https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
เชียงใหม่ ที่รัก ไฮไลท์ชีวิต “บิด...พิชิตอินทนนท์” MUSLIMTHAIPOST

 

เชียงใหม่ ที่รัก ไฮไลท์ชีวิต “บิด...พิชิตอินทนนท์”


949 ผู้ชม


ไฮไลท์ชีวิต “บิด...พิชิตอินทนนท์”

ไฮไลท์ชีวิต “บิด...พิชิตอินทนนท์”

โดย...บั๊บเบิ้ล


                    เรื่องราวความประทับใจจากการเดินทางท่องเที่ยวเมืองไทยของผมในปีที่ผ่านมา เพิ่งเกิดขึ้นก่อนที่จะสิ้นปีมานี้เอง หรือจะเรียกว่าเป็น “ไฮไลท์” ของชีวิตผมเลยก็ว่าได้ นั่นคือการสานความตั้งใจที่จะขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งมีความสูงที่สุดในประเทศไทยให้ได้ และเป็นสิ่งที่รอคอยมาเกือบ 7 ปี นับตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เพราะอีตอนที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่นั้นไม่มีโอกาสขึ้นไปสัมผัสยอดดอยอินทนนท์ เลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่ อยู่มาตั้ง 4 ปี น่ะ...(บอกใครหลายคนก็อายมาก.! ) การเที่ยวส่งท้ายปีเก่าครั้งนี้จึงเป็นโอกาสแรกและโอกาสสุดท้ายที่จะทำตาม ความตั้งใจนั้นให้สำเร็จจงได้ ถ้าท่านผู้อ่านเข้าใจผม โปรดช่วยเป็นกำลังใจและรับฟังประสบการณ์สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดบนหลัง เบาะเจ้ามอไซค์เก่า ๆ คันนี้ไปด้วยกันเลยนะครับ…

                    สัปดาห์สุดท้ายของธันวาคม ผมรีบสะสางงานที่คั่งค้างให้แล้วเสร็จ โดยวางแผนจะไปท่องเที่ยวพักผ่อนส่งท้ายปีเก่าที่จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมกับยังไม่ลืมความตั้งใจเดิมที่จะขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์ ให้ได้ และแล้ววันนั้นก็มาถึง หลังจากที่ผมและ (..เพื่อนที่รู้ใจ) ใช้เวลาท่องเที่ยวเล็กๆ น้อยๆ อยู่ใกล้ย่านที่พักในตัวเมืองมาได้สองวันแล้ว จนถึงวันจันทร์ก่อนจะขึ้นปีใหม่ 3 วัน เราจึงได้เช่ามอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง ขนาดสี่จังหวะธรรมดานี่แหละ (แต่เครื่องแรงนะ ...จะบอกให้!..) จากร้านเช่าในตัวเมือง และบิดมันออกจากที่พักเมื่อเวลาสิบโมงครึ่งได้ (แบบว่าตื่นสายน่ะ ..!) ใช้เวลาสองชั่วโมงนิด ๆ จึงมาถึงอำเภอจอมทอง อันเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนนท์แห่งนี้ ตอนนี้เพิ่งจะใกล้บ่ายโมง หากรีบขึ้นดอยทันทีอาจจะมีแดดแรงอยู่ เราจึงขับเจ้ามอไซค์ออกนอกเส้นทางเพื่อแวะขึ้นไปชมความงามของ “น้ำตกแม่ยะ” กันซะหน่อย โดยเป็นเส้นทางขึ้นเขายาว 15 กิโลเมตร ลาดชันเล็กน้อยแบบไม่ทำให้เหล่านักบิดหน้าใหม่ต้องหวั่นใจมากมายนัก ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงนิด ๆ บ่ายโมงครึ่งจึงมาถึงน้ำตกแห่งนี้ ซึ่งสวยงามสมคำร่ำลือจริง ๆ เพราะตัวน้ำตกมีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน น้ำที่ไหลจากป่าทึบด้านบนจึงตกลงมากระทบกับผาหินเกิดเสียงดังสนั่น แตกฟองขาว พร้อมกับพัดไอน้ำเย็น ๆ มาปะทะกับใบหน้าของเรา ทำให้ผมที่บิดเจ้ามอไซค์ฝ่าแดดมากว่าสามชั่วโมงจากตัวเมืองเพื่อมาชมชื่นใจ ขึ้นมาทีเดียว ไม่แปลกใจเลยที่เคยได้ยินหลายท่านกล่าวว่าน้ำตกแม่ยะเป็นน้ำตกที่รวบรวมความ สวยงามของทุกน้ำตกในเมืองไทยเข้ามาไว้ที่เดียวกัน หลังจากใช้เวลาชื่นชมความงามของน้ำตกแห่งนี้มาได้ชั่วโมงหนึ่งแล้ว บ่ายสองโมงครึ่งจึงออกจากที่นี่ แต่ก่อนกลับก็ไม่ลืมแวะเติมมื้อกลางวันด้วย...ข้าวเหนียว...ส้มตำ...ไก่ย่าง ...และน้ำโค๊ก จากร้านค้าหน้าที่ทำการน้ำตกกันซะหน่อย ก็แหม!..จะได้เข้ากับสโลแกนของททท. “เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก” ไงละคร๊าบ...  

