https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
โรคปากมดลูกอักเสบ หมอที่รักษา โรคปากมดลูกอักเสบ โรคปากมดลูกอักเสบ สาเหตุ MUSLIMTHAIPOST

 

โรคปากมดลูกอักเสบ หมอที่รักษา โรคปากมดลูกอักเสบ โรคปากมดลูกอักเสบ สาเหตุ


994 ผู้ชม


โรคปากมดลูกอักเสบ หมอที่รักษา โรคปากมดลูกอักเสบ โรคปากมดลูกอักเสบ สาเหตุ

               โรคปากมดลูกอักเสบ หมอที่รักษา

ปีกมดลูกอักเสบ อีกหนึ่งโรคที่คุณผู้หญิงควรรู้

ปีกมดลูกอักเสบ อีกหนึ่งโรคที่คุณผู้หญิงควรรู้


ปีกมดลูกอักเสบ

ปีกมดลูกอักเสบ อีกหนึ่งโรคที่คุณผู้หญิงควรรู้ (Woman's Story)
 
           ปีกมดลูกอักเสบ เป็นโรคที่สาว ๆ หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก เนื่องจากพบได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสที่ผู้หญิงอย่างเรา ๆ จะเป็นไม่ได้ ดังนั้นรู้ทันโรคไว้ก่อนดีที่สุดค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ไปรู้จักกับโรคนี้กันเลย
 
           ปีกมดลูกอักเสบ ส่วนใหญ่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนึ่ง เชื้อโรคที่พบบ่อยคือ เชื้อหนองใน รองลงมาคือเชื้อคลาไมเดีย ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยอาการตกขาวและปวดท้องน้อย ถ้าอาการไม่มากแพทย์ก็จะให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน แต่ถ้าเป็นมาก มีการติดเชื้อรุนแรง หรือมีอาการปวดรุนแรง จำเป็นต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล และได้รับยาปฏิชีวนะชนิดยาฉีด
 
           โรค ปีกมดลูกอักเสบมักจะรักษาหายภายใน 1 - 2 สัปดาห์ แต่ผู้ป่วยบางรายที่มีการติดเชื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานชนิดเรื้อรัง เพราะไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม หรืออาจจะเป็นเชื้อที่ก่อโรคในลักษณะเรื้อรังได้ อาจจำเป็นต้องรักษานาน
           ทั้ง นี้ผู้ป่วยอาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ คือ พังผืดในอุ้งเชิงกราน ซึ่งพบได้บ่อยหลังการติดเชื้อ และมักพบด้วยกันเสมอกับการติดเชื้อชนิดเรื้อรัง ซึ่งการเป็นพังผืดแม้ว่าภาวะติดเชื้อจะหายไปแล้ว แต่ก็อาจจะมีอาการปวดท้องน้อยเนื่องจากพังผืดได้เป็นระยะ ๆ เวลาที่มีการรั้งบริเวณมดลูกหรือปีกมดลูก เช่น การเคลื่อนไหวทำงาน การมีเพศสัมพันธ์ หรือแม้แต่ปวดมากขณะมีประจำเดือน
           ผู้ป่วยบางรายอาจทรมานถึงกับต้องผ่าตัด เพื่อเลาะพังผืดออก แต่อย่างไรก็สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้อีก เพราะ พังผืดเกิดจากการผ่าตัดภายในช่องท้อง หรือภายในอุ้งเชิงกรานได้ด้วย การผ่าตัดรักษาจึงขึ้นอยู่กับความจำเป็นในผู้ป่วยแต่ละราย ผู้ป่วยที่เป็นมาก หรือเรื้อรังจำเป็นต้องหาภาวะที่มีความอ่อนแอของร่างกาย หรือภูมิต้านทานต่ำร่วมด้วย เช่น มีโรคประจำตัวบางชนิด อย่าง เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง โรคเอดส์ วัณโรค เป็นต้นค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                โรคปากมดลูกอักเสบ

