https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
การค้นพบตนเอง และ การพัฒนาตนเอง MUSLIMTHAIPOST

 

การค้นพบตนเอง และ การพัฒนาตนเอง


713 ผู้ชม


การค้นพบตนเอง และ การพัฒนาตนเอง




    ถึงแม้คำสั่งสอนของพระพุทธองค์จะย้ำว่า  “ตนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้  และตนนั้นไม่มี”  แต่ในสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์  ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีกิเลส  มีความต้องการ  และมีความทะเยอทะยานมนุษย์ก็ยังยึดถือ “ ตน ”  เป็นที่ตั้งตลอดมา  มีสุภาษิตเขียนว่า  “ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ” ซึ่งจริงๆแล้วอาจจะขัดกับคำสอนของพระพุทธองค์ข้างต้นก็ได้  แต่ทั้งนี้เมื่อเราต่างก็ยังไม่ได้บรรลุโสดาบัน  หรือสำเร็จเป็น  พระอรหันต์  เราก็ยังคงเวียนว่าย  ตายเกิดในวัฏสังสาร  ของการเป็นปุถุชนธรรมดา  หลายคนไปศึกษาอบรม  ไปดูงาน  ไปสัมมนา  จนกระทั่งมีความรอบรู้ทางวิชาการ  และเทคนิคต่างๆ  จนเจนจบ  เหมือนนักดาบที่เรียนเพลงรบครบกระบวนยุทธแล้วแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นหรือนักดาบผู้นั้น  จะสามารถรบชนะศัตรูได้  ทั้งนี้เพราะศัตรูของเรานั้นมีอยู่ถึง  2  ประการ                 

1.  ศัตรูภายนอก   หมายถึง  ความยากลำบากในการปฏิบัติงาน  ความลำเค็ญของสถานการณ์และความผันแปรของสิ่งแวดล้อม                

2. ศัตรูภายใน   หมายถึง  อารมณ์  ความต้องการ  และความรู้สึกนึกคิดของตัวเราเอง  ทุกคนคงไม่ปฏิเสธว่า  “ความพ่ายแพ้ที่น่าอัปยศที่สุดคือ  การพ่ายแพ้ต่อตนเอง  แต่ปุถุชนธรรมดาต้องพ่ายแพ้ต่อตนเองทุกวัน  และวันละหลายครั้งด้วย”  เช่นอยากกินมะยมดอง  ทั้งๆที่ไม่มีประโยชน์  หยุดดื่มเหล้าไม่ได้  ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นโรคตับแข็งนั่งเหม่อลอย  ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ได้อะไรเลย   ถ้าเราจะเรียนรู้ตนเองอย่างแท้จริง  มีคนแนะนำว่า  ควรจะไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน  เพื่อทำจิตใจให้บริสุทธิ์  นัยตามองเห็นธรรม  ฟังดูก็ง่ายแต่ที่จริงแล้วถ้าเราต่างก็ทำให้นัยตามมองเห็นธรรมได้หมด  โลกทุกวันนี้คงไม่น่าอยู่  เพราะทุกคนคงจะเข้าใจซึ่งกันและกัน  พูดอะไรต่างก็เข้าใจกัน  ปัญหาก็จะไม่มี  ข้อขัดแย้งก็จะไม่เกิดขึ้นและจะไม่มีข้อขัดแย้งก็จะไม่เกิดขึ้น  และจะไม่มีใครพูด  “กิเลสมนุษย์ไซร้ยากแท้หยั่งถึง”                

กิเลส  (NEEDS)    คือ  ความต้องการที่ปุถุชนทุกคนมีเหมือนกันทั้งนั้น  นักปราชญ์ชาวอเมริกันเขียนเอาไว้ว่า  กิเลสของคนเรามี  5  ระดับ  ตั้งแต่ระดับที่มีความจำเป็นที่สุดจนถึงระดับที่หรูหราที่สุด  ได้แก่                

1.   ความต้องการทางร่างกาย  ได้แก่  ความต้องการปัจจัยทั้งสี่ในการดำรงชีพ  คือ  อาหาร   เครื่องนุ่งห่ม  ยารักษาโรค  ที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้  เพื่อการดำรงชีพ  และเพื่อการดำรงชีพ  และเพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ดำรงอยู่ได้ต่อไป                

