รู้จัก เที่ยวฮ่องกงด้วยตัวเอง ของฝากฮ่องกงมีอะไรบ้าง เที่ยวฮ่องกงเดือนไหนดี MUSLIMTHAIPOST

 

รู้จัก เที่ยวฮ่องกงด้วยตัวเอง ของฝากฮ่องกงมีอะไรบ้าง เที่ยวฮ่องกงเดือนไหนดี


903 ผู้ชม


รู้จัก เที่ยวฮ่องกงด้วยตัวเอง ของฝากฮ่องกงมีอะไรบ้าง เที่ยวฮ่องกงเดือนไหนดี

 
บิ่งฮ่องกง

เกริ่นนำ


รู้จัก เที่ยวฮ่องกงด้วยตัวเอง ของฝากฮ่องกงมีอะไรบ้าง เที่ยวฮ่องกงเดือนไหนดีขอบอกเล่าเก้าสิบกันก่อนว่าที่ได้ไปเบิ่งฮ่องกงครั้งนี้ เพราะได้รับอภินันทนาการจาก คุณวิมม่า ได้ให้ตั๋ว เครื่องบิน และที่พักฟรี ให้เลือกวันไปเองแต่ต้องไม่เกิน 27 เม.ย นี้ ได้จับยามสามตาและดูฤกษ์ อุบากองได้ฤกษ์เดินทาง ในวันที่ 30 มีนาคม- 3 เม.ย พอรู้วันเดินทางแล้วหลังจากนั้น ก็เสาะแสวงหาหนังสือท่องเที่ยวฮ่องกง มาอ่าน เพื่อ เตรียมตัวรู้เขารู้เรา ไปหาทั้งร้านหนังสือในท้องถิ่น และตามร้านหนังสือใหญ่ๆในกรุงเทพฯ ไม่มีใครเขียน ออกมาขายแฮะ หายากหาเย็นดีแท้ ทีท่องเที่ยว ที่อื่นๆมีขายกันครืด แม้กระทั่งเที่ยวเนปาลประเทศกระจิ๊ด บนเทือกเขาหิมาลัยโน้น ไปแสนยากลำบาก บางคนเกือบไปตายที่นั่นเพราะอากาศออกซิเจนไม่พอก็ยังมีคนเขียน ออกมา ฮ่องกงอยู่ใกล้ลูกกะตา แค่นี้ไปก็สะดวกสบายทำไมไม่มีใครเขียนออกมาให้คนที่ไม่เคยไป หรือคนที่กำลังจะไปได้อ่านบ้าง เฮ้อ ไปหาหนังสือเที่ยวฮ่องกงจนถึงวันสุดท้ายก่อนออกเดินทางก็ยังหาไม่ได้ ก็เลยทำใจ ไปตายเอาดาบหน้า แล้วกัน ไปแลกเงินที่ธนาคารให้เป็นดอลลาร์ฮ่องกง วันที่แลกนั้น 1 ดอลลาร์ฮ่องกงเกือบๆ 6 บาทไทย (ขากลับมาถ้าจ่ายเงินดอลลาร์ฮ่องกงไม่หมดให้เอามาแลกคืนที่ธนาคารในเมืองไทย แต่ถ้าเป็น เหรียญโลหะจะแลกคืนไม่ได้ ต้องรีบจ่ายให้หมดก่อนกลับหรือจะเอาเก็บไว้เป็นที่ระลึก หรือเอาไว้ แจกลูกหลานก็ย่อมได้)
ยานพาหนะ
เป็นสายการบินของอาหรับอามิเรตส์ (Emirates) ของพวกแขกตะวันออกกลางโน่น ต้นทางมาจากประเทศดูไบ แวะกรุงเทพฯ ปลายทางคือฮ่องกง เป็นเครื่องบินลำใหญ่บรรทุก ผู้โดยสารได้ประมาณ 300-400 คนกระมังเป็นเครื่องโบอิ้ง 777 สามารถบินด้วยความเร็ว 0.84 มัค (Mach หรือ มัค เป็น ตัวเลขที่บอกถึงจำนวนเท่าของ ความเร็วเครื่องบินที่มากกว่า ความเร็วเสียง ฉะนั้น 0.84 มัค ก็มีค่าประมาณ 1026 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง : wimma ) ที่ความสูง 43,000 ฟุต ชุดเครื่องแบบของแอร์โฮสเตสเท่ห์มาก เห็นแล้วอยากเอามาตัดเป็นชุดใส่ทำงานซักชุด ใส่แล้วคงเท่ห์ระเบิด ชุดทีว่านั้นเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ ทั้งกระโปรง เสื้อตัวในและเสื้อแขนยาวตัวนอก กระดุมเสื้อเป็นโลหะสีเหลืองทอง สวมหมวกกำมะหยี่สีแดง (ดูไกลๆเหมือนเสวียนสวมหัวชาวอาหรับชาย) หน้าหมวกกลัดเข็มสัญลักษณ์อามิเรตส์สีทอง ตรงหมวกซีกขวาจะมีผ้าบางสีครีมพับเป็นจีบซ้อนๆกันห้อยลงมาชายยาว ให้ชายผ้าผ่านหน้าอกแล้วตวัดไปไหล่ซ้าย อ้อมหลัง สุดท้ายชายผ้าจะขึ้นมาพาดบนไหล่ขวา ดูแล้วอ่อนหวานมีเสน่ห์ ยิ่งแอร์โฮสเตสแต่ละคนเป็นฝรั่งและเป็นแขกอาหรับตาคมกริบ สูงๆขนาดนางงาม รูปร่างระดับอินเตอร์กันทุกคน ถ้าเราเป็นผู้ชายหัวใจคงจะวายไปแล้วแหะๆ เธอกลุ่มนี้พอทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารบนเครื่องบินจะแต่งตัวชุดใหม่ซึ่งมีผ้ากันเปื้อนทับ แต่ชุดนี้ทำให้เธอเป็นนางซินไปทันที เป็นชุดเสื้อคอกลมผ้าฝ้ายสีขาวยับๆเหมือนไม่ได้เจอเตารีดมาซักสิบปี ใส่กางเกงสีน้ำตาล ผ้ากันเปื้อนสีฟ้าขลิบขาวดูแล้วเหมือนใช้มานานหลายปี สรุปแล้วยิ่งดูยิ่งเสียความรู้สึก แต่ก็น่าเห็นใจพวกเธอตั้งใจทำงานกัน คงเครียดน่าดูเพราะแต่ละคน หน้าตาไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเอาซะเลย (งี้การบินไทย “ยิ้มสยาม”เอาคะแนนไปกินเรียบ)

