(โบราณมากๆ) ประวัติขนมไทย ขนมไทยอะไรเอ่ย ความหมายของขนมไทย ขนมไทยโบราณ ความเป็นมาของขนมไทย MUSLIMTHAIPOST

 

(โบราณมากๆ) ประวัติขนมไทย ขนมไทยอะไรเอ่ย ความหมายของขนมไทย ขนมไทยโบราณ ความเป็นมาของขนมไทย


1,424 ผู้ชม


(โบราณมากๆ) ประวัติขนมไทย ขนมไทยอะไรเอ่ย ความหมายของขนมไทย ขนมไทยโบราณ ความเป็นมาของขนมไทย

 

 ขนมที่ถูกลืม

 คุยกับคุณผู้อ่านเรื่องขนมไทยในกระทู้ นึกได้ว่ามีขนมไทยหลายอย่างไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จักกันแล้ว บางอย่างก็ถูกลืมเลือนไปเลยทีเดียว ก็เลยขอเก็บมาเล่าสู่กันฟังในเรื่องนี้ค่ะ
สองอย่างที่จะกล่าวถึงในนี้คือ ขนมค้างคาว กับ ขนมจีบ 
'ขนมค้างคาว' เป็นขนมรสคาวไม่ใช่ขนมหวาน ทำด้วยแป้งมีไส้ข้างใน ตัวไส้คือกุ้งและมะพร้าวปรุงรสด้วยเกลือพริกไทยแล้วผัดเข้าด้วยกัน พอสุกก็ปั้นเป็นรูปสามเหลี่ยมหุ้มด้วยแป้งดูรูปร่างคล้ายๆค้างคาวกางปีก จึงเรียกว่าขนมค้างคาว 
ขนมค้างคาวที่อร่อยขึ้นชื่อจนกระทั่งชาววังเรียกขานกันว่า 'ขนมค้างคาวเจ้าครอกทองอยู่' คู่มากับ 'ขนมไส้หมูเจ้าครอกวัดโพ' เป็นขนมโด่งดังพอๆกันในสมัยรัชกาลที่ ๑
เจ้าตำรับขนมค้างคาวคือพระชายาเอกในกรมพระราชวังหลัง พระนามของท่านเรียกกันว่า เจ้าครอกทองอยู่ (คำว่า ' เจ้าครอก ' เป็นคำเรียกแบบไม่เป็นทางการ ใช้เรียกเจ้านายสตรีผู้ใหญ่ซึ่งผู้คนนับถือ มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์) พระประวัติทราบเพียงสั้นๆตามที่ ส.พลายน้อยเล่าไว้ในหนังสือ กระยานิยาย ว่าเดิมเป็นนางข้าหลวงของเจ้าฟ้าหญิงจันทวดี พระราชธิดาพระเจ้าบรมโกศ ซึ่งทรงหนีรอดจากการเสียกรุงศรีอยุธยามาอยู่ที่กรุงธนบุรี ท่านทองอยู่ต่อมาได้สมรสกับพระยาสุริยอภัย หลานชายเจ้าพระยาจักรี ในรัชกาลที่ ๑ เมื่อพระยาสุริยอภัยเลื่อนขึ้นเป็นกรมพระราชวังหลัง ผู้คนก็พากันเรียกพระชายาว่า ' เจ้าครอกทองอยู่ ' หรือ ' เจ้าครอกวังหลัง ' ในเมื่อท่านเคยเป็นกุลสตรีในสมัยอยุธยามาก่อน ตลอดชีวิตท่านก็แต่งองค์อย่างหญิงผู้ดีอยุธยา คือไว้ผมยาวประบ่า นุ่งผ้าจีบ ไม่ตัดผมสั้นและนุ่งโจงกระเบนอย่างสตรีอื่นๆ ที่ต้องเปลี่ยนการแต่งกายให้ทะมัดทะแมงคล้ายผู้ชายในยามศึกสงครามตั้งแต่ตอนเสียกรุงครั้งที่สอง 
เจ้าครอกทองอยู่ศรัทธาในศาสนา และมีเมตตาต่อบริวารด้วยดี ในจำนวนนั้นคือสุนทรภู่และบุตรชาย ชื่อนายพัดกับนายตาบ ถึงกับเขียนรำพันอาลัยไว้ใน นิราศวัดเจ้าฟ้า รำลึกถึงเมื่อครั้งเจ้าครอกทองอยู่สิ้นพระชนม์