2.  ความต้องการด้านความปลอดภัย    หลังจากที่คนเราได้ปัจจัยทั้งสี่ที่พึงประสงค์แล้ว  ก็จะเริ่มนึกถึงความปลอดภัย  ซึ่งหมายถึงความปลอดภัยจากการถูกทำร้าย  การบาดเจ็บหรือความตายสัญชาตญาณความกลัวภัย  จะทำให้คนพยายามป้องกันตัวเองให้พ้นจากภัยพิบัติต่างๆ

3.  ความต้องการทางสังคม    เมื่อคนเรามีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัย  ก็จะคำนึงถึงการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ  ทั้งนี้เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการรวมกลุ่ม  มีการคบค้าสมาคมกันความต้องการทางด้านนี้จะไม่บังเกิดขึ้น  ถ้าคนเราจะเอาชีวิตรอดไปวันหนึ่งๆ

4.  ความต้องการทางเกียรติยศชื่อเสียง  หมายถึง  การได้รับการยกย่องนับถือและยอมรับในเกียรติยศ  ตำแหน่งหน้าที่และบทบาทของตนในสังคม

5.   ความต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต    เมื่อชีวิตของเรามีพร้อม  ไม่ว่าจะทั้งทางร่างกาย  ความปลอดภัย  สังคม  และเกียรติยศแล้ว  คนเราก็มักจะคิดฝากผลงานของตนให้ปรากฏ  ทั้งนี้เพราะว่า  มีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด  ความอิ่มในความต้องการของคนเรานั้นไม่มี

 -  มนุษย์ -  มีลักษณะที่เป็นของตัวเอง  มีคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์  ซึ่งทุกคนจะต้องมี  ได้แก่                

1.  มีการแสดงออก   อันเรียกว่าพฤติกรรม  หมายถึง  การแสดงอากัปกิริยาต่างๆ  การเคลื่อนไหว  การตอบโต้สิ่งเร้า                

2.  ความรู้สึกนึกคิด  ทุกคนรู้จักเจ็บ  รู้จักจำ  รู้จักโกรธ  รู้จักเกลียด  และมีอารมณ์ด้วยกันทุกคน  คนที่ไม่มีอารมณ์  คือคนที่ตายแล้ว                

3. มีศักดิ์ศรี  ทุกคนมีศักดิ์ศรีที่เกิดมาเป็นคน  อันเป็นเอกลักษณ์ของสัตว์โลกชนิดหนึ่ง          สัญชาตญาณของความเป็นคน  จะทำให้คนคิดทรนง  หยิ่ง  และเป็นตัวของตัวเองเสมอยกเว้นจะถูกสิ่งแวดล้อมบีบบังคับ  ให้แปรเปลี่ยนไปเท่านั้น               

4.   มีความแตกต่างซึ่งกันและกัน  ความจริงที่ไม่ตายข้อหนึ่งที่มีอยู่ว่า  “ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เหมือนกันทุกประการ”  ทำให้เป็นที่มั่นใจได้ว่า  คนเราไม่เหมือนกัน  ความแตกต่างของคนเราเป็นไปได้ทั้งทางร่างกาย  ทางอารมณ์  ทางสังคม  และทางจิตใจ  ฉะนั้น  สิ่งที่เราเป็น  คนอื่นอาจจะไม่เป็น  สิ่งที่เราคิด  คนอื่นอาจไม่คิด  การทึกทักเอาว่าคนนั้นน่าจะเป็นอย่างนี้  น่าจะเป็นอย่างนั้น  จึงเป็นความคิดที่มีโอกาสผิดครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อย               

ตน  (SELF)   ตัวคนเรานั้นมักจะก้มลงมองตนเองเป็นใหญ่  จะสังเกตเห็นได้ว่า  เวลาชี้ไปที่คนอื่น  ใช้นิ้วเดียวชี้  แต่อีก  4  นิ้วชี้ที่ตัวเอง  เพราะธรรมชาติของคนเรานั้นไม่มีใครไม่เห็นแก่ตนเอง  แต่สิ่งที่สังคมอยู่เย็นเป็นสุขได้ทุกวันนี้  ก็เพราะการเห็นแก่ตนเองในสังคมนั้น  เป็นประโยชน์แก่สังคมด้วย ตัวของเราเองที่เกิดมานี้  เป็นตัวของตัวเองได้  3  ตัว  คือ