โรคปีกมดลูกอักเสบ Pelvic inflamatory disease

โรคปีกมดลูกอักเสบเป็นการติดเชื้อของมดลูก หรือรังไข่ หรือท่อรังไข่ เป็นการติดเชื้อที่รุนแรงหากรักษาอาจจะทำให้เสียชีวิต การติดเชื้อของโรคปีกมดลูกอักเสบ อาจจะทำลายท่อรังไข่ รังไข่หรืออวัยวะใกล้เคียง หากไม่รักษาอาจจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนเป็นหมัน หรือเสียชีวิต เชื้อที่เป็นสาเหตุคือ gonorrhea,chlamydia แต่ก็อาจจะเกิดเชื้อที่อยู่ในช่องคลอดของคนปกติ สาเหตุเป็นทั้งการติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือเกิดตามธรรมชาติก็ได้

คนเป็นโรคนี้ได้อย่างไร

  • โรคนี้เกิดจากเชื้อรุกรานจากช่องคลอดผ่าปากมดลูกไปยังมดลูกและท่อรังไข่และช่องท้อง
  • มักจะเป็นในคนที่อายุต่ำกว่า 25 ปีเนื่องจากปากมดลูกยังไวต่อการติดเชื้อ
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับชายหลายคนมีโอกาสเป็นโรคนี้สูง
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีแฟนหลายคนก็มีโอกาสเป็นโรคนี้สูง

>>>>>>เกิดจากเพศสัมพันธ์<<<<<

เชื้อที่เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยได้แก่ หนองใน และ chlamydia

>>>>>>ไม่ได้เกิดจากเพศสัมพันธ์<<<<<

  • จากการใส่ห่วง
  • การสวนล้างช่องคลอด

อาการของผู้ป่วยมีอะไรบ้าง

  • ปวดแน่นท้องน้อย
  • แสบร้อนในท่อปัสสาวะหรือปัสสาวะแล้วปวด
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • เลือดออกผิดปกติ
  • ตกขาวมากขึ้น
  • ปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • ไข้สูงหนาวสั่น

การวินิจฉัย

  • การวินิจฉัยทำได้ยากเนื่องจากบางคนไม่มีอาการแสดง หรือมีแต่น้อย นอกจากนั้นการตรวจร่างกายอาจจะไม่พบความผิดปกติ
  • ยังไม่การตรวจพิเศษที่ชี้เฉพาะว่าเป็นโรคนี้
  • การตรวจอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายเท่านั้น การตรวจที่สำคัญคือการตรวจภายในพบว่าเมื่อโยกปากมดลูกจะทำให้เกิดอาการปวด หรือเมื่อแตะบริเวณเชิงกรานจะทำให้ปวด
  • อาจจะนำสารคัดหลั่งไปตรวจหาเชื้อ gonorrhea หรือ chlamydial infection
  • เจาะเลือดตรวจเพื่อแสดงว่าเป็นโรคติดเชื้อ
  • ตรวจ ultrasound ท้องน้อยเพื่อตรวจว่าท่อรังไข่บวมหรือไม่ มีหนองที่ท้องน้อยหรือไม่
  • การส่องกล้อง laparoscope เพื่อให้เห็นบริเวณที่ติดเชื้อ
Major criterior Minor criterior
ประวัติปวดท้องน้อยทั้งสองข้าง ย้อมมูกจากปากมดลูกพบเชื้อหนองใน
ตรวจภายในเจ็บเมื่อโยกมดลูก อุณหภูมิมากกว่า 38
ตรวจภายในกดเจ็บที่ปีกมดลูก ตรวจนับเม็ดเลือดขาวได้มากกว่า 104 เซลล์/มล
  ตรวจ ultrasound ได้ก้อนที่ปีกมดลูก
  serum reative protein >1
  เจาะบริเวณปีกมดลูกได้หนอง

เกณฑ์การวินิจฉัยต้องมี major ครบ 3 ข้อและมี minor ข้อใดข้อหนึ่ง

การรักษา

  • เนื่องจากการตรวจหาเชื้อที่เป็นสาเหตุเป็นไปได้ยากจึงต้องให้ยาปฏิชีวนะครอบคลุมเชื้อที่เป็นสาเหตุอย่างน้อยสองชนิด
  • แม้ว่าอาการจะดีขึ้นหลังจากได้ยา ต้องรับประทานยาให้ครบ
  • สำหรับคู่ครองต้องตรวจหาเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์