ถ้าซื้อตั๋วของสายการบินอามิเรตส์กรุงเทพฯ-ฮ่องกงไป-กลับ ราคาตอนนี้ (มี.ค 44)ก็ 7,000 บาท แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้สนามบินดอนเมืองคนละ 500 บาท (ที่ฮ่องกงไม่ต้องเสีย) เครื่องบินที่โดยสารนั้นเป็นเที่ยวที่ EK 86 เวลา 13.55 ได้ที่นั่งติดหน้าต่าง คงเป็นตรงกลางลำตัวเครื่องบิน เพราะมองออกหน้าต่างไปเห็นเป็นปีกเครื่องบินพอดี ใช้เวลาบินไปฮ่องกง 2 ชั่วโมง 25 นาที เวลาที่ฮ่องกงเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง ไปถึงฮ่องกงใช้เวลาของฮ่องกงก็เป็นเวลา 17.25 น.ประมาณนี้บนเครื่องบินมีการเสิร์ฟอาหาร 1 มื้อ อย่าไปหวังว่าอาหารจะอร่อยถูกปากคนไทยนะเจ้าคะ เค้าทำอาหารรสกลางๆไว้ ให้ใส่เครื่องปรุงเอง เสิร์ฟเป็นถาดต่อ 1 คน ในถาดจะมีถ้วยใส่อาหารใหญ่น้อย มีข้าวสวยโปะด้วยน่องไก่ราดน้ำแดง (จะเปลี่ยนเอาเนื้อก็ได้) สลัดผัก มีผักหลายๆอย่างหั่นปนกันมาดูไม่ออก (ไม่กล้ากินเดี๋ยวเอาหญ้าแห้วหมูสับปนมาล่ะ) ขนมปังก้อนกลม 1 ก้อนกินกับเนย ของหวานเป็นขนมพุดดิ้ง และน้ำเปล่าที่แพ็คใส่ถ้วยพลาสติกเล็กๆมีฟลอยด์ปิด ส่วนเครื่องดื่มนั้นมาเสิร์ฟที่หลังให้เลือกเอาจะเป็น วิสกี้ ไวน์ น้ำผลไม้ เบียร์ โค้ก ขาไปฮ่องกงเราก็สั่งเอาน้ำผลไม้ โธ่เอ๋ยรสชาติหนึ่งไม่มีสอง คือกินครั้งเดียวเข็ดหลาบไม่มีการเรียกหาครั้งที่สองอีก ก็เป็นน้ำผลไม้กล่องน่ะ ถ้าเค้าเปลี่ยนเป็นน้ำส้มคั้นสดๆหรือน้ำผลไม้สดชนิดอื่นๆจากเมืองไทยแทน จะดีมาก ตอนขากลับมากรุงเทพฯ เราสั่งเอาไวน์แดง ฮะฮ้า..เริดสุดๆ แต่พอได้ชิมแล้วใจที่พองบานก็เหี่ยวฟุบเลย ก็รสชาติเหมือนน้ำดองผลไม้บ้านเราดีดีนั่นเอง กึ๋ยส์..กึ๋ยส์.. ก็ได้มาขวดนึง สูงประมาณคืบเอาใส่กระเป๋าถือกลับบ้านได้สบาย (แน่ะยังจะเอาของเค้าอีก…. ) หนังสือนิตยสารที่อ่านบนเครื่องบินถ้าชอบใจก็เอากลับบ้านได้ อย่างน้อยมีรูปสวยๆเอาไปให้ลูกหลานตัดติดรายงานส่งครูก็ยังได้แหะๆ) คนอ้วนถ้าคิดจะนั่งสายการบินนี้ กรุณาซื้อตั๋ว ชั้นพิเศษที่ราคาแพงสุด หรือตั๋วชั้นนักธุรกิจที่แพงรองลงมาจากชั้นพิเศษ ตั๋วชั้นประหยัดน่ะที่นั่งแคบ ใครแข้งขายาวก็คงลำบากหน่อยไม่รู้จะเหยียดขาไปไว้ที่ไหน แต่ถ้าทนได้ก็เอาเพราะไม่กี่ชั่วโมงเอง ขอชมตรงที่เก้าอี้สะอาด น่านั่ง มีคอมพิวเตอร์ให้เลือกจะฟังเพลง ดูหนัง หรือเล่นเกมก็ได้คนละ 1 เครื่องซึ่งฝังในพนังพิงเก้าอี้ด้านหน้า ใครไม่ดูก็ปิดเครื่องแล้วดูก้อนเมฆนอกหน้าต่าง หรือจะดูหน้าแอร์โฮสเตสไปพลางๆแก้เซ็งก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

