https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
แชร์จากผู้ป่วยเบาหวาน ล้างพิษโดยสมุนไพร..เห็นผลแบบนี้ หมอยังอึ้ง MUSLIMTHAIPOST

 

แชร์จากผู้ป่วยเบาหวาน ล้างพิษโดยสมุนไพร..เห็นผลแบบนี้ หมอยังอึ้ง


24,943 ผู้ชม

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในฐานะผู้ป่วยเบาหวาน เวลาที่ระดับน้ำตาลขึ้นติดต่อกันหลายวัน แม้แต่การรับประทานยาก็ไม่สามารถควบคุมให้ลดลงได้ จึงใช้วิธีล้างพิษตับแบบประยุกต์ 1 สัปดาห์ ที่ผ่านมานี้ ระดับน้ำตาลขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง


แชร์จากผู้ป่วยเบาหวาน ล้างพิษโดยสมุนไพร..เห็นผลแบบนี้ หมอยังอึ้ง

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในฐานะผู้ป่วยเบาหวาน เวลาที่ระดับน้ำตาลขึ้นติดต่อกันหลายวัน..มันน่ากลัวเหลือเกิน
 
ความสำคัญของปัญหา

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในฐานะผู้ป่วยเบาหวาน เวลาที่ระดับน้ำตาลขึ้นติดต่อกันหลายวัน แม้แต่การรับประทานยาก็ไม่สามารถควบคุมให้ลดลงได้ จึงใช้วิธีล้างพิษตับแบบประยุกต์ 1 สัปดาห์ ที่ผ่านมานี้ ระดับน้ำตาลขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ระหว่าง 88 มิลลิกรัม% -161 มิลลิกรัม% เป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 6 เดือน เป็นสัญญาณว่า น้ำตาลสะสม หรือ HbA1c น่าจะสูงตามขึ้นไปด้วยค่อนข้างแน่นอน จึงตัดสินใจเข้าโครงการล้างพิษเพื่องดอาหารทุกชนิดที่จะเป็นพาหะนำน้ำตาลเข้าเพิ่มในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายได้นำน้ำตาลเก่าที่สะสมไว้ออกมาใช้งาน
ข้อสมมติฐาน
เมื่อน้ำตาลเก่าถูกนำมาใช้งานมาก และระบายส่วนที่เหลือจากใช้งานผ่านปัสสาวะ ระดับน้ำตาลที่สะสมในเลือดจะลดลง หัวใจสำคัญของการล้างพิษคือ ดื่มน้ำสมุนไพร และน้ำด่างให้มากที่สุดเพื่อชะล้างน้ำตาลออกทางปัสสาวะในปริมาณที่มากกว่าภาวะปกติ เมื่อน้ำตาลใหม่ มิได้เพิ่มขึ้น ระดับน้ำตาลที่ใช้งานอยู่ก็จะเข้าสู่ภาวะปกติตามกำหนด คือ 70 มิลลิกรัม% -110 มิลลิกรัม%
ระดับน้ำตาลก่อนล้างพิษ เช้าวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560 อยู่ที่ 148 มิลลิกรัม% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา เป้าหมายที่คาดไว้ 80 มิลลิกรัม% -110 มิลลิกรัม%
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

เช้าวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560 น้ำหนัก 197 ปอนด์
ความดันโลหิต 141/74 มิลลิเมตรปรอท, ชีพจร 73 ครั้ง/นาที
ระดับน้ำตาล 148 mg/dl



