อาหารต้องห้ามโรคกรดไหลย้อน การรักษาโรคกรดไหลย้อนด้วยสมุนไพร อาหาร เครื่องดื่ม ที่ห้ามสำหรับโรคกรดไหลย้อน MUSLIMTHAIPOST

 

อาหารต้องห้ามโรคกรดไหลย้อน การรักษาโรคกรดไหลย้อนด้วยสมุนไพร อาหาร เครื่องดื่ม ที่ห้ามสำหรับโรคกรดไหลย้อน


1,223 ผู้ชม


อาหารต้องห้ามโรคกรดไหลย้อน การรักษาโรคกรดไหลย้อนด้วยสมุนไพร อาหาร เครื่องดื่ม ที่ห้ามสำหรับโรคกรดไหลย้อน



ป้องกันโรคกรดไหลย้อน

         เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาเคยเขียนเรื่องกรดไหลย้อน เพราะเป็นโรคที่หลายคนไม่รู้จัก ปัจจุบันพบว่ามีคนเป็นโรคนี้เป็นกันมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้สูงวัย และมักถูกถามถึงชนิดของอาหารที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคอยู่เสมอ ที่จริงแล้วอาหารไม่ใช่สาเหตุของการเกิดโรค แต่พฤติกรรมการกินต่างหากที่ทำให้เกิดโรค ซึ่งเมื่อเกิดโรคแล้วจึงทำให้ต้องระวังเรื่องอาหาร