 ถึงแล้วหนอ....ฮ่องกง


เส้นทางบิน 

สายการบินอามิเรตส์บินจากกรุงเทพฯมุ่งสู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านภาคอีสาน ไต่เพดานบิน ขึ้นไปเรื่อยๆ มองลงมาเห็นแม่น้ำสายใหญ่ๆคดเคี้ยว เห็นทุ่งนา ถนน พอบินสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็เห็นแต่ก้อนเมฆอยู่ใต้เครื่องบิน บินออกจากประเทศไทยตรงดิ่งผ่าน เวียดนาม ผ่านเมืองดานัง แล้วออกสู่ทะเลจีนใต้ ตอนนี้สูงจากพื้นดิน 37,000 ฟุต ความเร็ว 976 กม./ช.ม. บินไปเรื่อยๆ จนอยู่เหนือทะเลจีนตะวันออกจะถึงฮ่องกงแล้ว 
ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นโรคชนิดหนึ่งที่กำลังฮือฮากันอยู่ตอนนี้ คือ “โรคคนจนบนเครื่องบิน” (Economy Class Syndrome) ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับคนโดยสารเครื่องบินชั้นประหยัดซึ่งถ้าช่วยไม่ทันถึงตายได้ เคยลงข่าวในหนังสือพิมพ์ที่คนอังกฤษเดินทางมายัง ออสเตรเลีย นั่งนานสิบกว่าชั่วโมงในเครื่องบินชั้นประหยัดแล้วเสียชีวิต โรคนี้เกิดจาก ลิ่มในหลอดโลหิตดำปิดกั้นการไหลเวียนของโลหิตบางส่วนที่ส่งไปเลี้ยงปอด ทำให้เป็นอันตรายถึงตายได้ ลิ่มเลือดนี้เกิดจากการนั่งนานๆโดยไม่ลุกเดินไปไหน ทำให้เลือดในหลอดโลหิตดำบริเวณขาจับตัวเกาะกันเป็นลิ่ม ปัจจุบันนี้ทางการแพทย์ยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องเป็นผู้โดยสารเครื่องบินชั้นประหยัดเท่านั้นที่มีสิทธ์เป็นโรคนี้ จะนั่งชั้นธุรกิจ ชั้นพิเศษ หรือยานพาหนะใดๆก็ตามที่คับแคบและนานๆก็มีสิทธ์เป็นโรคนี้ได้เช่นกัน อาการของโรคเริ่มต้นก็ปวดเมื่อยน่องข้างใดข้างหนึ่ง กล้ามเนื้อน่องจะเกร็ง กระดกเท้าจะปวด ต่อมาขาจะบวมและร้อน บางคนมีอาการหอบ เจ็บหน้าอก เหล่านี้ต้องรีบไปพบแพทย์ ถ้าตรวจแล้วว่าใช่ก็ต้องรักษาด้วยยาลดความข้นของเลือด บางกรณีถึงกับต้องผ่าตัด ดังนั้นถ้าขึ้นเครื่องบินที่ใช้เวลาบินนานๆจะต้องระมัดระวังตัว เช่น ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ลดเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ กินแต่พวกอาหารว่าง ลุกขึ้นเดินบ่อยๆ เปลี่ยนท่านั่ง ขยับ ข้อเท้า กระดิกเท้า บิดคอ แอ่นซ้าย แอ่นขวา หรืออะไรก็ได้ที่เห็นสมควรกับตัวท่าน อย่างไรก็ตามถ้าท่านมีประวัติเลือดจับตัวเป็นก้อน ก่อนเดินทางไกลให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเป็นดีที่สุด