1.  ตัวที่ตนเองเป็น  (REAL  SELF)  คือ  ความเป็นตัวเราจริงๆ  ที่ยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมของโลก  ห้อมล้อมด้วยสังคม  และความผันแปรอันเป็นธรรมชาติของโลก

2.   ตัวที่เราคิดว่าเราเป็น  (PERCEIVED  SELF)  คือ  ภาพของตัวเองที่ตนมีความรู้สึก  อาจจะหรูหรากว่าตัวจริง  หรือต่ำต้อยกว่าตัวจริงได้  และความรู้สึกที่ตัวเองเป็นผู้เปลี่ยนแปลงได้ทุกขณะตามสภาพที่ตัวเราเป็นอยู่ในขณะนั้น  คนที่มองเห็นตัวเองต่ำกว่าความเป็นตัวตนจริง  เรียกว่าดูถูกตนเอง  และคนที่มองเห็นตัวเองสูงกว่าความเป็นตัวตนจริงเรียกว่า  “เห่อตัวเอง”

3.  ตัวที่เราอยากจะเป็น  (IDEAL  SELF)  คือ  ภาพคนในจินตนาการที่เราอยากจะเป็นและขวนขวายที่จะเป็น  ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นแรงผลักให้เป็นคนทะเยอทะยานไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตนตั้งไว้  ถ้าเป็นไปได้ก็จะประสบความสำเร็จในชีวิต  แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ก็จะรู้สึกคับข้องใจ  อึดอัดใจ  กระวนกระวายและเป็นทุกข์

                บุคคลใดค้นพบตัวเอง  คือบุคคลที่ทำให้ตัวเราที่คิดว่าเป็น  (Perceived  Self)  ขยับเข้ามาทับกับตัวเราที่เป็นตัวเราจริงๆ  (Real  Self) ได้มากที่สุด  กล่าวคือ

                 *    รู้ในสิ่งใด  ก็ยอมรับว่ารู้ในสิ่งที่เรารู้

                 *    ไม่รู้ในสิ่งใด  ก็ยอมรับว่าไม่รู้ในสิ่งนั้น

                *    มีความสามารถในด้านใด  ก็รู้ว่ามีความสามารถ และยอมรับว่า  มีความ

                      สามารถในด้านนั้น

             *     ด้อยความสามารถในด้านใด  ก็รู้ว่าด้อยความสามารถและยอมรับว่าด้อย

                    ความสามารถในด้านนั้น

                  ก็จะมีความสามารถที่จะพัฒนาตัวเองไปสู่ตัวที่เราอยากจะเป็น  (Ideal  Self)  ได้สะดวกขึ้นเท่านั้น

ทำอย่างไรจึงจะรู้จักตนเอง                

                 ถ้าเราต้องการอะไรแล้วไม่ไปหามา  เราก็ไม่ได้  ถ้าเราอยากพบว่าใคร  และไม่ไปถามหาก็คงไม่ได้พบ  และยิ่งถ้าของเราหายเราไม่ไปค้นหา  ก็คงไม่มีวันได้คืน  ในลักษณะเดียวกันคนที่ดูถูกตนเองเห่อหรือไม่รู้จักตัวเอง  ก็จะไม่มีวันพบ  จะกลายเป็นคน  “หลง”   ตัวเองหรือไม่ทราบว่าจริงๆ แล้ว  ตัวเองเป็นใคร  มีความสามารถแค่ไหนทำอะไรได้บ้าง  มีจุดอ่อน  หรือมีจุดเด่นประการใดบ้าง  เนื่องจากคนเราชอบเข้าข้างตนเอง  โอกาสที่คนเราจะพบตนเองด้วยตัวของเราเองนั้นจึงลำบากเพราะคนเรา

1.  ชอบอ้างเหตุผล   ไม่มีใครยอมรับว่าตนผิดก่อนเพราะสัญชาตญาณในการกลัวความผิดและกลัวภัย  สอนให้คนเป็นเช่นนั้นมาแล้ว

