทำกล้วยผงไว้ใช้แต่น้อย เพื่อป้องกันตัวยาใช้ไม่หมดแล้วขึ้นรา โดยอาจเริ่มทำจากกล้วย 1 หวี ถือว่ายังสามารถเก็บไว้ใช้ได้

2. หากอบกล้วยผงจนแห้งสนิทและมีกระบวนการบดและร่อนที่สะอาดแล้ว แนะนำให้กรอกใส่แคปซูลแล้วเก็บไว้ในกระปุกที่มีฝาปิดสนิท จะช่วยให้เก็บไว้ใช้ได้นาน 6 เดือน

ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสาร Health&Cuisine มีนาคม, Issue 134

อัพเดทล่าสุด