เหยียบเกาลูน
ถึงสนามบินฮ่องกงซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ สนามบินนี้อยู่นอกเขตชุมชนห่างออกมามาก สนามบินติดกับทะเล มีเครื่องบินบินขึ้น-ลง ไม่ขาดสาย ที่นี่ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ฮ่องกงนี้มีแค่พาสปอร์ตก็พอไม่ต้องมีวีซ่า ทุกคนที่เข้าคิวตรวจพาสปอร์ตก็มะมีปัญหาทั้งชายและหญิง ผ่านไปเรื่อยๆด้วยดี แต่พออาเฮียเห็นพาสปอร์ตจากไทยแลนด์ ก็เงยหน้าตวัดสายตาตี่ๆมาที่คนไทยหน้าเหลืองคนนี้แล้ว ก็เปิดฉากใต่ถามทันทีหลายประโยค รัวมาเป็นชุดๆเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงจีนแมนดาริน (ฟังยากชมัด) ตอบไปแล้ว ก็ดูทีท่าอาเฮียยังไม่แน่ใจ ระแวงสงสัยอยู่ จึงต้องควักตั๋วเครื่องบินไป-กลับ และตั๋วที่พักโรงแรมในเกาลูนให้อาเฮียดูเป็นหลักฐานยืนยัน อาเฮียจึงปล่อยให้ผ่านไปได้ โหย….ใจหายโม๊ด..นี่คงเป็นผลพวงของพี่ไทยที่เข้ามาประกอบอาชีพมิดีมิร้ายรุ่นก่อนๆทิ้งไว้ หญิงไทยที่เข้าฮ่องกงรุ่นหลังๆนี่จึงถูกซักไซ้ไล่เลียง ถูกระแวงสงสัยมากเป็นพิเศษ เฮ้อ..สวัสดีฮ่องกง
รถไฟด่วนเอกซ์เพรส(Express)
ก่อนออกจากสนามบินพร้อมกับถูลู่ถูกังกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ มีปัญหาว่าจะไปโรงแรมรามาดาโฮเต็ลยังไง เห็นคนโดยสารที่มาพร้อมๆกันออกประตูไหนก็ออกตามเค้ามา เจอแผ่นป้ายแผนที่อยู่ข้างฝาผนังแผ่นเบ้อเร่อ เป็นแผนที่เส้นทางรถไฟด่วนไปเกาลูนและฮ่องกง ซึ่งมีภาษาจีนและภาษาอังกฤษเขียนกำกับแต่ละแห่งอยู่ พอรู้เส้นทางแล้ว เดินออกมาซื้อตั๋วรถไฟด่วน ค่าตั๋วไปกลับ 140 ดอลลาร์ (840 บาท) รักษาตั๋วให้ดีใช้กับเครื่องเข้า-ออกสถานี รถไฟด่วนเป็นรถไฟฟ้าที่แล่นเร็วมากสมชื่อ กระเป๋าใบใหญ่ห้ามวางบนเก้าอี้นั่ง ให้วางไว้ใต้เก้าอี้หรือวางไว้บนแท่นข้างทางขึ้นลง รถไฟด่วนแล่นออกจากเกาะซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามบิน มาถึงเกาะลันตูมุ่งสู่เกาะซิงยี่ สถานีแรกที่จอดคือสถานีซิงยี่ (Tsing Yi) ใช้เวลามาถึงสถานีนี้ 8 นาที หลังจากนั้นข้ามทะเลอีกมุ่งสู่ผืนแผ่นดินเกาลูน ซึ่งเป็นสถานี เกาลูนที่เราจะลง ใช้เวลาเดินทางจากซิงยี่มาอีก 12 นาที ส่วนสถานีสุดท้ายของรถไฟด่วนคือฮ่องกง ตอนนี้มองออกไปข้างทางก็มืดแล้ว บางครั้งเห็นเป็นอาคารสูงๆมีแสงไฟแต่อยู่ห่างออกไป บางครั้งเหมือนกับรถกำลังลอดอุโมงเพราะมืดทึบทั้ง 2 ข้าง ดู 2 ข้างทางไปเรื่อยๆ บ้านเมืองเค้าพื้นที่สูงๆต่ำๆสลับกันไปมา ในที่สุดถึงสถานีเกาลูน ต้องต่อแท็กซี่เข้าไปในย่านชุมชนไปสู่ที่พักอีกทอดนึง


ที่พัก....ฮ่องกง ยามราตรี


แท็กซี่พามายังที่พัก เสียค่าแท็กซี่ 50 ดอลลาร์ฮ่องกง (300 บาท) แท็กซี่ที่นี่พอขึ้นนั่งปั๊บ โชเฟอร์กดมิเตอร์ 15 ดอลลาร์ทันที (90 บาท) พอถึงปลายทางไม่ใช่จะจ่ายค่าแท็กซี่ตรงตามตัวเลขมิเตอร์ ต้องบวกค่ากระเป๋าเดินทางเพิ่มเข้าไปอีกแน่ะ ตอนนั่งในแท็กซี่โชเฟอร์ก็บอกสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง ก็พูดอังกฤษสำเนียงจีน (ฟังมะค่อยรู้เรื่องอ่ะ เดาเอาบ้าง) พอรู้ว่าผู้โดยสารมาจากเมืองไทย ก็รีบพูดเลยว่า “ซาส์-หวัด-ลี-คาบบบ” แหะๆ..น่าร๊ากจิงจิ๊ง..ถ้าจะให้ดีก็ลดค่าโดยสารให้อั๊วดีกว่าน่า..เข้าโรงแรมรามาดาโฮเต็ล ต้องกรอกขื่อเสียงเรียงนาม ที่อยู่ และต้องเสียค่าประกันอีก 300 ดอลลาร์ฮ่องกง (1,800 บาท) โน่น..ได้ห้อง ชั้น 7 ทั้งหมดมี 17 ชั้น 205 ห้อง เข้าไปในห้อง เอ๋..ทำมะรายแคบอย่างนี้หว่า มีเตียงเดี่ยว 2 เตียง โต๊ะเครื่องแป้งเล็กๆ โต๊ะหัวเตียงวางโทรศัพท์ ตู้เย็น ทีวี ตู้ใส่เสื้อผ้า โต๊ะวางของ 1 ตัว ห้องน้ำ เก้าอี้นั่งไม่มี จะต้องนั่งบนเตียงแทน ช่องทาง-เดินมีให้เดินนิดเดียว ก็เอาละวะ ก็มานอนแค่ 4 คืนเอง มะเป็นหยังดอก เตรียมลุยฮ่องกงดีฝ่า