2.  สร้างเกราะคุ้มกันตนเอง  ประสบการณ์ชีวิตคน  บวกกับสัญชาตญาณมนุษย์ทำให้คนต้องสร้างเกราะคุ้มบังจิตใจตนเอง  ไม่ให้ยอมรับหรือแม้กระทั่งต่อต้านในสิ่งที่เป็นภัยแก่ตน

3.  การโยนความผิด  ไม่มีใครยอมอุ้มลูกเหล็กที่ร้อนไว้ในอ้อมกอดของตนเองทันทีที่รู้ว่าร้อนจะโยนไปให้ผู้อื่นรับทันที  จะยอมรับกลับมาก็ต่อเมื่อความร้อนลดลง  หรือไม่มีความร้อนแล้วเท่านั้น  เพื่อป้องกันสภาพที่ตนยอมรับไม่ได้  คนเราจะโยนความผิดไปให้คนอื่นก่อนเสมอ  ถ้าโยนไม่ได้ก็โยนไปให้ผีหรือเทวดาที่ไม่มีตัวตน

               ทำไมคนเราจึงต้องเป็นที่กล่าวข้างต้นนี้  คำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือ  ทุกคนต้องการอยู่รอด  ทุกคนจึงต้องดิ้นรน  เพื่อดำรงชีวิตอยู่  ฉะนั้นทุกอย่างจึงกระทำไปเพื่อความอยู่รอดของตนเองเท่านั้น

ดังที่ประมวลเหตุผลมาแล้วข้างต้น  คนเราจึงค้นพบตนเองด้วยตนเองได้ยากเต็มที่  วิธีค้นพบตนเองที่ขอแนะนำคือ


1.  มีความตั้งใจจริงที่จะค้นพบตนเอง

2. ลดเหตุผลเกราะคุ้มกันตัวเอง  และการโยนความผิดให้คนอื่นลงให้มากที่สุด

3. ตั้งคำถามถามตัวเองว่า  ทำไมจึงทำอย่างนั้น  อย่างนี้  คิดอย่างนั้น  อย่างนี้  หรือ  ฝันอย่างนั้น  อย่างนี้

4. เปิดเผยความรู้สึกต่อบุคคลที่คิดว่าเปิดเผยได้

5. ให้บุคคลอื่นแสดงความรู้สึกต่อเราตามที่เขารู้สึกจริงๆ

6. ใจกว้างพอที่จะยอมรับในสิ่งที่เราเป็น  และมีเหตุผลในสิ่งที่เราเป็น

7. เปรียบเทียบตัวเราในสิ่งที่เราคิดว่าเราเป็น  กับตัวที่คนอื่นคิดว่าเราเป็นเพื่อค้นหาตัวที่เราเป็น

8.  วิเคราะห์ตัวที่เราเป็น  เพื่อหาปมด้อยและปมเด่น  เพื่อค้นพบตนเองในภาพที่ตนเป็นจริงๆ

9.  ยอมรับสภาพที่เราเป็นและพร้อมที่จะพัฒนาให้เป็นภาพที่เราอยากเป็นในหนทางที่เป็นไปได้ 

             การพัฒนาตนเอง   คือ  กระบวนการที่บุคคลค้นพบตนเอง  แล้วเรียนรู้ตนเองและสิ่งแวดล้อมเพื่อปรับปรุงคุณภาพของตนเองไปสู่ตัวที่เราอยากเป็น  ในขั้นตอนที่เป็นไปได้อย่างมีเหตุผล  มีระบบระเบียบและมีการวัดผลเป็นระยะๆ

            การพัฒนาตนเอง  เป็นการศึกษาโดยใช้ตัวเองเป็นครูสอน  ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่กระทำยากก็ตาม  แต่เป็นการฝึกฝนที่ได้ผลคุ้มค่ากับการลงทุน  และเมื่อฝึกจนเป็นนิสัยแล้วจะทำให้บุคคลตื่นตัวมีความกระตือรือล้นทันต่อเหตุการณ์  และมีชีวิตอยู่ในโลกอย่างมีค่ามากขึ้นแต่ทั้งนี้ต้องอยู่ที่การฝึกฝนให้ตนรู้จักตนเสียก่อน

บทความด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของ ดร. โสภณ ภูเก้าล้วน

อัพเดทล่าสุด