เมื่อไรต้องนอนโรงพยาบาล

  • ไข้สูง คลื่นไส้อาเจียน
  • ตั้งครรภ์
  • ให้ยารับประทานแล้วอาการไม่ดีขึ้น
  • มีหนองที่ท่อรังไข่หรือบริเวณรังไข่

การรักษาด้วยยา

  • ยาที่แนะนำให้ใช้รักษาได้แก่ Cefoxitin 2 g ให้ทางเส้นเลือด ทุก 6ชั่วโมงร่วมกับ Doxycycline 100 mg รับประทานหรือฉีดเข้าเส้นเลือดทุก 12 ชั่วโมง
  • ยาที่ใช้แทนได้แก่ Clindamycin 900 mgให้ทางเส้นเลือดทุก 8 ชั่วโมงร่วมกับ Gentamicin
  • สำหรับผู้ที่มีอาการไม่มากก็สามารถให้ยารับประทาน Ofloxacin 400 mg รับประทานวันละสองครั้งเป็นเวลา 14 วันหรือ Levofloxacin 500 mg รับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 14วันร่วมกับ
    Metronidazole 500 mg วันละสองครั้งเป็นเวลา 14 วัน
  • ยาที่เป็นทางเลือกสำหรับการรักษาผู้ป่วยนอกได้แก่ Ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียวร่วมกับ Doxycycline 100 mg รับประทานวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 14 วัน
  • สำหรับคู่ครองที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วย 60 วันก่อนเกิดอาการต้องไปตรวจว่ามีการติดเชื้อหรือไม่

โรคแทรกซ้อน

  • ผู้ที่ได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มเป็นจะลดโรคแทรกซ้อน
  • โรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือการเป็นหมันโดยพบว่าหนึ่งในห้าของผู้ที่เป็นโรคนี้จะเป็นหมัน
  • ตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • ปวดประจำเดือน

การป้องกันโรคนี้ต้องทำอย่างไร

  • หากเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต้องรักษาให้ครบ
  • งดมีเพศสัมพันธ์
  • มีสามีคนเดียว(สามีก็ควรจะมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาเท่านั้น)
  • สวมถุงยางอนามัย
  • ตรวจโรคประจำปีเพื่อหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะผู้ที่อายุน้อยกว่า 25 หรืออายุมากกว่า 25 แต่มีคู่หลายคนหรือต้องการที่จะมีคู่คนใหม่
  • สำหรับผู้ที่มีอาการผิดปกติ เช่น ปวดแสบเมื่อถ่ายปัสสาวะ มีแผล ตกขาว ปวดท้องน้อย ให้ท่านนึกว่าท่านอาจจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ท่านต้องไปพบแพทย์ตรวจ

                   Link  https://www.siamhealth.net

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++=

              โรคปากมดลูกอักเสบ สาเหตุ

     

มดลูกอักเสบ (Endometritis) หมายถึง การอักเสบของเยื่อบุภายในโพรงมดลูกโรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยในหญิงวัยเจริญ พันธุ์ (15-45 ปี) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผ่านช่องคลอดเข้าไปทางปากมดลูก ขึ้นไปในโพรงมดลูก (ทำให้มดลูกอักเสบ) และถ้าหากลุกลามต่อไปในท่อรังไข่ ก็ทำให้กลายเป็นปีกมดลูกอักเสบ มักจะเรียกรวมๆ กันว่า "อุ้งเชิงกรานอักเสบ" (Pelvic inflammatory disease/PID) ซึ่งครอบคลุมถึงการอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูก ท่อรังไข่ รังไข่ และเยื่อบุช่องท้องภายในอุ้งเชิงกราน โรคนี้พบบ่อยในผู้หญิงที่มีสามีชอบเที่ยว หรือมีเพศสัมพันธ์เสรี ภายหลังคลอดบุตร แท้งบุตร ขูดมดลูก ใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือชอบสวนล้างช่องคลอด
สาเหตุ