ฮ่องกงยามราตรี
เก็บข้าวของเสร็จ ออกมากินข้าวและเที่ยวชมฮ่องกงในเวลาเข้าไต้เข้าไฟไม่ให้เสียเวลา เคยได้ยินคำเล่าลือมาก่อนว่า ชีวิตยามราตรีของคนฮ่องกงนั้นคึกคักตลอดเวลา มีร้านรวง ขายอาหาร ขายของที่ระลึก มีห้างสรรพสินค้ามากมาย มีแท็กซี่และรถบัสโดยสารวิ่งบริการตลอดคืน มีผู้โดยสารใช้บริการกันคับคั่ง มีบาร์ มีไนท์คลับ มีผับ เปิดต้อนรับคนกลางคืน จนมีบางคนกล่าวว่าฮ่องกงเป็นเมืองที่ไม่รู้จักหลับนั้น จริงหรือเปล่าหนอ เอาละเราจะต้องหาคำตอบให้ได้ ออกจากประตูโรงแรม เพิ่งสัมผัสกับอากาศของฮ่องกงจริงๆก็ครั้งนี้ อากาศจะเย็น มีลมทะเลพัดเข้ามา รำๆจะขึ้นไปเอาเสื้อกันหนาวที่ห้องพักก็ขี้เกียจขึ้นไปเลยตัดใจเดินหน้าต่อ ทางเท้าทั้ง 2 ฟากมีผู้คนเดินกันคึกๆเดินกันเร็วๆไม่มีใครทอดน่องอย่างบ้านเรา สังเกตจากการแต่งกายแล้วมีทั้งคนในฮ่องกงและนักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่จะใส่เสื้อแขนยาวคลุมทับเสื้อตัวใน หรือใส่เสื้อยืดแขนยาวตัวเดียวและใส่กางเกงขายาว ในย่านชุมชนนี้จะเป็นแหล่งทั้งช็อปปิ้ง ท่าเรือ ศูนย์วัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ ศูนย์คมนาคม แหล่งอาหาร ย่านบันเทิง ใช้เท้าเดินทั้งนั้น เส้นทางทะลุถึงกันหมด เดินดูร้านรวงขายเครื่องไฟฟ้า ขายเสื้อผ้า ขายเครื่องสำอาง ขายเครื่องประดับ ขายรองเท้า ขายกระเป๋า ฯลฯ สว่างไสวด้วยแสงสี ไฟฟ้า คนเข้า-ออกร้านโน้นร้านนี้กันพลุกพล่าน มีแต่คนหนุ่มสาว และ วัยทำงาน ส่วนคนแก่ๆจะไม่เห็น รถราก็ขับกันเร็วทั้งรถบัส 2 ชั้นและรถแท็กซี่ รถเก๋งส่วนตัวมีน้อยเพราะบ้านไม่มีที่จอดรถ



เสร็จเดินสำรวจต่อไป ยัง ..ยัง..ไม่ซื้อข้าวของน่ะ มีเวลาอีกตั้ง 3 วัน เดินมาเจอร้านขายผลไม้ก็เป็นห้องเล็กๆ มีผลไม้ขายหลายอย่าง น้อยโหน่ง มังคุด ส้ม (ชนิดส้มจีนเปลือกสีส้ม) องุ่นลูกใหญ่สีม่วง สาลี่ แอปเปิล เหลือบดูราคามะม่วงสุกเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้ลูกขนาดย่อมๆเทียบเป็นเงินไทยก็ลูกละ 70 กว่าบาท ต๊กกะใจ…กลับไปกินที่เมืองไทยดีกว่า


ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ

ภูมิประเทศ
ภูมิประเทศของฮ่องกง ส่วนใหญ่จะเป็นภูเขา พื้นที่จะสูงๆต่ำๆ ที่เรียกฮ่องกงนั้นจะรวม พื้นที่ของตัวเกาะฮ่องกง พื้นที่เกาลูน และเขต “นิวเทอร์ริทอรี่ส์”ที่อยู่เหนือเกาลูนเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้นที่บอกกันว่าไปเที่ยวฮ่องกงนั้นก็คือไปในเขตเกาลูนและเกาะฮ่องกง บางคนก็ไปที่เกาะมาเก๊าด้วยเพื่อไปเล่นการพนัน เนื่องจากพื้นที่สูงๆต่ำๆจึงสร้างอาคารสถานที่ตามลักษณะภูมิประเทศ บนยอดเขาก็ยังเห็นมีอาคารสูงๆเต็มไปหมด ถนนก็สูงต่ำเป็นแห่งๆ ใช้เท้าเดินไปทั่วๆเดี๋ยวก็จำถนนหนทางได้ เพราะย่านชุมชนในเกาลูนนั้นมีอยู่กระจุกนึงซึ่งมารวมกันอยู่ทางใต้ของเกาลูน ก็ติดกับทะเล ส่วนเกาะฮ่องกงนั้นอยู่ตรงข้ามกับย่านชุมชนของเกาลูน เป็นเกาะที่แหล่งความเจริญมารวมกันอยู่ทางเหนือของเกาะ ก็เป็นอันว่าทั้งเกาลูนและฮ่องกงก็ประจันหน้ากันอยู่ มีทะเลคั่นเท่านั้นเอง 



