https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
โรคกระเพาะอาหารอักเสบ ปวดท้องโรคกระเพาะ โรคกระเพาะ อาการ MUSLIMTHAIPOST

 

โรคกระเพาะอาหารอักเสบ ปวดท้องโรคกระเพาะ โรคกระเพาะ อาการ


668 ผู้ชม


โรคกระเพาะอาหารอักเสบ ปวดท้องโรคกระเพาะ โรคกระเพาะ อาการ

 

 

รอบรู้โรคภัย : แผลในกระเพาะอาหาร ภัยเงียบที่บั่นทอนสุขภาพ


โรคกระเพาะอาหารอักเสบ ปวดท้องโรคกระเพาะ โรคกระเพาะ อาการ

กระเพาะอาหารเป็นอวัยวะที่อยู่ในระดับลิ้นปี่ ทำหน้าที่เป็นที่พักและย่อยอาหารให้แตกย่อยในเบื้องต้น จากนั้นจึงส่งต่อไปยังลำไส้เล็ก เพื่อผ่านกระบวนการย่อยและดูดซึม โดยทั่วไปถ้าเมื่อใดที่เรารู้สึกปวดท้อง เรามักจะคิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารก่อนเป็นอันดับต้นๆ ทั้งที่ความจริงแล้วอาจเป็นโรคอื่นๆ เช่น โรคนิ่วในถุงน้ำดี (มีอาการเหมือนโรคกระเพาะอาหารทุกอย่าง) ตับอักเสบ เนื้องอกในตับ และตับอ่อนอักเสบ เป็นต้น
       
       ในที่นี้เราจะกล่าวถึงโรคแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นโรคที่มีความรุนแรงและอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
       
       ความรุนแรงของอาการ
       
       ผู้ป่วยอาจจะปวดท้องมากหรือน้อยตามอาการ ท้องอืด คลื่นไส้ กินอิ่มง่าย หากมีอาการรุนแรงจะมีเลือดออก และทำให้กระเพาะทะลุ ซึ่งถือว่าเป็นอาการที่รุนแรงมาก
       
       โดยทั่วไปพบว่า ผู้ป่วยร้อยละ 50-60 อาการจะค่อยๆ ทุเลาและหายไปเองโดยไม่ต้องรับการรักษา แต่โอกาสที่จะกลับมาเป็นอีกมีอัตราสูงถึงร้อยละ 80 แม้ว่าจะได้รับการรักษาดีเพียงใดก็ตาม และที่สำคัญคือ พบว่ามีอาการแทรกซ้อน ซึ่งหมายถึงมีเลือดออก ถ่ายเป็นเลือด ถ่ายเป็นสีดำเหลว (สาเหตุมาจากเลือดที่ออกในกระเพาะอาหาร ไปทำปฏิกริยากับกรดในกระเพาะอาหาร)
       
       นอกจากนี้ หากแผลทะลุจะทำให้ปวดท้องอย่างรุนแรง มีไข้ ช็อค และอาจถึงแก่ชีวิต
       
       การรักษา
       
       จะทำโดยการผ่าตัด แผลที่หายจะเป็นพังผืด โดยเฉพาะลำไส้เล็กที่จะตีบ อุดตัน ทำให้มีอาการอาเจียน และปวดท้อง
       
       โดยทั่วไปผู้ป่วยที่เคยมีเลือดออกจะมีโอกาสเกิดโรคซ้ำเพิ่มจากร้อยละ 20-25 เป็นร้อยละ 50 และจากสถิติพบว่าผู้ป่วยร้อยละ 50 ของคนไข้ที่มีเลือดออกจะไม่แสดงอาการใดๆ แม้แต่ปวดท้อง ซึ่งเป็นความแปลกของโรคชนิดนี้
       
       การดูแลตนเอง
       
       การดูแลตนเอง แบ่งออกเป็น 3 ระยะ สามารถทำได้ดังนี้
       
       • ระยะที่ 1 ป้องกันการเกิดโรค
       
       - ค้นหาสาเหตุ และสังเกตอาหารที่รับประทานว่า ทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติหรือไม่ อย่างไร
       
       - ไม่รับประทานยาแก้ปวดโดยปราศจากแพทย์สั่ง และควรหลีกเลี่ยงสารเสพติด และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ รวมทั้งของหมักดอง
       
       - พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้สบายไม่เครียด
       
       - หากมีอาการของโรคติดเชื้อชนิดต่างๆ เช่น ไข้เลือดออก มาลาเรีย ไทฟอยด์ ไข้หวัดใหญ่ ควรรีบรักษาให้หายขาดโดยเร็ว
       
       • ระยะที่ 2 รักษาตัวเมื่อมีอาการอักเสบ
       
       - พบแพทย์สม่ำเสมอตามเวลานัด โดยทั่วไปแพทย์จะให้รับประทานยาน้ำหรือยาเม็ด โดยพิจารณาจากความรุนแรงของอาการ โดยปกติผู้ป่วยที่มีอาการระยะรุนแรง แพทย์จะให้รับประทานยานํ้า เนื่องจากออกฤทธิ์เร็ว
       
       - ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย และมีรสชาติอ่อน
       
       - พักผ่อนให้เพียงพอ
       
       • ระยะที่ 3 หลังจากได้รับการรักษา
       
       - งดอาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ อาหารรสจัด ร้อนจัด เย็นจัด ของหมักดอง รวมทั้งอาหารที่ทำให้เกิดก๊าซในกระเพาะอาหาร
       
       - ทำจิตใจสดชื่นแจ่มใส และพักผ่อนอย่างเพียงพอ
       
       - ดื่มน้ำมากๆ ป้องกันอาการท้องผูก และควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพื่อไม่ให้กระเพาะอาหารทำงานหนัก
       
       โรคแผลในกระเพาะอาหารเป็นเหมือนภัยเงียบที่คอยบั่นทอนสุขภาพ หากเราละเลยไม่ให้ความใส่ใจดูแลสังเกตอาการของตนเอง อาจทำให้ได้รับความรุนแรงของโรคและอาจถึงแก่ชีวิตได้
       
       ดังนั้น เมื่อท่านมีอาการที่ใกล้เคียงกับที่กล่าวมา จึงควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจโดยเร็ว เพราะถ้าหากทิ้งไว้นานจะส่งผลให้การรักษาไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร
       
       แผลในกระเพาะอาหาร สังเกตอาการง่ายๆ ดังนี้
       
       1. จะปวดท้องเมื่อท้องว่าง ใกล้มื้ออาหารหรือหลังอาหาร แต่จะไม่ปวดตลอดเวลา เมื่อได้รับประทานอาหารจะทำให้อาการดีขึ้น ซึ่งแตกต่างจากอาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี ที่จะปวดท้องหลังอาหาร ไม่ปวดตอนท้องว่าง และจะปวดตลอดทั้งคืนติดต่อกัน
       
       2. ปวดท้องเวลาดึก คลื่นไส้ อาเจียนออกมาเป็นอาหารที่แยกชนิดอย่างชัดเจน
       
       (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 132 พฤศจิกายน - ธันวาคม 2554 โดย ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร สาขาวิชาโรคระบบทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล)


แหล่งที่มา : manager.co.th

อัพเดทล่าสุด