ถึงวัดระฆังบังคมบรมธาตุ แทบพระบาทบุษบงองค์อัปสร
ไม่ทันลับกัปกัลป์พุทธันดร พระด่วนจรสู่สวรรคครรลัย
ละสมบัติขัตติยาทั้งข้าบาท โอ้อนาถนึกน่าน้ำตาไหล
เป็นสูญลับนับปีแต่นี้ไป เหลืออาลัยแล้วที่มีพระคุณ
ถึงจนยากบากมาเป็นข้าบาท ไม่ตัดขาดข้าวเกลือช่วยเกื้อหนุน
ทางศรัทธากล้าหาญในการบุญ โอ้พระคุณขาดยศทั้งงดงาม
แม้ตกยากพรากพลัดไปขัดข้อง พัดกับน้องหนูตาบจะหาบหาม
นี่จนใจไปป่าช้าพนาราม สุดจะตามเสด็จได้ดังใจจง


ส่วนเจ้านายสตรีเจ้าตำรับขนมไส้หมู ชาวบ้านเรียกว่าเจ้าครอกวัดโพ มีพระนามเต็มว่ากรมหลวงนรินทรเทวี เป็นพระน้องนางหรือขนิษฐภคินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงมีวังอยู่ใกล้วัดพระเชตุพน ชาวบ้านจึงขนานนามกันอย่างนี้ ทรงขึ้นชื่อด้านทำขนมไส้หมู คือขนมจีบแบบไทย
ขนมจีบไทยเป็นคนละอย่างกับขนมจีบซาละเปาที่เรากินกันในภัตตาคาร วิธีปั้นขนมจีบ น่าดูมาก คือใช้ก้อนแป้งสดแล้วนำมาวางลงบนฝ่ามือ ใช้นิ้วโป้งอีกมือหนึ่งคลึงจนกระทั่งแผ่ออกเป็นแผ่นกลมบาง แล้วหมุนทั้งฝ่ามือและนิ้วที่คลึงแป้งต่อไปเร็วๆ แป้งจะห่อตัวขึ้นเป็นรูปหม้อปากแคบสูงก้นบาน ใครเคยเห็นวิธีปั้นหม้อดินเผาคงนึกออกนะคะ ส่วนไส้ก็ใช้หมูบดละเอียดผัดให้สุก พอปั้นเป็นรูปหม้อใส่ไส้แล้วจับจีบตรงปากหม้อ จีบให้เป็นกลีบสวยได้ระเบียบแล้วพับเป็นริ้วลงมาตามตัวขนมมองดูคล้ายห่อผ้าพลีต นำไปนึ่งจนสุก ขนมไส้หมูของเจ้าครอกวัดโพ กล่าวกันว่าปั้นประณีตมากจนแป้งบางเฉียบมองเห็นไส้ข้างในแต่ก็ไม่แตกปริหรือขาด นำขึ้นถวายเป็นของเสวย จัดอยู่ในประเภทของหวานทั้งที่มีรสคาว ในกาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานในรัชกาลที่ ๒ บรรยายไว้ว่า

ขนมจีบเจ้าจีบห่อ งามสมส่อประพิมประพาย
นึกน้องนุ่งจีบถวาย ชายพกจีบกลีบแนบเนียน


ขนมจีบเป็นหนึ่งในงานโชว์ฝีมือ ๔ อย่างของกุลสตรีไทยถือว่าทำยากนักยากหนาจะให้ออกมาสวย ใครทำได้ถือว่าได้มีวิชาดี โดยมากก็จะเป็นชาววังหรือลูกสาวชาววังถึงจะทำได้ อีก ๓ อย่างคือจีบพลูยาว(เอาไว้กินกับหมาก ต้องจีบหางให้ยาวและสวย) ปอกมะปรางริ้ว (ทำยากมากเพราะมะปรางเป็นผลไม้ผิวบางที่สุดชนิดหนึ่ง) ปอกเปลือกเสร็จแล้วใช้มีดทองเหลืองคมบางเซาะเป็นริ้วลวดลายบนผิวมะปรางไม่ให้ช้ำหรือลายขาด ต้องเบามือมาก และท้ายสุดคือละเลงขนมเบื้องไทย ต้องละเลงให้แผ่นบางเกือบเท่ากระดาษ กรอบกำลังดีแต่ไม่ให้ไหม้ติดกระทะ แต่ละอย่างต้องทำด้วยความประณีต ฝึกฝนกันอย่างอดทน สาวยุคมิลเลนเนียมถ้าต้องสอบวิชาทั้ง ๔ อย่างตอน ม. ๖ คงสอบตกกันหมด 


แหล่งที่มา : vcharkarn.com

อัพเดทล่าสุด