ภูมิอากาศ
อากาศในฮ่องกงจะเย็น เพราะอยู่ละติจูดสูงกว่าเมืองไทย ถ้าไปเที่ยวช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายนอากาศเย็นกำลังดี อุณหภูมิแต่ละวัน 20-25 องศาเซลเซียส จะเตรียมเสื้อ แจ็คเกต ชนิดที่ไม่หนามากไปก็ดี หรือจะเป็นเสื้อสูทสปอร์ตก็ได้ ไม่ควรเอาเสื้อไหมพรมหนา เสื้อแจ็คเก็ตอย่างหนา หรือเสื้อโค้ทหนาๆไป เป็นภาระในการหอบหิ้วมากกว่า ไม่ได้ใช้หรอก เสื้อผ้าที่ใช้ใส่ในแต่ละวันก็ควรเป็นแบบธรรมดา ใส่สบายๆ เป็นเสื้อยืดก็ได้ ถ้าไปเที่ยวก็ไม่ควรเอาชุดสูทใหญ่หรือเสื้อผ้าไหม หรือชุดไทยไป ให้จัดเสื้อผ้าและกางเกง ชุดชั้นในไปให้ครบวัน ไม่ควรซักเมื่ออยู่ที่นั่นเพราะไม่มีที่ตากและไม่มีแดด อากาศก็ไม่ร้อนอย่างเมืองไทยตากสามวันก็ไม่แห้ง ช่วง 2วันแรกที่อยู่ฮ่องกงจะไม่เห็นแดดเลย แต่ท้องฟ้าก็สว่าง วันที่3 และ 4 ถึงจะมีแสงแดดให้เห็น แต่เป็นแสงอ่อนๆ ไม่ร้อนเปรี้ยงอย่างเมืองไทย มิน่า…. ไม่สงสัยเลยว่า ทำไมคนฮ่องกงจึงไม่มีสิวไม่มีฝ้า หรือหน้ากระด่างกระดำ ผิวพรรณหน้าตาของคนฮ่องกงจะขาวสะอาด ยิ่งเป็นผิวเด็กและวัยรุ่นแล้วละก็ขาวใสเหมือนกระเบื้องเนื้อดีทีเดียว (ครีมแก้สิวแก้ฝ้าเอากลับไปขายที่เมืองไทยเหอะลูกพี่) 


ที่อยู่อาศัย
ฮ่องกงมีพื้นที่เพียง 410 ตารางไมล์ แต่มีผู้คนมากถึง 8 ล้านคน จึงมีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย ดังนั้นอาคารที่พักอาศัยจะเป็นตึกสูงๆ20-30 ชั้นขึ้นไป ตึกแบบเก่าจะเป็นเหมือนรังนกพิราบ คือเป็นตึกสูงลักษณะของตึกและประตูหน้าต่างจะเหมือนกันหมด ส่วนตึกใหม่จะเป็นตึกที่เป็นกระจกทั้งหลัง ซึ่งจะเป็นห้างสรรพสินค้าและสำนักงานต่างๆ อย่าไปมองหาบ้านเป็นหลังๆที่มีสนามหญ้าหรือมีโรงรถอย่างเมืองไทยให้เมื่อยคอ (มะมีหรอก) พื้นที่ในฮ่องกงต้องทำประโยชน์ทุกตารางนิ้วเจ้าค่ะ ยิ่งเกาะฮ่องกงจะมีตึกสูงๆแบบสมัยใหม่หนาแน่นมาก ยามราตรีอยู่ฝั่งเกาลูนมองไปยังเกาะฮ่องกง อื้อฮือ…เหมือนภาพวาดในโปสการ์ด สวยจริงๆ จะเห็นตึกทั้งหมดสวยงามด้วยแสงไฟ แสงสี ประดับประดาด้วยไฟสีต่างๆ บนหลังคาตึกจะมีตัวอักษรภาษาอังกฤษยี่ห้อเครื่องไฟฟ้าที่ดังๆหลายยี่ห้อในเมืองไทยเป็นให้เห็นเป็นแสงสีโดดเด่นชัดเจน นักท่องเที่ยวจะมาถ่ายรูปกันที่นี่ไว้เป็นที่ระลึก อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีตึกสูงๆเป็นที่อยู่อาศัยของคนฮ่องกง แต่ก็ยังเห็นมีคนไร้ที่อยู่นอนตามหน้าร้านขายของ ห่มด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์และกล่องกระดาษ และขอทานเป็นอาซิ้มแก่ๆ ที่ปักหลักขอทานอยู่ตรงทางลงไปยังสถานีรถไฟใต้ดินให้เห็นด้วย 