 
1.
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่พบบ่อยก็คือ หนองใน (208) ที่ติดจากสามี หรือผู้ชายที่มีประวัติชอบเที่ยว หรือมีเพศสัมพันธ์เสรี (สำส่อนทางเพศ) บางครั้งก็อาจเกิดจากเชื้อคลามีเดียทราโคมาติส(Chlamydia trachomatis)
 
2.
การติดเชื้อหลังคลอด (Puerperal infection) อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่เป็นปกติวิสัยในช่องคลอด (เช่น เชื้อสเตรปโตค็อกคัส, สแตฟฟีโลค็อกคัส) ระหว่างคลอดมีปัจจัย (เช่น ภาวะโลหิตจาง, ภาวะถุงน้ำแตกรั่วอยู่นาน, การคลอดยาก, การบาดเจ็บ, ภาวะตกเลือดหลังคลอด, เศษรกค้าง, ภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น) กระตุ้นให้เชื้อเหล่านี้เจริญขึ้นจนเป็นโรค หรือไม่ก็อาจแปดเปื้อนเชื้อจากภายนอกช่องคลอด เข้าไปในช่องคลอดและมดลูก ทำให้เกิดมดลูกอักเสบได้ มักเกิดมีอาการหลังคลอด 24 ชั่วโมง
 
3.
การทำแท้ง หากไม่สะอาดมักทำให้มีเชื้อโรคเข้าในมดลูก เกิดการอักเสบขึ้นได้ เรียกว่า “การแท้งติดเชื้อ” มักมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องน้อย ตกขาวออกเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น อาจมีอาการปวดหลังคลื่นไส้ อาเจียน อาจมีประจำเดือนออกมาก และมีกลิ่นเหม็นในรายที่เกิดจากการติดเชื้อหนองใน อาจมีอาการขัดเบา ปัสสาวะปวดแสบขัดร่วมด้วย ถ้าเป็นการติดเชื้อหลังคลอด มักเกิดหลังคลอด 24 ชั่วโมง น้ำคาวปลาอาจออกน้อย หรืออาจออกมากและมีกลิ่นเหม็น ถ้าเกิดจากการทำแท้ง จะมีอาการแบบแท้งบุตรร่วมด้วย คือ ปวดบิดท้องเป็นพัก ๆ และมีเลือดออกจากช่องคลอดร่วมด้วย

สิ่งตรวจพบ
ไข้สูง กดเจ็บมากตรงบริเวณท้องน้อยทั้ง 2 ข้าง (บางรายอาจเจ็บข้างเดียว) อาจได้กลิ่นของตกขาว เลือดประจำเดือน หรือน้ำคาวปลา อาจพบอาการซีด หรือภาวะช็อก
อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้เกิดเป็นฝีในรังไข่ หรือท่อรังไข่ ซึ่งจะทำให้เป็นแผลเป็นจนกลายเป็นหมันได้ และมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก มากกว่าปกติ บางคนอาจมีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง และเจ็บปวดเวลาร่วมเพศนอกจากนี้ในบางรายเชื้อโรคอาจลุกลาม จนทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ถ้ารุนแรงอาจกลายเป็นโลหิตเป็นพิษ ถึงตายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเกิดจากการทำแท้ง
การรักษา
ผู้หญิงที่มีไข้สูง ปวดและกดเจ็บตรงท้องน้อย ควรส่งโรงพยาบาลด่วน เพื่อตรวจหาสาเหตุด้วยการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ, นำหนองในช่องคลอดไปตรวจหาเชื้อ รวมทั้งอาจทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ(เช่น อัลตราซาวนด์) การรักษา ผู้ป่วยอาจต้องพักรักษาในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามอาการ (เช่นให้น้ำเกลือ ให้เลือดถ้าซีด) และให้ยาปฏิชีวนะตามเชื้อที่ก่อโรคในรายที่เป็นปีกมดลูกอักเสบเฉียบพลัน จะให้ยาปฏิชีวนะที่สามารถครอบคลุมเชื้อหนองใน และเชื้อคลามีเดีย
ข้อแนะนำ