                    เวลานี้ ชั่วโมงที่รอคอยก็มาถึง หลังจากที่ขับเจ้ามอไซค์ลงมาจากน้ำตกแม่ยะถึงด่านจุดตรวจที่ 1 ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อันเป็นจุดแรกของทางขึ้น บ่ายสามโมงพอดี ภารกิจบิดพิชิตยอดดอยจึงเริ่มขึ้น.. ซะที!..ผมรู้สึกตื่นเต้นพอสมควรที่รู้ว่าต้องขับขึ้นเขาไปอีกกว่า 47 กิโลเมตร เราบิดเจ้ามอไซค์ไปอย่างสบาย ๆ กินลมชมวิวไปเรื่อย ๆ ปล่อยให้กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ล้วนแต่ขับรถยนต์หรูมาจากกรุงเทพฯ หลายคันนำไปก่อน (แถมคิดในใจด้วยว่า..เชอะ!ไม่ได้สัมผัสธรรมชาติใกล้ชิดอย่างเรา...) การที่ได้ขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นด้วยตนเองเช่นนี้ ทำให้ได้สูดอากาศบริสุทธิ์และเห็นความอุดมสมบูรณ์ เขียวขจี ของผืนป่าอินทนน์อย่างเต็มที่ด้วย...แต่หลังจากที่เราขับขึ้นมาได้เกินครึ่ง ทางหน่อย ๆ แล้ว...ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...โอ้...คุณพระ (ไม่) ช่วย!.. โชคร้ายเหลือเกิน.. น้ำมันรถใกล้หมดถังซะแล้ว...ทำไงดี.. ทั้ง ๆ ที่ ตอนลงมาจากน้ำตกแม่ยะยังมีเกือบเต็มถังอยู่เลย ในขณะที่เหลือยังเหลือระยะทางเกือบ 20 กิโลเมตร จึงจะถึงยอดดอย นั่นคงเป็นเพราะที่ผ่านมาเราบิดมานานและต้องขึ้นทางที่ลาดชันสูง ทำให้รถ..ซดน้ำมัน..(ซะเกือบหมดถัง!..) นั่นเอง ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเอามาก ๆ เพราะยิ่งขับสูงขึ้นเท่าไหร่ รถก็ซดน้ำมันมากขึ้น จนประมาณได้ว่าคงขับต่อไปได้ไม่เกิน 5 กิโลเมตรเท่านั้น และความตั้งใจที่รอมานานคงจะจบลงเท่านี้..ฮือๆ!..อยากร้องไห้จริง ๆ .. ตอนนี้สิ่งเดียวในใจที่เหลืออยู่ คือ “สติ” ผมจึงขับช้าลงและภาวนาแต่เพียงว่าให้เจอปั้มน้ำมันของหมู่บ้านชาวเขาที่ใกล้ ที่สุดเท่านั้นก็พอ (ต่อให้ลิตรละ 40 บาท ก็จะเติมเอ้า!..)     และแล้ว..ความหวังนั้นก็เป็นความจริง...เมื่อเราได้เจอพี่ชาวเขาคนหนึ่ง กำลังนอนเล่นอยู่ที่ศาลาริมทาง จึงไม่ลังเลใจที่จะหยุดรถพร้อมกับ...พี่คร๊าบ!..