ที่พักนักท่องเที่ยว
ในเกาลูนมีที่พักสำหรับคนต่างชาติที่เข้ามาในฮ่องกงมากมาย โรงแรมหลายแห่งที่โด่งดังมากจะถูกแสดงที่ตั้งไว้ในแผนที่ท่องเที่ยวด้วยตัวอักษรตัวโตๆ ราคาก็แตกต่างกันไปตามสภาพของห้องและความดังของโรงแรม ถนนสายใหญ่ในเกาลูนมีสายเดียวคือ ถนนนาธาน ซึ่งจะมีโรงแรมหลายแห่งตั้งอยู่บนถนนสายนี้ ส่วนถนนรอบๆถนนนาธานก็มีโรงแรมอีกมากมาย เดินดูร้านรวงบ้านเมืองเค้าไปเรื่อยๆก็จะเจอโรงแรมทุกถนน อยากรู้ว่าโรงแรมไหนตั้งอยู่ที่ใดก็ดูจากแผนที่ได้ (ตรงทางออกสนามบินที่จะไปซื้อตั๋วรถไฟด่วน Express ก็มีแจกแผ่นพับแนะนำฮ่องกงหลากหลายรูปแบบ แผนที่ก็มี มีทั้งภาษาจีนภาษาอังกฤษ จะหยิบเอากี่แผ่นก็ไม่มีใครว่า) ลิ้นชักในห้องพักในโรงแรมน่ะเปิดดูเถอะจะเจอแผ่นพับเป็นแผนที่ของเกาลูนและฮ่องกง ละเอียดมากมีถนนทุกเส้น ตรอกซอกซอยทุกแห่ง ที่ตั้งโรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า ท่าเรือ สถานีรถไฟ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีแผ่นพับแนะนำร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ฯลฯ มีทั้งฉบับภาษาอังกฤษและภาษาจีนเลือกอ่านได้ตามถนัด 

การคมนาคม

การคมนาคม,การจราจร
การคมนาคมมีทั้งใต้ดิน (อุโมงค์) บนดิน และทางเรือ
ทางอุโมงค์ 
จะเป็นอุโมงรถไฟลอดใต้ทะเล ซึ่งอยู่ระหว่างเกาลูนกับฮ่องกง จากเกาลูนจะไปฮ่องกงถ้าไปทางรถไฟใต้ดินต้องลงอุโมงค์ที่สถานีซิม ซา สุย (Tsim Sha Tsui) ซึ่งมีทางลงหลายจุด ในสถานีรถไฟใต้ดินกว้างขวาง สะอาด โล่งโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี ตอนขุด
อุโมงค์ ต้องใช้เทคโนโลยีสูงมาก คงยากลำบากและหมดเงินไปมาก ในอุโมงค์มีคนใช้บริการรถไฟใต้ดินมาก เดินกันอย่างเร่งรีบขวักไขว่ มีป้ายแผนที่แสดงทางเส้นทางรถไฟให้ดู มีตู้ขายตั๋วอัตโนมัติเป็นชุด ชุดนึงก็นับสิบตู้ มีอยู่หลายจุดแม้คนใช้บริการมากก็ไม่ถึงกับเข้าคิวซื้อ ราคาตั๋วไปฮ่องกงก็ 9 ดอลลาร์ (54 บาท) ซึ่งใช้เข้า-ออกสถานี ในรถไฟใต้ดินแต่ละตู้จะมีที่นั่งแถวเดียวนั่งได้4-5 คน นอกนั้นต้องยืนเกาะราว ทุกตู้คนจะแน่น ไม่มีใครพูดคุยกันในรถไฟ แต่ละคนจะเงียบและทำสีหน้าครุ่นคิด (ใครอย่าทำซ่าทำเสียงดังเป็นอันขาดเชียว) ยืนเกาะราวแค่แป๊บเดียวไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงสถานีที่ต้องลงแล้ว เป็นสถานีแรกซะด้วย

รถแท็กซี่ในฮ่องกง
จะเป็นรถเก๋งสีเดียวกันหมดทุกคัน คือสีแดง สภาพใหม่ทุกคัน เป็นมันวับ ดอกยางก็ไม่สึก ไม่มีฝุ่นเขลอะ เจ้าของรักษารถได้ดีมาก สะอาด น่านั่ง เสียแต่ว่าค่าโดยสารราคาแพง ขึ้นไปนั่งปุ๊บโชเฟอร์กดมิเตอร์ 15 ดอลลาร์ทันที (90 บาท)



รถเมล์หรือรถบัสในฮ่องกง 
จะเป็นรถแบบ 2 ชั้น คนขับใส่เครื่องแบบซะเก๋เชียว จะทำหน้าที่ทั้งโชเฟอร์และกระเป๋ารถเมล์ไปในตัว คนขึ้นรถเมล์ต้องเตรียมเงินเหรียญให้พอดีกับค่าโดยสาร พอขึ้นไปแล้วก็หยอดเหรียญลงในกล่อง อย่างนี้ไม่ต้องจ้างกระเป๋ารถเมล์ ไม่ต้องจ้างนายตรวจ ไม่ต้องเสียเงินค่าพิมพ์ตัวรถเมล์ บ้านเมืองก็ไม่ต้องสกปรกเพราะทิ้งตั๋วรถเมล์ และเป็นการประหยัดเนื้อที่จราจรไปตั้งเยอะ รถเมล์ 2 ชั้นนี้แต่ละคันสภาพดี ดูใหม่ทุกคัน คนโดยสารที่จะนั่ง ชั้นบนชมทิวทัศน์ต้องขึ้นบันไดเวียน คนอ้วนหรือคนแก่อย่าคิดอยากจะนั่งชั้นบนเลย เพราะบันไดเวียนที่อยู่ข้างหลังคนขับมีขั้นบันไดเล็กมาก แต่ละขั้นกว้างเท่าฝ่ามือเอง 