โรคกรดไหลย้อนเป็นอย่างไร? 
         เมื่อกินอาหาร อาหารจะผ่านระบบทางเดินอาหารส่วนบน จากปาก หลอดอาหาร ไปยังกระเพาะ ลำไส้ อาหารจะถูกย่อยด้วยน้ำย่อยซึ่งมีสภาพเป็นกรด ปกติน้ำย่อยจะมีอยู่ที่กระเพาะอาหารเท่านั้น แต่ถ้า “น้ำย่อย” ไหลย้อนขึ้นมาเหนือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองแก่อวัยวะใกล้เคียง โดยอักเสบ เป็นแผล หรืออักเสบโดยไม่มีแผลก็ได้ และเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายมักใช้คำว่า “กรด” แทน “น้ำย่อย“ 
         ในทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า Gastro esophageal Reflux Disease (GERD) ถ้ากรดไหลย้อนขึ้นมาถึงกล่องเสียง ก็เรียกเฉพาะว่าLaryngopharyngeal Reflux Disease หรือ LPR 
สาเหตุของการเกิด GERD 
         ในภาวะปกติ เมื่อกินอาหารผ่านหลอดอาหารและลงสู่กระเพาะอาหารแล้ว ร่างกายจะขับน้ำย่อยออกมาย่อยอาหาร และมีกลไกซึ่งเป็นกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างป้องกันไม่ให้น้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร ถ้ากล้ามเนื้อส่วนนี้คลายตัวผิดปกติจะทำให้น้ำย่อยไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารได้ง่าย และถ้าการไหลย้อนกลับของน้ำย่อยไปถึงคอหอยก็จะมีกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนบนหดตัวเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำย่อยนั้นไหลย้อนขึ้นไปได้ คนที่เป็น GERD หรือ LPR จึงเชื่อว่าระบบป้องกันดังกล่าวเสียไป ทำให้กรดไหลย้อนขึ้นมาถึงคอหอย กล่องเสียงและปอดได้ ซึ่งอาจจะเกิดจากการกินอาหารไม่เป็นเวลาและมีภาวะเครียดเป็นประจำ 
อาการของ GERD 
         เมื่อเป็น GERD จะมีอาการที่สังเกตได้ชัด 2 ทาง คือ อาการทางคอหอยและหลอดอาหาร และอาการทางกล่องเสียงและปอด ซึ่งมีอาการดังนี้ 
         • อาการทางคอหอยและหลอดอาหาร จะมีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ บางครั้งอาจมีอาการปวดร่วมด้วย เป็นอาการของคนที่มีกรดเกลือ ซึ่งเป็นน้ำย่อยที่หลั่งออกมาจากกระเพาะอาหารแล้วย้อนกลับขึ้นสู่ลำคอ เรียกอาการนี้ว่า “Heart Burn” หรือ “Hyperacidity” บางครั้งอาจรู้สึกคล้ายมีก้อนในคอ กลืนลำบาก เจ็บคอ แสบปาก มีรสขมหรือเปรี้ยวในคอและปาก มีเสมหะและระคายคอตลอดเวลา เรอบ่อย คลื่นไส้ มีกลิ่นปาก เสียวฟันหรือฟันผุได้ อาการเช่นนี้พบได้ในคนที่กินอาหารไม่เป็นเวลา และความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญ อาการดังกล่าวถ้าไม่ได้รับการรักษา เยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ส่วนต้นอาจเกิดการอักเสบ เกิดแผลในกระเพาะอาหารตามมาได้ 
         • อาการทางกล่องเสียงและปอด มีเสียงแหบเรื้อรังหรือแหบเฉพาะตอนเช้า หรือมีเสียงผิดปกติ หรือตอนเช้ามีเสียงใส แต่บ่ายๆ เสียงจะแหบหายไป ทำให้เข้าใจว่าเป็นหวัดลงคอ ไอเรื้อรัง มีเสมหะ สำลักน้ำลาย กระแอมกระไอบ่อยเหมือนมีอะไรติดคอ ถ้าเป็นโรคหอบหืดอยู่ก่อนจะทำให้อาการทรุดลง เจ็บหน้าอก ปอดอักเสบ และเป็นๆ หายๆ 
ข้อสังเกตสุขภาพ 
         เนื่องจากการเกิดโรคจะเป็นอย่างช้าๆ ไม่รุนแรง แต่ทำให้เกิดความรำคาญ ถ้าให้ความสนใจสุขภาพสักหน่อยก็ลองสังเกตความผิดปกติดูว่ามีอาการเหล่านี้หรือหรือไม่ เช่น ท้องอืด ปวดแสบปวดร้อนบริเวณหน้าอกหรือลิ้นปี่ เรอบ่อยและมีกลิ่นเปรี้ยวๆ รู้สึกขมที่คอ หรือบางครั้งรู้สึกเปรี้ยวที่คอและปาก ระคายคอ มีเสมหะมากในตอนเช้า เสียงแหบเหมือนเป็นหวัดลงคอ มีอาการไอ โดยเฉพาะกลางคืน 
         ถ้าสังเกตว่ามีอาการมากกว่า 3 อาการ แสดงว่าอยู่ในช่วงของโรคคุกคามเข้าแล้ว ต้องเร่งปรับพฤติกรรมการกินอาหารของตน 
การรักษา
         เมื่อทราบปัญหาแล้วควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยใช้ยาซึ่งจะช่วยลดการหลั่งน้ำย่อยก่อนกินอาหารเช้าครึ่งชั่วโมง ขนาดของยาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการอักเสบ อาจจะต้องกินวันละ 2 ครั้ง และพบแพทย์ตามกำหนดนัด เมื่ออาการดีขึ้น แพทย์อาจปรับลดขนาดของยาเหลือเพียงวันละครั้ง 
         ด้านอาหารควรหลีกเลี่ยงอาหารที่จะกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อยและทำให้เกิดอาการมากขึ้น เช่น อาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด หรือเค็มจัด อาหารที่มีไขมันสูง ใส่กะทิ และชุบแป้งทอด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น 
         อาหารที่จะบริโภคควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย นุ่ม เปื่อย และมีรสอ่อนๆ พยายามกินอาหารให้ตรงเวลา รวมทั้งออกกำลังกายและลดความเครียดด้วย 
ป้องกันการเกิดโรค 
         ความเร่งรีบในการเดินทางไปทำงานทำให้แต่ละคนต่างแข่งกับเวลาทุกขณะ แม้กระทั่งการกิน กินอาหารไม่ตรงเวลาและเคี้ยวไม่ละเอียด ฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคกรดไหลย้อนควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารและเลือกชนิดของอาหารดังนี้ 
         1. กินอาหารให้เป็นเวลา ไม่กินอย่างรีบเร่ง และเคี้ยวให้ละเอียด 
         2. ไม่ควรกินอาหารแต่ละมื้อให้อิ่มมากเกินไป 
         3. ควรกินอาหารเย็นก่อนเวลานอนอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง 
         4. หลังอาหารแต่ละมื้อควรเดินย่อยอาหารก่อน ไม่ควรนอนทันที 
         5. เลี่ยงอาหารประเภททอดหรือมีไขมันสูง โดยเลือกกินอาหารประเภทต้ม ปิ้ง นึ่ง ย่าง 
         6. ดื่มน้ำให้มาก และหลีกเลี่ยงชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแก๊ส เช่น น้ำอัดลม เบียร์ เหล้า 
         7. ไม่ควรออกกำลังทันทีหลังกินอาหาร 
         8. รักษาน้ำหนักตัวอย่าให้อ้วน 
         แม้การเป็น GERD จะไม่รุนแรงและทำอันตรายถึงชีวิต แต่ก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้ที่เป็นโรคนี้ รวมทั้งการรักษาต้องใช้เวลานาน การป้องกันการเกิดโรคน่าจะดีกว่า โดยใส่ใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของตน หรือเมื่อเป็นแล้วควรให้ความสนใจเลือกอาหารที่กิน เพื่อช่วยลดอาการและความผิดปกติของร่างกายที่จะนำไปสู่การเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ ในอนาคต 


แหล่งที่มา : gourmetthai.com

อัพเดทล่าสุด