https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
วิธีการรักษาโรคเริม โรคเริมที่อวัยวะเพศหญิง สมุนไพรรักษาโรคเริมที่ปาก MUSLIMTHAIPOST

 

วิธีการรักษาโรคเริม โรคเริมที่อวัยวะเพศหญิง สมุนไพรรักษาโรคเริมที่ปาก


1,145 ผู้ชม


วิธีการรักษาโรคเริม โรคเริมที่อวัยวะเพศหญิง สมุนไพรรักษาโรคเริมที่ปาก

 

 

 สมุนไพรยารักษาเริม

โรคเริม (อังกฤษ: Herpes simplex) โรคเริมเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อ "Herpes simplex" ซึ่งเชื้อไวรัสตัวนี้มีอยู่ 2 ชนิด คือ ชนิดที่ทำให้เกิดแผล (cold sore) ที่พบบริเวณริมฝีปาก ทั้งบนและล่าง หรือมุมปาก พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ และชนิดที่มักจะพบเริมบริเวณอวัยวะเพศ พบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ลักษณะอาการแบ่งได้เป็นหลายระยะ โดยจะเริ่มจากความรู้สึกคันหรือเจ็บยิบๆบริเวณที่จะเกิดแผล แล้วจะมีผื่น กลายเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำใสซึ่งภายหลังจะรวมตัวกันอยู่บนผิวหนังประมาณ 1-2 วัน จากนั้นตุ่มน้ำใสนี้ จะแตกออก และตกสะเก็ดแต่บางรายอาจเป็นนานกว่านั้นเกือบถึง 1 สัปดาห์ ทั้งนี้เราไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสเริมได้เด็ดขาด แต่เชื้อจะมีระยะพักตัว ซึ่งมักพักตัวอยู่ในเส้นประสาท และก่อให้เกิดตุ่มใสขึ้นอีกได้เสมอๆ ซึ่งขึ้นกับปัจจัยต่างๆ เช่น ภูมิคุ้มกันลดลง ความเครียดทางกายหรือจิตใจ ช่วงประจำเดือน เป็นต้น
ชนิดของไวรัสเริม


ในทางการแพทย์สามารถแยกเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเริมเป็น 2 ชนิดคือ


1. Herpes simplex virus type I : HSV-I มักทำให้กิดแผลบริเวณริมฝีปาก หรือ ในช่องปาก หรือบริเวณใดก็ได้เหนือสะดือ2. Herpes simplex virus type II : HSV-II ทำให้เกิดโรคเริมบริเวณอวัยวะเพศของทั้งชายและหญิงทั้งนี้ ไวรัสทั้งสองชนิดสามารถติดต่อในบริเวณที่ต่างจากปกติได้ เช่น HSV-I ก่อให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศการติดต่อ


เริมทั้ง 2 ชนิดนี้ ติดต่อกันได้ทางการสัมผัสโดยตรง เช่น การใช้แก้วน้ำร่วมกัน การจูบกันและติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโดยการสัมผัสสิ่งของที่ผู้มีเชื้อใช้ เช่น ผ้าเช็ดตัว ช้อน เป็นต้น
การเกิดโรคซ้ำ
อาการแผลของเริมนี้อาจเกิดเป็นซ้ำได้อีก เนื่องจากเชื้อไวรัสเริมนี้จะเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในปมประสาท (ganglion) และมักจะทำให้เป็นเริมซ้ำที่บริเวณเดิม หรือใกล้เคียงกับตำแหน่งเดิมเสมอ ปัจจัยที่ทำให้เป็นเริมซ้ำได้อีกมีดังนี้


การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอความเครียด วิตกกังวล เช่น ทำงานหนัก ใกล้สอบ เป็นต้นความเจ็บป่วย ช่วงที่สุขภาพอ่อนแอ ทรุดโทรม ไม่ค่อยสบาย จะกลับเป็นเริมได้อีกอากาศร้อน แสงแดดภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ระหว่างมีประจำเดือนลักษณะของโรคเริม


เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายประมาณ 6-8 วัน จะทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดตุ่มน้ำพองใสเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 2-10 เม็ด ซึ่งเป็นช่วงที่สามารถติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้ ผู้ป่วยจะมีอาการคันหรือแสบร้อนรอบ ๆ ตุ่มใสนี้ ซึ่งต่อมาจะแตกออกเป็นแผลตื้น ๆ หลายแผลติดกัน ตกเสก็ด และหายไปในที่สุด ซึ่งมักจะไม่ก่อให้เกิดแผลเป็น
เริมอวัยวะเพศ
โรคเริมอวัยวะเพศนี้ มีอัตราการติดต่อสูง ซึ่งโดยมากมักจะเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคนี้อยู่ การใช้ถุงยางอนามัยก็ไม่สามารถป้องกันได้ทีเดียว


อาการของเริมอวัยวะเพศ
มักจะเป็นรุนแรงในช่วงการติดเชื้อครั้งแรกโดยเริ่มปรากฏขึ้นประมาณ 2-3 วัน ถึง 3 อาทิตย์ หลังจากได้รับเชื้อ คือ มีอาการปวดแสบปวดร้อน ระคายเคืองบริเวณที่จะเกิดตุ่มแผล และอาจมีอาการปวดศีรษะ เป็นไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อก่อน เมื่อเวลาผ่านไปอีกประมาณ 10 วัน จะปรากฏมีตุ่มใส ๆ เกิดขึ้นและมีอาการเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะในผู้ป่วยหญิงอาการของโรคจะเกิดขึ้นนาน 3-6 อาทิตย์ หลังจากนั้นไวรัสอาจจะยังอาศัยและซ่อนตัวอยู่ในร่างกายอีกในสภาวะพักตัว และทำให้เกิดเป็น ๆ หาย ๆ มากหรือน้อยแล้วแต่บุคคล เช่น เมื่อมีอารมณ์เครียด มีประจำเดือน หรือมีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นต้น


ข้อปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยโรคเริมอวัยวะเพศ
งดเพศสัมพันธ์ หรือสัมผัสโดยตรงกับแผลจนกระทั่งแผลหายดีแล้ว พยายามละเว้นการแตะต้องกับบริเวณแผล เพราะอาจจะแพร่ไปสู่บริเวณร่างกายได้สวมชั้นในชนิดฝ้าย ละเว้นการสวมเครื่องนุ่งห่มหรือกางเกงที่คับหรือยีนส์ สตรีควรงดสวมกางเกงชนิดทำจากไนล่อนหรือลินินสตรีที่เป็นเริมอวัยวะเพศ โอกาสเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์

เพื่อการตรวจ PAP SMEAR 1-2 ครั้งทุกเดือนทุกครั้งที่เปลี่ยนแพทย์ ให้เล่าประวัติการเกิดโรคเริมของตนเองกับแพทย์ที่ท่านมารักษาใหม่สตรีตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจเกี่ยบกับเริมเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงใกล้คลอด ถ้าสงสัยว่าจะเป็นโรคเริมควรรีบปรึกษาแพทย์วิธีการรักษา


สามารถใช้ยาระงับความเจ็บปวดได้ เช่น พาราเซตตามอล ไอบูโปรเฟน ทั้งนี้ ห้ามใช้ แอสไพริน ในเด็ก เพราะอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการเรย์ ที่ทำให้ถึงแก่ความตายได้การใช้ยาต้านไวรัสนี้ ปัจจุบันมี 3 ชนิด

คือAcyclovirFamciclovirValaciclovirซึ่งเป็นยากลุ่มที่ฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ โดยควรใช้ให้เร็วที่สุดก่อนที่ไวรัสจะเพิ่มจำนวน คือ ช่วงที่เริ่มรู้สึกคันๆ เจ็บๆ ที่บริเวณที่น่าจะเป็น หรือเคยเป็นมาก่อน (ช่วงที่ตุ่มน้ำใสแตกออกเป็นแผลคือ ช่วงที่ไวรัสหยุดเพิ่มจำนวน) และถ้านอนหลับพักผ่อนเพียงพอ อาจหายเองได้ใน 2-3 วัน


แหล่งที่มา : samunpithai.exteen.com

อัพเดทล่าสุด