แถวนี้มีปั๊มน้ำมันบ้างมั๊ย คร๊าบω.. คำตอบที่ได้รับก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ เมื่อรู้ว่าเลยจุดนี้ไปประมาณ 3 กิโลเมตรเท่านั้น จะมี “เบนซินแห่งชิวิต” รอเราอยู่ ถึงตอนนี้ ผมอยากร้องออกมาด้วยความดีใจดัง ๆ จัง เราขอบคุณพี่ชาวเขาด้วยมิตรไมตรี และขึ้นไปต่อทันที ซึ่งก็ได้พบปั้มน้ำมันเล็ก ๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้านชาวเขาพอดี เท่านั้นแหละครับ...เบนซิน 91 เต็มถังเลยพี่!...จึงเป็นคำขอซื้ออย่างเป็นทางการจากผม ด้วยราคาลิตรละ 28 บาท เสมือนสิ่งที่จะต่อความฝันที่เหลืออยู่แค่เอื้อมให้สำเร็จ ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยและเราพร้อมที่จะลุยเกือบ 20 กิโลเมตรที่เหลือแล้ว ภารกิจบิดจึงดำเนินต่อไป เจ้ามอไซค์ของเราไต่ระดับความสูงเพิ่มขึ้น พร้อมด้วยอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ทำให้รู้ซึ้งกับคำว่า      “ยิ่งสูง ยิ่งหนาว” จริง  ๆ จนเมื่อเราขึ้นมาถึงพระธาตุนภเมทนีดลและพระธาตุนภพลภูมิศิริ เหลือบเห็นป้ายดอยอินทนน์อีกแค่สองกิโลเมตรเท่านั้น หัวใจของผมพองโตจนถึงที่สุด สองกิโลเมตรสุดท้ายนี้จึงเป็นช่วงที่สูงมาก เจ้ามอไซค์ของเราต้องใช้เกียร์หนึ่งอย่างเดียว ถึงจะมีกำลังขึ้นได้ ...และแล้ว...ไชโย!...พิชิตยอดดอยอินทนนท์สำเร็จแล้ว!..ข้างบนนี้ช่างสวยงาม เหลือเกิน แม้จะต้องใช้เวลาบิดขึ้นมากว่าสองชั่วโมง เกือบหมดหวังกับน้ำมันขีดสุดท้าย และฝ่าความหนาวเย็นยะเยือกระหว่างทางจนลีบไปทั้งตัว แต่ก็ไม่อาจขวางกั้นความประทับใจ ตื้นตัน (และภูมิใจ) ในตัวเองที่เกิดขึ้นได้...มากไปกว่านั้นคือบทเรียนที่ได้รับ ซึ่งจะขอเตือนตัวเองและฝากถึงนักบิดมือใหม่ทุกท่าน ถึงความไม่ประมาทด้านสภาพรถ น้ำมันสำรอง สภาพร่างกาย และเสื้อกันหนาว ที่ต้องพร้อมอยู่เสมอ...หากมีโอกาสที่จะได้บิดพิชิตยอดดอยครั้งต่อไป..

                    แม้ว่าเราจะมีเวลาชื่นชมทัศนียภาพ ณ “จุดสูงสุดแดนสยาม” แห่งนี้ได้เพียงสี่สิบห้านาทีเท่านั้น (...ก็หกโมงเย็น อุทยานจะปิดแล้วน่ะสิ!..) ไม่มีแผนค้างคืน แถมยังต้องขับเจ้ามอไซค์เก่า ๆ คันนี้กลับไปซุกหัวนอนในเมืองอีก แต่ความประทับใจที่ได้ “บิด...พิชิตอินทนนท์” ในวันนี้ จะคงเป็น “ไฮไลท์หนึ่งในชีวิต”...ไปอีกนานเท่านาน... 

…ขอขอบคุณพี่ชาวเขาท่านนั้นอีกครั้งหนึ่งครับ...

อัพเดทล่าสุด