การคมนาคม2


เรือข้ามเกาะ
ทั้งในเกาลูนและเกาะฮ่องกงจะมีท่าเรืออยู่ มีบริการข้ามฟากตลอดวัน(แต่จะตลอดคืนรึเปล่าอันนี้ข้าน้อยบ่ฮู้เน้อ) ท่าเรืออยู่ในย่านชุมชน เดินๆดูร้านรวงไปเดี๋ยวก็ถึง ใครจะไปลงท่าไหนก็อ่านที่เค้าเขียนเป็นป้ายไว้ ราคาโดยสารถูกมากจากท่าเรือซิมซาสุยในเกาลูนไปลงที่เซ็นทรัลดีสทริคท์ในเกาะฮ่องกงเพียง 2 ดอลลาร์กว่าๆ ทั้งไปและกลับไม่เกิน 5 ดอลลาร์ (ไม่เกิน30 บาท) ทั้งฮ่องกงและเกาลูนห่างกันไม่กี่กิโลเมตร อยู่ฝั่งเกาลูนยังมองเห็นรถแล่นที่ฝั่งฮ่องกงชัดเจนมาก เรือที่ข้ามเกาะนี้เป็นเรือโดยสารที่บรรจุคนได้เป็นร้อย มีที่นั่งทั้ง ชั้นบนและชั้นล่าง ใช้เวลาข้ามฟากไม่เกิน 5 นาที (ใครที่ชอบเมาในวัตถุ เช่น เมารถ 
เมาเรือ กรณีข้ามฟากนี้มะต้องกลัวว่าจะมีอาการกำเริบ เพราะมะมีคลื่นลูกใหญ่ทำให้เรือโคลงเคลงได้ มีแค่คลื่นลูกเล็กเล็กพองาม เพื่อให้รู้ตัวว่ากำลังอยู่ในเรือที่แล่นในทะเล ไม่ใช่เรือที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวเรือที่รังสิตนะยะหล่อน) สำหรับคนที่ต้องการเอารถยนต์ข้ามไปด้วยก็ต้องใช้บริการเรือเฟอรี่ นี่ลำจะใหญ่มหึมา ท่าเรือก็อยู่ใกล้ๆกัน ค่าบริการก็ต้องแพงไปตามนั้น


สำหรับรถจักรยาน
คนฮ่องกงไม่เอามาใช้ให้เห็น (อาจจะมีใช้ตามชนบทที่ห่างไกลออกไปก็เป็นได้) แต่สายตาก็ยังเหลือบแลให้เห็น 2-3 คันที่ใช้ส่งของในซอย รถถีบชนิดนี้จะเป็นชนิดรถถีบลุงโกร่งของบ้านเรา ที่คันใหญ่ๆ โย่งๆ ท้ายรถมีแท่นวางของขนาดใหญ่อยู่ด้วย ส่วนรถมอเตอร์ไซค์นั้น มะเห็นคนเอามาใช้ในท้องถนนเป็นล่ำเป็นสันอย่างเมืองไทย เห็นจอดชิดทางเท้าแค่ 1-2 คันซึ่งจะเป็นรถยี่ห้อเวสป้าเท่านั้น รถมอเตอร์ไซค์ผู้ชายคันใหญ่ๆก็มีแต่เห็นจอดอยู่บริเวณที่ให้จอดรถ 5-6 คัน มีผ้าคลุมรถทุกคัน (พูดถึงรถก็อยากจะบอกว่าที่ ฮ่องกงรถปิคอัพที่ขับกันในเมืองไทยหลายหลากยี่ห้อนั้น มะเห็นมีใช้ที่นี่ รถเก๋งส่วนตัวก็มีใช้กันเพียงนิ๊ดนึง คนที่นี่จะใช้บริการรถไฟใต้ดินและรถบัสเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้นึกได้ว่าไม่เห็นร้านโชว์รูมรถที่ต้องใช้พื้นที่มากๆอย่างในเมืองไทยมีที่ฮ่องกงเลยซักแห่งเดียวและร้านขายรถมอเตอร์ไซค์ก็มะมีเหมือนกัน) 

สะพานลอยกับการเดินข้ามถนน
ฮ่องกงในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมาก ดังนั้นในย่านชุมชนจะมีคนเดินดูบ้านเมือง ดูความเจริญและช็อปปิ้งกับขวักไขว่ ทางฮ่องกงจึงได้สร้างสะพานลอยเชื่อมถนนไว้ตามแยกต่างๆให้คนข้ามไปมาได้สะดวก นอกจากนี้ตามถนนต่างๆยังมีทางม้าลายให้คนข้าม คน จะข้ามได้ต้องดูสัญญาณไฟเขียวที่เป็นรูปคนเดิน (เมืองไทยก็มี) และจะมีเสียง 
แต๊ก ๆ ๆๆๆๆๆๆ ถี่ๆเร็วๆเป็นสัญญาณให้คนรีบเดินข้ามถนนโดยเร็ว ถ้าห้ามคนข้ามก็จะเป็นไฟแดง เป็นรูปกากบาทสีแดงทับรูปคนเดิน อย่างไรก็ตามยังมีคนฝ่าฝืนเดินข้ามอยู่ดี มี ให้เห็นทุกครั้ง เอ…นิสัยเหมือนคนประเทศไหนนะ..คุ้นๆ………….แต่คิดไม่ออกอ่ะ………ตุเลง ตุเลง ตุเลง


แหล่งที่มา : vcharkarn.com

อัพเดทล่าสุด