https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
การให้ส่วนแบ่งรายได้แบบ Improshare MUSLIMTHAIPOST

 

การให้ส่วนแบ่งรายได้แบบ Improshare


1,368 ผู้ชม


การให้ส่วนแบ่งรายได้แบบ Improshare




Improshare เป็นรูปแบบหนึ่งของการให้ส่วนแบ่งรายได้ให้แก่พนักงาน การจ่ายผลตอบแทนด้วยรูปแบบเช่นนี้  จะอยู่บนปัจจัยพื้นฐานซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ปฏิบัติงานโดยตรง  ได้แก่  ผลประกอบการที่ดีขึ้นเนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น  หรือค่าเสียหายต่างๆอันเนื่องจากต้นทุนด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยี ค่าใช้จ่ายและค่าจ้างลดลง   

          การให้ส่วนแบ่งรายได้แบบ Improshare นี้จะเป็นการใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์ในการคำนวณเปรียบเทียบระหว่างพื้นฐานการผลิตมาตรฐานกับความสามารถในการผลิตที่ทำได้จริงตามช่วงระยะเวลาที่ได้กำหนดเอาไว้   เมื่อประสิทธิภาพในการผลิตในช่วงเวลาดังกล่าวสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด   ก็จะนำส่วนต่างที่ทำได้มากกว่ามาคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์จ่ายให้แก่พนักงาน ทั้งนี้ แผนการแบ่งรายได้วิธีนี้จะไม่ส่งผลเสียต่อบริษัท   เนื่องจากจะดำเนินการด้วยวิธีนี้ได้ก็ต่อเมื่อรายได้ของบริษัทบรรลุตามเกณฑ์ที่วางเอาไว้แล้วเท่านั้น

          รูปแบบนี้นับเป็นรูปแบบของการแบ่งผลประโยชน์ที่สามารถทำความเข้าใจและจัดตั้งได้ง่ายที่สุด เพราะเป็นรูปแบบของการแบ่งรายได้ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานด้านวิศวอุตสาหการ  โดยใช้ข้อมูลการผลิตในอดีตมาเป็นตัวกำหนดมาตรฐานในการปฏิบัติ

          การใช้แผน Improshare ในระยะเริ่มแรก  เป็นเพียงแค่การคำนวณโดยนำเอาต้นทุนค่าแรงงานและเวลามาตรฐานที่ใช้ในการผลิตในอดีตมากำหนดเกณฑ์ในการวัดผลผลิต   ความแตกต่างระหว่างเวลาที่ใช้ในการผลิตตามจำนวนที่กำหนดของผลผลิตที่ผลิตได้ในอดีต  เปรียบเทียบกับเวลาที่ใช้ในการผลิตเพื่อให้ได้ผลผลิตในจำนวนเดียวกันในปัจจุบัน  ผลของความแตกต่างที่ได้จะใช้เป็นฐานในการคำนวณสูตรโบนัส

ฐานที่ใช้ในการคำนวณ

ฐานที่ถูกจะนำมาใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการคำนวณเพื่อให้เกิดการปรับปรุงให้ดีขึ้น  ในองค์กรต่างๆจะใช้ทั้งแบบถาวร  แบบปรับเปลี่ยนไปมาได้ หรือหมุนเวียนกันไป หรือแบบมีการตั้งเป้าเป็นฐาน   

          ฐานแบบถาวรจะมีอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลาของแผน  ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพนักงานเพราะโบนัสของเขาจะเป็นผลสะท้อนของการปรับปรุงที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา   

          ฐานแบบปรับเปลี่ยนไปมาจะมีการปรับเปลี่ยนบนฐานที่กำหนดขึ้นเป็นช่วงๆ  โดยจะขึ้นอยู่กับระดับของผลการปฏิบัติงานที่ได้มีการวัดผลไว้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา   การนำแผนแบบปรับเปลี่ยนไปมาใช้จะมีปัญหาในการรักษาระดับของโบนัส   เพราะพนักงานต้องทำให้เกิดการปรับปรุงใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง

โบนัสของพนักงาน

เปอร์เซ็นต์ของเงินที่ประหยัดได้จะถูกแบ่งให้กับพนักงานแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับแผนของการแบ่งส่วนแบ่งรายได้ที่จะนำมาใช้    โดยทั่วไปสถานประกอบการที่วัดเพียงประสิทธิภาพในการผลิตของพนักงานมักจะแบ่งเงินที่ประหยัดได้นี้กับพนักงานในเปอร์เซ็นต์ที่สูงที่สุด    

          แต่เดิม แผนการแบ่งรายได้แบบ Scanlon   จะแบ่งผลประโยชน์แก่พนักงานถึง 75 เปอร์เซ็นต์   ในขณะที่แผนแบบ Improshare แบ่งให้ 50 เปอร์เซ็นต์  ในขณะที่แผนแบบ Rucker นั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

          เมื่อมีการตัดสินใจเกี่ยวกับการแบ่งโบนัส  ฝ่ายจัดการจะพิจารณาถึงเงินทุนของธุรกิจความถี่ของการเปลี่ยนแปลง  และจะคาดหมายถึงผลกระทบจากการจูงใจ  อุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยเงินลงทุนมากมักจะจ่ายส่วนแบ่งให้แก่พนักงานนัอย   แผนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย  การที่พนักงานจะได้รับโบนัสจะต้องมีประสิทธิภาพการผลิตในจำนวนที่มากกว่า   

          แผนส่วนใหญ่ องค์กรจะจ่ายเงินโบนัสให้ลูกจ้างเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน รายปักษ์ หรือรายปี   องค์กรส่วนใหญ่จะให้รางวัลแก่พนักงานเป็นรายเดือน   การที่จะพิจารณาให้การจ่ายมีความถี่มากขึ้น  จะต้องพิจารณาถึงข้อมูลที่จะนำมาใช้  ความตั้งใจที่ต้องการจะจูงใจ   ค่าใช้จ่ายในการบริหารและสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน (สภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอนที่จะเป็นสาเหตุทำให้การพิจารณาจ่ายเงินโบนัสต้องเปลี่ยนแปลงไป)

          ฐานแบบหมุนเวียนนั้น  จะคำนวณโดยคิดจากค่าเฉลี่ยของผลการปฏิบัติงานในช่วงเวลาต่างๆที่ได้กำหนดไว้   โดยปกติช่วงเวลาจะมีการปรับเปลี่ยนจาก 4 ถึง 6 สัปดาห์   ตัวอย่างเช่น  ถ้าบริษัทจะใช้ค่าเฉลี่ยของช่วง 4 สัปดาห์  โดยเริ่มจากสัปดาห์แรกของเดือนทีสอง  ถ้าสัปดาห์แรกของเดือนผลงานต่ำลง   ฐานที่จะนำมาเป็นเป้าหมายจะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อไม่มีไม่มีฐานอื่นที่จะนำมาใช้ได้แล้ว   ซึ่งกรณีเช่นนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีผลิตภัณฑ์ใหม่  หรือมีการใช้เทคโนโลยีใหม่  หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในกระบวนการการทำงาน  ซึ่งจะทำให้ฐานที่มีอยู่ใช้การไม่ได้

 

ที่มา : สมาชิกเว็บไซต์

อัพเดทล่าสุด