 
1.
ผู้ป่วยควรงดการร่วมเพศนาน 3-4 สัปดาห์
 
2.
ผู้ป่วยที่ใส่ห่วงคุมกำเนิด ควรเอาห่วงออก และแนะนำให้คุมกำเนิดโดยวิธีอื่นแทน
 
3.
ถ้าเกิดจากเชื้อหนองใน ต้องรักษาสามีพร้อมกันไปด้วย
 
4.
โรคนี้อาจแสดงอาการภายหลังการมีประจำเดือน ซึ่งอาการมีไข้หลังมีประจำเดือน

ตกขาวที่ไม่ปกติ
ก็คือ ตกขาวที่ตรงข้ามกับตกขาวปกติ กล่าวคือ มีปริมาณมาก บางครั้งไหลโจ๊กยังกะมีรอบเดือนยังไงยังงั้น มีกลิ่นเหม็น ลักษณะอาจเป็นหนอง มูกปนหนอง ปนเลือด มีฟอง และมักมีอาการอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น คัน แสบ ออกร้อนที่บริเวณปากช่องคลอด หรือมีปวดท้องน้อยร่วมด้วยก็ได้
ต้นเหตุที่ทำให้ตกขาวผิดปกติ ที่พบบ่อย 3 อันดับแรกคือ

 
จากเชื้อแบคทีเรีย (bacterial vaginosis) พบได้ร้อยละ 30-35
 
จากเชื้อรา, ยีสต์ (vulvovaginal candidiasis) พบได้ร้อยละ 20-25
 
จากเชื้อพยาธิ trichomoniasis พบได้ร้อยละ 10

ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่พบเชื้อสองชนิดหรือมากว่าสองชนิด อยู่ร้อยละ 15-20 เรียกว่า ได้หนึ่งแถมหนึ่งว่างั้นเถอะ
เชื้อ 3 ตัวนี้พบร้อยละ 90 ของผู้ป่วยตกขาวผิดปกติ
สาเหตุของการตกขาวผิดปกติ แบ่งตามตำแหน่งที่เกิดคือ

 
1.
ช่องคลอดอักเสบ ที่พบบ่อยคือ - แบคทีเรีย (bacterial vaginosis)
   
 
เชื้อพยาธิ (trichomonas)
 
เชื้อรา (candida)
 
เชื้อไวรัส เช่น โรคเริม
 
เชื้อแบคทีเรียอื่นๆ
 
2.
ปากมดลูกอักเสบ - การติดเชื้อหนองใน
   
 
การติดเชื้อคลามิเดีย
 
การติดเชื้อเริม
 
3.
ปากมดลูกมีแผล, เป็นเนื้องอก
 
4.
สิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด เช่น เศษกระดาษทิชชู, สำสี, ผ้าก็อซ, เมล็ดผลไม้, ถุงยางอนามัย เป็นต้น
 
5.
เนื้องอกและมะเร็งมดลูก, ปากมดลูก ซึ่งตกขาวจะมีกลิ่นเหม็นมาก
 
6.
สตรีวัยหมดระดู ขาดฮอร์โมน ก็ทำให้เกิดช่องคลอดแห้งอักเสบ มีตกขาวได้ ในวัยเจริญพันธุ์ มักเกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
                                                              แหล่งข้อมูล : www.bangkokhealth.com                              
ข้อมูลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
 
หาหมอสูติที่ถูกใจ...ได้อย่างไร
 
ตรวจภายในไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
 
ตรวจก่อน รู้ก่อน ปลอดภัยกว่า

          Link    https://www.yourhealthyguide.com

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

              โรคปากมดลูกอักเสบ สาเหตุ

     

