https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
โรคเริมที่ปากสาเหตุของโรคเริมที่ปาก และ แผลเริมที่ปาก MUSLIMTHAIPOST

 

โรคเริมที่ปากสาเหตุของโรคเริมที่ปาก และ แผลเริมที่ปาก


965 ผู้ชม


เริมที่ปาก herpes labialisโรคเริมที่ปากสาเหตุของโรคเริมที่ปาก และ แผลเริมที่ปาก

เป็นการติดเชื้อเริมที่ริมฝีปากเกิดจากเชื้อ herpes โดยมีลักษณะเป็นตุ่มใสๆเล็กบริเวณริมฝีปาก ปาก เหงือกและมีอาการปวด

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อ herpes simplex type 1 ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อครั้งแรกอาจจะไม่มีอาการหรือเกิดตุ่มใส เชื้อนั้นจะไปยังปมประสาทและอยู่โดยไม่มีการแบ่งตัว จนมีภาวะแวดล้อมเหมาะสมเชื้อจะแบ่งตัวและทำให้เกิดตุ่มใสที่ปากลักษณะเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำใส แสบและคันเล็กน้อย ตุ่มน้ำใสนี้จะแตกออกง่ายแล้วตกสะเก็ด หายไปในเวลาประมาณ 7-8 วัน ก่อนจะเกิดตุ่มน้ำใส อาจมีอาการตึงๆ ร้อนวูบวาบบริเวณริมฝีปากนำมาก่อนได้ในผู้ป่วย บางรายอาการครั้งแรกจะรุนแรง มีแผลตุ่มน้ำจำนวนมาก มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโตได้ หลังจากอาการหายแล้ว เชื้อไวรัสจะหลบซ่อนภายในปมประสาท ต่อมาเมื่อร่างกายอ่อนแอลง มีอารมณ์เครียด ถูกแสงแดด ฯลฯ เชื้อไวรัสนี้จะออกจากปมประสาทมายังบริเวณที่เคยมีอาการติดเชื้อครั้งแรก ทำให้โรคเป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยๆ โดยทั่วไปการติดเชื้อเริมมักจะไม่รุนแรง แต่ในคนที่มีภูต้านทานต่ำกว่าปกติ เช่น คนที่กำลังได้รับยารักษาโรคมะเร็งหรือกำลังได้รับการฉายรังสี เป็นต้น อาการที่เป็นอาจรุนแรงได้

การติดต่อ

การติดต่อเชื้อนี้จะติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรงเช่นการจูบ หรือการใช้ของร่วมกัน เช่น การใช้ใบมีดโกน การใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน หลังจากได้รับเชื้อ 7-10 วันจะเริ่มเกิดอาการแสบร้อนและตามด้วยตุ่มใสเล็กๆ ตุ่มใสนี้จะอยู่เป็นเวลา 7-10 วันแล้วจึงเริ่มหาย


อาการ

  • เริ่มด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน คันๆบริเวณปากก่อนเกิดผื่น 2 วัน
  • ต่อมาเกิดตุ่มใสที่ปากหรือริมฝีปาก ตุ่มอาจจะรวมกันเป็นแผลใหญ่
  • อาจจะมีไข้ต่ำๆ

การวินิจฉัย

  • จากลักษณะเฉพาะของผื่น
  • จากการเพาะเชื้อ
  • จาการตรวจ Tznack test

การรักษา

  • เมื่อเกิดอาการครั้งแรกในระยะตุ่มน้ำใส ควรรับไปพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยถูกต้องแน่นอน ซึ่งอาจได้รับยาที่ช่วยให้อาการระยะเฉียบพลันดีขึ้น
  • รักษาความสะอาดของร่างกายรวมทั้งล้างมือให้สะอาดทันทีหลังจับต้องแผล เพราะอาจจะนำเชื้อไปสู่ส่วนอื่นของร่างกายได้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น เช่น การจูบ ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกันโดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆ หรือผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำเพาะมีโอกาสติดเชื้อง่าย
  • ผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์
  • ให้ทำความสะอาดผื่นด้วยสบู่ฆ่าเชื้อ
  • การรับประทานยาฆ่าเชื้ออาจจะทำให้หายเร็วขึ้น

โรคแทรกซ้อน

  • ตาบอดได้หากเชื้อนี้เกิดที่ตา
  • เชื้อนี้แพร่ไปติดเนื้อเยื่อข้างเคียง
  • มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผื่น
  • มีการกลับเป็นซ้ำของผื่น
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องการติดเชื้อนี้อาจจะทำให้เสียชีวิต

การป้องกัน

  • ระวังการสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็นเริมและยังมีผื่นในระยะติดต่อ
  • อย่าใช้ของร่วมกัน
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

เริ่มบริเวณอวัยวะเพศ
เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เคยเป็นโรคนี้มาก่อนหรือกำลังมีอาการของโรคนี้อยู่ อาการเริ่มแรกจะมีตุ่มน้ำพองใสเป็นกลุ่ม มีอาการปวดแสบและคันมาก ต่อมาตุ่มน้ำจะแตกออกเป็นแผล เมื่อแผลหายแล้วเชื้อไวรัสยังคงหลบซ่อนในปมประสาท และโรคจะกลับเป็นอีกเมื่อมีปัจจัยส่งเสริมบางอย่าง เช่น ความเครียด ภาวะขาดอาหาร แสงแดด การเสียดสีของผิวกับเสื้อผ้า เช่น กางเกงที่คับๆ เป็นต้น

การปฏิบัติตน

  1. รักษาความสะอาดของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศในระหว่างมีตุ่มน้ำมีแผลควรทำความสะอาด โดยแช่นำอุ่นวันละ 2-3 ครั้ง และซับให้แห้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
  2. งดการมีเพศสัมพันธ์หรือสัมผัสโดยตรงกับแผล
  3. สตรีที่กำลังตั้งครรภ์และกำลังเป็นโรคเริม หรือมีประวัติว่าเคยเป็นรวมทั้งผู้ที่ไม่ได้เป็น แต่สามีเป็นโรคนี้อยู่ ควรบอกประวัติเหล่านี้แก่สูติแพทย์ทุกครั้งด้วย เพราะอาจมีผลต่อเด็กในระหว่างคลอดได้
  4. ในรายเป็นครั้งแรกในระยะตุ่มน้ำควรปรึกษาแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และในรายเป็นซ้ำๆ ก็ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่แน่นอนเช่นกัน
  5. หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้โรคกำเริม เช่น อารมณ์เครียด แสงแดด การเสียดสีของผิวกับเสื้อผ้า



ที่มา   www.siamhealth.net

อัพเดทล่าสุด