สมุนไพรที่ใช้ดื่ม

บอระเพ็ด ประมาณ 3 ข้อนิ้วมือ

ตะไคร้ 2 ต้น

ก้านและใบมะรุม 7 ก้าน

ก้านและใบมะยม 7 ก้าน

ต้มรวมกัน ดื่มตอนเช้า 5 แก้ว และดื่มได้เรื่อยๆ ดื่มน้ำอัลคาไลน์ ค่า 9+1,500 ซีซี


ดื่มน้ำผสมสมุนไพรล้างลำไส้ วันละ 3 เวลา คือ 09.00 น., 12.00 น. และ 15.00 น. ผงลิดท็อกซ์ประกอบด้วย
psyllium Husk 50%
Lemon peel 10%
ผงขมิ้น 10%
ผงมะรุม 10%
สมุนไพรอื่นๆ อีก 10%
ขนาดรับประทาน ครั้งละ 1/2 ช้อนโต๊ะ
ใช้น้ำอุ่นผสม หรือน้ำผลไม้ตามสะดวก
การล้างพิษนี้ประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์และทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อความสะดวกของการทำ ผลเป็นอย่างไร จะรายงานให้ทราบต่อไป
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 
เพื่อลดระดับน้ำตาลที่สะสมในกระแสเลือดจำนวนมากให้ลดระดับต่ำลง และเพื่อเป็นการขับพิษยาต่างๆ ที่สะสมอยู่ในตับให้ลดปริมาณลง เป็นเหตุให้ระดับไขมันอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายครั้ง)
เริ่มปฏิบัติการล้างพิษ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560-วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560
เวลา 08.00 น.  ดื่มน้ำสมุนไพร ประกอบด้วย บอระเพ็ด ตะไคร้ มะรุม มะยม 5 แก้ว
เวลา 09.00 น.  ดื่มผงลิดท็อกซ์ ชงกับน้ำส้มเปรี้ยวจี๊ด คั้นมา 2 ผล ได้น้ำประมาณครึ่งแก้ว ผสมเกลือปลายช้อนชา
เวลา 10.20 น.  ดื่มน้ำอัลคาไลน์ 700 ซีซี
เวลา 10.28 น.  เจาะเลือด ตรวจระดับน้ำตาล ได้ค่า 136 มิลลิกรัม%
วันนี้มิได้แตะต้องยาจากโรงพยาบาลเลย ดื่มน้ำสมุนไพรและงดอาหารเท่านั้น การล้างพิษคราวนี้ตั้งใจจะดื่มปัสสาวะด้วย เช้านี้ดื่ม 2 แก้ว รสชาติค่อนข้างขม อาจเกิดจากบอระเพ็ดถูกขับออกทางปัสสาวะ
เวลา 10.43 น. วัดความดันโลหิต ได้ค่า 138/73 มิลลิเมตรปรอท ชีพจร 65 ครั้ง/นาที
เวลา 11.00 น. ดื่มน้ำแกงเหลืองไม่มีผักไม่มีปลา 1 แก้ว น้ำแกงเหลืองอุดมไปด้วย ขมิ้น หอม กระเทียม พริกขี้หนู ช่วยล้างและเคลือบลำไส้ได้อย่างดี
เวลา 11.40 น. ดื่มลิดท็อกซ์ชงในน้ำมะนาวหวาน โยมซื้อมะนาวมาจากร้าน 99 เซนต์ คั้นผสมผงลิดท็อกซ์ รสน้ำมะนาวออกหวานๆ นับว่า แปลก ที่พบมะนาวหวานในอเมริกา พออ่านข้างถุงเขียนว่ามะนาวหวานจริงๆ แต่ดื่มประมาณครึ่งแก้ว คงไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลตอนเย็นกระมัง
เวลา 12.15 น. ดื่มน้ำปัสสาวะอีก 1 แก้ว คราวนี้รสชาติจืดสนิทเหมือนน้ำบริสุทธิ์ทั่วไป ไม่รู้สึกแปลก อาจจะเพราะดื่มน้ำอัลคาไลน์เข้าไป 1,400 ซีซี แล้วก็เป็นได้
เวลา 15.20 น. ดื่มลิดท็อกซ์ชงด้วยน้ำอัลคาไลน์
เวลา 16.10 น. ดื่มน้ำปัสสาวะ 1 แก้ว รสจืดสนิท
เวลา 16.15 น. ดื่มน้ำมะระ ผสมแอปเปิ้ลไซเดอร์ และน้ำมันมะกอก
เวลา 16.20 น. ดื่มน้ำมะนาวหวานผสมแอปเปิ้ลไซเดอร์ 1 แก้ว
เวลา 16.25 น. ดื่มกาแฟ 1 แก้ว
เวลา 19.10 น. เจาะเลือดวัดระดับน้ำตาล ได้ค่า 96 มิลลิกรัม%
เวลา 19.19 น. วัดความดันโลหิต ได้ค่า 125/59 มิลลิเมตรปรอท ชีพจร 63 ครั้ง/นาที
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560
เวลา 04.20 น.  ชั่งน้ำหนัก ได้ค่า 194 ปอนด์
เวลา 05.00 น. ทำวัตรเช้านั่งสมาธิ หลังจากทำวัตรเช้าและภาวนาแล้ว
เวลา 06.22 น. วัดความดันโลหิต ได้ค่า 123/66 มิลลิเมตรปรอท ชีพจร 67 ครั้ง/นาที
เวลา 06.25 น. เมื่อวัดความดันโลหิตเสร็จแล้วเจาะเลือดวัดระดับน้ำตาล ได้ค่า 142 มิลลิกรัม%