มดลูกอักเสบ (Endometritis) หมายถึง การอักเสบของเยื่อบุภายในโพรงมดลูกโรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยในหญิงวัยเจริญ พันธุ์ (15-45 ปี) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผ่านช่องคลอดเข้าไปทางปากมดลูก ขึ้นไปในโพรงมดลูก (ทำให้มดลูกอักเสบ) และถ้าหากลุกลามต่อไปในท่อรังไข่ ก็ทำให้กลายเป็นปีกมดลูกอักเสบ มักจะเรียกรวมๆ กันว่า "อุ้งเชิงกรานอักเสบ" (Pelvic inflammatory disease/PID) ซึ่งครอบคลุมถึงการอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูก ท่อรังไข่ รังไข่ และเยื่อบุช่องท้องภายในอุ้งเชิงกราน โรคนี้พบบ่อยในผู้หญิงที่มีสามีชอบเที่ยว หรือมีเพศสัมพันธ์เสรี ภายหลังคลอดบุตร แท้งบุตร ขูดมดลูก ใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือชอบสวนล้างช่องคลอด
สาเหตุ

 
1.
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่พบบ่อยก็คือ หนองใน (208) ที่ติดจากสามี หรือผู้ชายที่มีประวัติชอบเที่ยว หรือมีเพศสัมพันธ์เสรี (สำส่อนทางเพศ) บางครั้งก็อาจเกิดจากเชื้อคลามีเดียทราโคมาติส(Chlamydia trachomatis)
 
2.
การติดเชื้อหลังคลอด (Puerperal infection) อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่เป็นปกติวิสัยในช่องคลอด (เช่น เชื้อสเตรปโตค็อกคัส, สแตฟฟีโลค็อกคัส) ระหว่างคลอดมีปัจจัย (เช่น ภาวะโลหิตจาง, ภาวะถุงน้ำแตกรั่วอยู่นาน, การคลอดยาก, การบาดเจ็บ, ภาวะตกเลือดหลังคลอด, เศษรกค้าง, ภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น) กระตุ้นให้เชื้อเหล่านี้เจริญขึ้นจนเป็นโรค หรือไม่ก็อาจแปดเปื้อนเชื้อจากภายนอกช่องคลอด เข้าไปในช่องคลอดและมดลูก ทำให้เกิดมดลูกอักเสบได้ มักเกิดมีอาการหลังคลอด 24 ชั่วโมง
 
3.
การทำแท้ง หากไม่สะอาดมักทำให้มีเชื้อโรคเข้าในมดลูก เกิดการอักเสบขึ้นได้ เรียกว่า “การแท้งติดเชื้อ” มักมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องน้อย ตกขาวออกเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น อาจมีอาการปวดหลังคลื่นไส้ อาเจียน อาจมีประจำเดือนออกมาก และมีกลิ่นเหม็นในรายที่เกิดจากการติดเชื้อหนองใน อาจมีอาการขัดเบา ปัสสาวะปวดแสบขัดร่วมด้วย ถ้าเป็นการติดเชื้อหลังคลอด มักเกิดหลังคลอด 24 ชั่วโมง น้ำคาวปลาอาจออกน้อย หรืออาจออกมากและมีกลิ่นเหม็น ถ้าเกิดจากการทำแท้ง จะมีอาการแบบแท้งบุตรร่วมด้วย คือ ปวดบิดท้องเป็นพัก ๆ และมีเลือดออกจากช่องคลอดร่วมด้วย

สิ่งตรวจพบ
ไข้สูง กดเจ็บมากตรงบริเวณท้องน้อยทั้ง 2 ข้าง (บางรายอาจเจ็บข้างเดียว) อาจได้กลิ่นของตกขาว เลือดประจำเดือน หรือน้ำคาวปลา อาจพบอาการซีด หรือภาวะช็อก
อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้เกิดเป็นฝีในรังไข่ หรือท่อรังไข่ ซึ่งจะทำให้เป็นแผลเป็นจนกลายเป็นหมันได้ และมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก มากกว่าปกติ บางคนอาจมีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง และเจ็บปวดเวลาร่วมเพศนอกจากนี้ในบางรายเชื้อโรคอาจลุกลาม จนทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ถ้ารุนแรงอาจกลายเป็นโลหิตเป็นพิษ ถึงตายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเกิดจากการทำแท้ง
การรักษา
ผู้หญิงที่มีไข้สูง ปวดและกดเจ็บตรงท้องน้อย ควรส่งโรงพยาบาลด่วน เพื่อตรวจหาสาเหตุด้วยการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ, นำหนองในช่องคลอดไปตรวจหาเชื้อ รวมทั้งอาจทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ(เช่น อัลตราซาวนด์) การรักษา ผู้ป่วยอาจต้องพักรักษาในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามอาการ (เช่นให้น้ำเกลือ ให้เลือดถ้าซีด) และให้ยาปฏิชีวนะตามเชื้อที่ก่อโรคในรายที่เป็นปีกมดลูกอักเสบเฉียบพลัน จะให้ยาปฏิชีวนะที่สามารถครอบคลุมเชื้อหนองใน และเชื้อคลามีเดีย
ข้อแนะนำ

