https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
การทําบอลลูนโรคหัวใจ เพื่อลด สาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด !! MUSLIMTHAIPOST

 

การทําบอลลูนโรคหัวใจ เพื่อลด สาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด !!


1,053 ผู้ชม


การทําบอลลูนโรคหัวใจ สาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบส่วนหนึ่งสามารถรักษาด้วยยาหรือการใส่สายสวนหัวใจ ซึ่งไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่แต่สามารถทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจเพิ่มขึ้น

การทำบอลลูน angiography

ทางการแพทย์เรียก percutaneous tranluminal coronary angioplasty [PTCA]

การทําบอลลูนโรคหัวใจ เพื่อลด สาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด  !! คือการสวนสายผ่านทางผิวหนังเข้าหลอดเลือดหัวใจเพื่อถ่างขยายหลอกเลือดแดงที่ตีบตัน ที่ปลายสายจะมี balloon ซึ่งจะเป่าลมขยาย balloon ซึ่งจะไปขยายบริเวณที่ตีบและเมื่อเอาสายออก รูที่ถ่างจะคงขยายอยู่ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการอบรมจะเป็นสวนสาย

เมื่อไรจึงจะใส่สายสวนหลอดเลือดหัวใจ

การใส่สายสวนหัวใจเป็นวิธีการแพทย์เพื่อวินิจฉัยว่าเส้น เลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบหรือไม่ แต่เนื่องจากการใส่สายสวนก็อาจจะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ดังนั้นจะต้องมีข้อบ่ง ชี้ในการตรวจ เช่น

  1. หากท่านมีอาการเจ็บหน้าอกซึ่งเหมือนกับกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่เรียกว่า Angina pectorisแพทย์อาจจะแนะนำท่านฉีดสีหรืออาจจะให้ท่านวิ่งสายพานก่อน หากผลวิ่งสายพานสงสัยว่าจะตีบมากแพทย์จะแนะนำให้ท่านฉีดสี
  2. ผู้ที่เจ็บหน้าอกแบบ Unstable angina หรือ non Q mi

หากท่านเป็นโรคหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบและมีอาการเจ็บหน้าอกแบบ unstable angina

การใส่สายสวนหัวใจทำอะไรได้บ้าง

  • Balloon angioplasty. เมื่อทราบตำแหน่งที่เส้นเลือดแดงตีบ แพทย์จะใส่สายที่ปลายเหมือนลูกโป่ง เมื่อฉีดลมเข้าไปลูกโป่งจะขยายดันส่วนที่ตีบให้ขยายเพื่อให้เลือดไปเลี้ยง หัวใจเพิ่มขึ้น
  • Stent. A stentคือขดลวดเล็กๆเมื่อขยายหลอดเลือดเสร็จแพทย์จะใส่ขดลวดเล็กๆเพื่อ ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดตีบซ้ำ ขดลวดมีด้วยกันกลายชนิดการเลือดใช้ก็ขึ้นกับพิจารณญาณของแพทย์
  • Rotoblation. ปลายของเครื่องมือจะเหมือนหินขัดเพื่อกรอส่วนที่ตีบ ปัจจุบันไม่นิยมใช้กันแล้ว
  • Atherectomy. ปลายเครื่องมือจะมีมีดไว้ตัดเอาส่วนที่ตีบออก ปัจจุบันไม่นิยมทำแล้ว

หลังขยายเส้นเลือดจะตีบอีกหรือไม่

หลังขยายผู้ป่วย หนึ่งในสามจะมีการตีบซ้ำ restenosis มักจะเกิดภายใน 6 เดือน แต่อย่างไรก็ตามผลการรักษาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี

ประโยชน์ของขดลวดขยายหลอดเลือด Stent

Stent คือขดลวดเล็กๆใส่เข้าหลอดเลือดแดงหลังจากถ่าง [balloon ]เรียบร้อยแล้วเพื่อป้องกันการตีบซ้ำ หลังใส่ขดลวดจะต้องกินยาละลายลิ่มเลือดสักระยะหนึ่ง ปัจจัยเสี่ยงมีอะไรบ้าง พบที่สำคัญคือ

  1. ขยายหลอดเลือกไม่สำเร็จ หลอดเลือดตีบหลังจากขยายทำให้เกิด heart attack จำเป็นต้องผ่าตัดต่อเส้นเลือดฉุกเฉิน
  2. ขณะเกิดหัวใจหยุดเต้นพบได้ร้อยละ 2-5

เตรียมตัวอย่างไรบ้าง

  • ก่อนการทำแพทย์จะเลือด x ray หัวใจ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ
  • ต้องงดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืน
  • หากหูตึงต้องใส่หูฟังเพื่อการสื่อสารกับแพทย์
  • หากท่านป่วยด้วยโรคอะไรต้องบอกให้หมด
  • บอกชื่อยาที่รับประทานโดยเฉพาะยาละลายลิ่มเลือด coumarin
  • แพทย์ยา แพทย์อาหารต่างๆต้องบอกแพทย์

ใช้เวลาในการขยายนานเท่าไร

ใช้เวลาในการขยายหลอดเลือดประมาณ 30 นาที-3 ชั่วโมง

จะต้องดมยาสลบหรือไม่

ใช้เพียงแค่ยาชาฉีดเท่านั้น และอาจให้ยาคลายเครียด เนื่องจากขณะขยายหลอดเลือดแพทย์จะต้องได้รับความร่วมมือ เช่น ไอ พลิกตัว หรือหายใจแรงๆ

ขณะขยายหลอดเลือดเจ็บหรือไม่

ขณะขยายหลอดเลือดจะไม่เจ็บแต่จะแน่นหน้าอกเมื่อแพทย์ฉีดลมเข้าใน balloon หลังขยายอาจจะมีอาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ หลังจากขยายหลอดเลือดอาจจะมีอาการปวดแผลแพทย์จะจ่ายยาแก้ปวด ผู้ป่วยพักในโรงพยาบาล 2-3 วันถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน

จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรหลังจากขยายหลอดเลือด

หลังจากที่ตรวจเสร็จจะต้องนอนราบประมาณ8 ชั่วโมง อาจจะนอนหนุนหมอนสองใบหลังจากทำไปแล้วสองชั่วโมง ระหว่างนี้ควรจะรับประทานอาหารที่เป็นน้ำ

ต้องลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดตีบ รับประทานยาตามแพทย์สั่ง ถ้ามีการตีบซ้ำแพทย์จะทำการใส่ขดลวด Stent แพทย์จะนัดผู้ป่วยวิ่งสายพานว่ามีการตีบของหลอดเลือดหรือไม่

ที่มา   www.siamhealth.net

อัพเดทล่าสุด