เวลา 06.40 น.  ดื่มน้ำสมุนไพร ประกอบไปด้วย ตะไคร้ บอระเพ็ด มะรุม และมะยม 5 แก้ว
เวลา 10.35 น. วัดความดันโลหิต ได้ค่า 132/65 มิลลิเมตรปรอท ชีพจร 70 ครั้ง/นาที
เวลา 10.38 น. เจาะเลือดวัดระดับน้ำตาล ได้ค่า 104 มิลลิกรัม%
เวลา 10.48 น. ดื่มน้ำอัลคาไลน์ผสมน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ 1 แก้ว
เวลา 11.40 น. ดื่มน้ำปัสสาวะ 1 แก้ว รสจืดสนิท
เวลา 12.00 น. ดื่มลิดท็อกซ์ผสมน้ำส้มคั้นสดจากต้น รสเปรี้ยวจี๊ด และดื่มน้ำส้มเปรี้ยวจี๊ดที่เหลือจนหมด ตามด้วยน้ำอัลคาไลน์อีก 1 แก้ว
เรื่องการขับสิ่งปฏิกูลออกจากร่างกายครั้งแรกจะมีการสวน แต่เนื่องจากอุปกรณ์และสถานที่เวลาไม่พร้อมก็เลยงดไป ปล่อยให้ระบบขับถ่ายเป็นไปตามธรรมชาติ วันนี้ตอนใกล้ๆ 12.00 น. ถ่าย 2 ครั้ง ในเวลาไล่เลี่ยกัน ครั้งแรกจะมีสิ่งปฏิกูลที่ลิดท็อกซ์ดูดซับออกมายาวเป็นคืบ ครั้งที่ 2 เป็นน้ำขุ่นข้น การขับถ่ายเช่นนี้เป็นสัญญาณบอกว่า กระบวนการล้างอวัยวะภายในได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการอีกแล้ว รู้สึกตัวเบาสบายขึ้น เพลียบ้างเป็นธรรมดาตามประสาการงดอาหารนั้นเอง
เวลา 15.50 น. ดื่มน้ำปัสสาวะ 1 แก้ว รสจืดสนิท ไม่มีกลิ่นและรสสมุนไพรหรือลิดท็อกซ์ที่ดื่มเข้าไปเจือปน น่าอัศจรรย์การทำงานของไตกรองธาตุน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ
เวลา 16.00 น. ดื่มลิดท็อกซ์ผสมน้ำอัลคาไลน์ ต่อด้วยดื่มน้ำมะระ และดื่มน้ำสมุนไพรที่เหลือจากช่วงเช้า
เป็นการระดมพืชรสขมเข้าไปขับไล่น้ำตาลที่สะสมอยู่ในร่างกาย ตามระบบคิดแบบตรรกะที่ว่า “มีมืดต้องมีสว่าง หากมีความหวานก็ต้องนำความขมเข้าไป ทำให้เจือจาง” ตรรกะดังกล่าวจะมีผลจริงหรือไม่ จะรู้ผลภายใน 5 วัน ตอนนี้การทดลองเข้าสู่วันที่ 2 มีแนวโน้มว่า พืชรสขมดังกล่าวจะเริ่มทำงานอย่างน่าจับตามอง แต่ยังไม่มีนัยสำคัญถึงกับจะเชื่อถือและใช้ได้เสมอไป
เวลา 16.50 น. ดื่มน้ำปัสสาวะอีก 1 แก้ว รสชาติจืดสนิท ปลอดจากหวานเค็มและขม ท่านจักรกฤษณ์ ถามว่ารู้สึกจะอาเจียนไหม ตอบว่าดื่มได้สบายมากเหมือนดื่มน้ำบริสุทธิ์ ท่านฟังแล้วหัวเราะชอบใจ
เวลา 17.15 น. ดื่มน้ำส้มคั้นเปรี้ยวจี๊ด สดจากต้น 1 แก้ว เพื่อเสริมความสดชื่นยามสนธยา
เวลา 18.00 น. ดื่มปัสสาวะได้อีก 1 แก้ว รสชาติจืดสนิทเช่นเคย ท่านผู้เชี่ยวชาญด้านปัสสาวะให้หลักการไว้เพื่อตั้งข้อสังเกตรสชาติของปัสสาวะว่า
– ถ้ารสปัสสาวะเค็ม แสดงว่า ไตทำงานหนัก
– ถ้ารสปัสสาวะหวาน ตับอ่อนทำงานหนัก และเป็นสัญญาณบอกว่าเจ้าของปัสสาวะนั้นเป็นเบาหวาน
– ถ้ารสปัสสาวะขม แสดงว่า หัวใจกำลังทำงานหนัก
สังเกตได้ตอนออกกำลังกลับมาใหม่ๆ ปัสสาวะจะขม ถ้ารสปัสสาวะเปรี้ยวแสดงว่า ตับทำงานหนัก ถ้ารสชาติปัสสาวะกลมกล่อมแสดงว่า จะปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ถ้าปัสสาวะจืดสนิทแสดงว่าร่างกายปกติทุกส่วน จากหลักการนี้ สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันในการระมัดระวังการบริโภคที่จะทำให้ปัสสาวะมีรสชาติหนักไปทางใดทางหนึ่งได้ เป็นเครื่องเตือนสติในการรักษาสุขภาพที่ต้นทางได้อีกวิธีหนึ่ง
เวลา 18.13 น. วัดความดันโลหิต ได้ค่า 132/61 มิลลิเมตรปรอท ชีพจร 74 ครั้ง/นาที
เวลา 18.18 น. เจาะเลือดวัดระดับน้ำตาล ได้ค่า 107 มิลลิกรัม%
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไปในฉบับหน้า  www.technologychaoban.com

อัพเดทล่าสุด