 
1.
ผู้ป่วยควรงดการร่วมเพศนาน 3-4 สัปดาห์
 
2.
ผู้ป่วยที่ใส่ห่วงคุมกำเนิด ควรเอาห่วงออก และแนะนำให้คุมกำเนิดโดยวิธีอื่นแทน
 
3.
ถ้าเกิดจากเชื้อหนองใน ต้องรักษาสามีพร้อมกันไปด้วย
 
4.
โรคนี้อาจแสดงอาการภายหลังการมีประจำเดือน ซึ่งอาการมีไข้หลังมีประจำเดือน

ตกขาวที่ไม่ปกติ
ก็คือ ตกขาวที่ตรงข้ามกับตกขาวปกติ กล่าวคือ มีปริมาณมาก บางครั้งไหลโจ๊กยังกะมีรอบเดือนยังไงยังงั้น มีกลิ่นเหม็น ลักษณะอาจเป็นหนอง มูกปนหนอง ปนเลือด มีฟอง และมักมีอาการอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น คัน แสบ ออกร้อนที่บริเวณปากช่องคลอด หรือมีปวดท้องน้อยร่วมด้วยก็ได้
ต้นเหตุที่ทำให้ตกขาวผิดปกติ ที่พบบ่อย 3 อันดับแรกคือ

 
จากเชื้อแบคทีเรีย (bacterial vaginosis) พบได้ร้อยละ 30-35
 
จากเชื้อรา, ยีสต์ (vulvovaginal candidiasis) พบได้ร้อยละ 20-25
 
จากเชื้อพยาธิ trichomoniasis พบได้ร้อยละ 10

ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่พบเชื้อสองชนิดหรือมากว่าสองชนิด อยู่ร้อยละ 15-20 เรียกว่า ได้หนึ่งแถมหนึ่งว่างั้นเถอะ
เชื้อ 3 ตัวนี้พบร้อยละ 90 ของผู้ป่วยตกขาวผิดปกติ
สาเหตุของการตกขาวผิดปกติ แบ่งตามตำแหน่งที่เกิดคือ

 
1.
ช่องคลอดอักเสบ ที่พบบ่อยคือ - แบคทีเรีย (bacterial vaginosis)
   
 
เชื้อพยาธิ (trichomonas)
 
เชื้อรา (candida)
 
เชื้อไวรัส เช่น โรคเริม
 
เชื้อแบคทีเรียอื่นๆ
 
2.
ปากมดลูกอักเสบ - การติดเชื้อหนองใน
   
 
การติดเชื้อคลามิเดีย
 
การติดเชื้อเริม
 
3.
ปากมดลูกมีแผล, เป็นเนื้องอก
 
4.
สิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด เช่น เศษกระดาษทิชชู, สำสี, ผ้าก็อซ, เมล็ดผลไม้, ถุงยางอนามัย เป็นต้น
 
5.
เนื้องอกและมะเร็งมดลูก, ปากมดลูก ซึ่งตกขาวจะมีกลิ่นเหม็นมาก
 
6.
สตรีวัยหมดระดู ขาดฮอร์โมน ก็ทำให้เกิดช่องคลอดแห้งอักเสบ มีตกขาวได้ ในวัยเจริญพันธุ์ มักเกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
                                                              แหล่งข้อมูล : www.bangkokhealth.com                              
ข้อมูลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
 
หาหมอสูติที่ถูกใจ...ได้อย่างไร
 
ตรวจภายในไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
 
ตรวจก่อน รู้ก่อน ปลอดภัยกว่า

          Link    https://www.yourhealthyguide.com

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อัพเดทล่าสุด