นิทานสอนใจ ธรรมะ นิทานสอนใจ เกี่ยวกับธรรมะ อนุโมทนาแบบนิทานสอนใจ MUSLIMTHAIPOST

 

นิทานสอนใจ ธรรมะ นิทานสอนใจ เกี่ยวกับธรรมะ อนุโมทนาแบบนิทานสอนใจ


1,376 ผู้ชม


นิทานสอนใจ ธรรมะ นิทานสอนใจ เกี่ยวกับธรรมะ อนุโมทนาแบบนิทานสอนใจ

นิทานสอนใจ : ชายตัดฟืน กับ พระรูปหนึ่ง (นิทานธรรมะ)

เรื่องเชิง ธรรมะ คุณ banchongs ได้สนใจอ่าน และติตตามเสมอ ขอมอบนิทานเรื่องนี้ให้แก่ทุกท่าน และโดย เฉพาะ คุณ banchongs
กาล ครั้งหนึ่ง ในดินแดนชมพูทวีป มีชายวัย 30 ปลายๆ คนหนึ่ง มีอาชีพตัดฟืน และเก็บเศษไม้ที่ทำฟืนได้ไปขาย โดยเขาจะออกจากบ้านทุกเช้าตรู่ เพื่อไปยังป่านอกหมู่บ้าน และจะขนฟืนและเศษไม้มาขายในหมู่บ้านในช่วงเที่ยง โดยจะบรรทุกมาบนหลังลาคู่ใจ
เขาปฏิบัติเช่นนี้มาเป็นเวลานาน ทุกวันเขาจะเห็นพระรูปหนึ่ง เดินผ่านไปบิณฑบาต ถ้าวันใดบริเวณที่เขาตัดไม้อยู่ไกลเส้นทางเดินของพระรูปนั้นหน่อย  เขาก็จะก้มลงกราบจากจุดที่เขายืนตัดฟืนอยู่ ส่วนวันไหนที่เขาบังเอิญอยู่ในเส้นทางเดินของพระรูปนั้น หลวงพี่ก็จะยิ้มให้เมื่อเขาทำความเคารพ หรือหยุดทักทายเขาเป็นบางครั้ง ชายผู้นี้ จะว่าไปแล้วเป็นคนที่พอจะมีธรรมะในหัวใจ แต่เนื่องจากกังวลเรื่องปัญหาปากท้องและต้องรีบเร่งทำเวลา เพื่อที่จะกลับไปให้ทันก่อนที่ตลาดในหมู่บ้านจะวาย จึงมักจะไม่ค่อยคุยกับหลวงพี่นาน ซึ่งหลวงพี่ก็เหมือนจะเข้าใจในจุดนี้ จึงไม่ได้เทศน์ให้ชายคนนี้ฟัง เพราะไม่อยากให้เขาเสียเวลาทำมาหากิน
ชาย คนนี้มีนามอันไพเราะว่ารามเทพ แต่เนื่องจากเป็นคนจน คนทั่วไปจึงมักจะไม่เรียกชื่อเต็มเขา แต่จะเรียกเขาว่า”รามู” ซึ่งเปรียบเสมือนกับการเรียกว่า “เจ้าราม”หรือ “ไอ้ราม”แทน
วันหนึ่ง ซึ่งเหมือนวันอื่นๆก่อนหน้านี้ ขณะที่รามูกำลังตัดฟืนอยู่ พระรูปนั้นก็เดินผ่านมา รามูก้มลงกราบ เขากำลังจะตัดฟืนต่อ หลวงพี่ก็ได้เอ่ยขึ้นว่า
“โยม จะขนเศษไม้นี้ไปตลอดชีวิตหรือโยม”
“ทำไงได้ครับหลวงพี่ กระผมไม่มีความรู้ที่จะประกอบอาชีพอื่น และถ้ากระผมไม่ทำอย่างนี้ กระผมและครอบครัวคงไม่มีอะไรกิน”
“เอา อย่างนี้สิโยม เห็นเขาลูกนั้นไหม โยมจงไปเขาลูกนั้นแล้วเดินหาบริเวณดินที่มีลักษณะเป็นสีเขียวๆ ถ้าโยมขุดดินนั้น แล้วลองเอาไปร่อนดู โยมก็จะเจอแร่เงินผสมอยู่ เอาดินนั้นไปขายก็แล้วกัน ฐานะโยมจะได้ดีขึ้น”

ต่อท้าย #1 22 ม.ค. 2553, 4:39:41
รามูได้ยินเช่นนั้น ตาก็เป็นประกาย เขารีบก้มลงกราบหลวงพี่อีกครั้ง หลังจากหลวงพี่เดินจากไปเขาก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำงานต่อ จึงรีบๆตัดฟืนอีกนิดก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านไป
วันต่อมา รามูตื่นเช้ากว่าปกติ เพื่อที่จะรีบไปยังเขาดังกล่าวเมื่อฟ้าสาง เพราะเขายังต้องค้นหาบริเวณที่หลวงพี่ได้อธิบายไว้ เขาค้นหาอยู่อึดใจหนึ่งก็พบ จึงได้เริ่มลงมือขุดดิน และนำดินไปร่อนในลำธารเล็กๆแถวนั้น และเขาก็ได้พบแร่เงินจริงๆ รามูดีใจมาก จึงทำการบรรทุกดินเพื่อนำไปขาย ขณะที่เขากำลังง่วนอยู่กับงานใหม่ หลวงพี่รูปเดิมก็เดินผ่านมา รามูก็กุลีกุจอเข้าไปกราบพร้อมกับขอบคุณหลวงพี่ หลังจากสนทนากันรามูจึงทราบว่า เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่หลวงพี่เดินผ่านไปบิณฑบาตประจำ วันนี้ รามูกลับบ้านด้วยความอิ่มเอิบใจ แทนที่เขาจะตรงไปยังตลาดเพื่อขายเศษไม้ดั่งที่เขาได้ปฏิบัติมา เขากลับรีบเดินทางไปอีกหนึ่งหมู่บ้าน เพื่อไปขายดินที่มีแร่เงินอยู่ เขาทำเช่นนี้เพราะไม่ต้องการให้คนในหมู่บ้านเขารู้ เพราะเกรงว่าจะมีคนไปแย่งที่ทำมาหากินของเขา
รามูฐานะดีขึ้นทันตา เห็น เขาไม่ต้องอดมื้อกินมื้ออีกต่อไป เขาสามารถสร้างบ้านหลังเล็กๆได้ แทนที่จะต้องเช่ากระต๊อบหลังเท่ารูหนูอยู่ ไม่นานนัก ก็ไม่มีคนรู้จักคนชื่อรามูอีกต่อไป ไม่ใช่เป็นเพราะเขาออกจากหมู่บ้านหรือหายสาบสูญไป (หรือโดนอุ้มไป ถ้าใช้คำของสมัยปัจจุบัน) แต่เป็นเพราะว่า คนแถวนั้นเริ่มเรียกเขาว่า “ราม” หรือ “รามยิ” แทน คำว่า “ยิ” ถ้าลงท้ายประโยค ก็เปรียบเสมือนคำสร้อย “ครับ/ค่ะ” ถ้าลงท้ายชื่อก็เป็นการให้เกียรติผู้ที่ถูกเรียก
ถึง แม้นว่ารามจะฐานะดีขึ้น เขาก็ยังไปขุดดินและบรรทุกกลับมาขายทุกสองวัน เพราะเขาต้องเดินทางไปต่างหมู่บ้านด้วย เพื่อไปขายดินที่เขาขุดมาได้ และเขาก็ก้มลงกราบทำความเคารพหลวงพี่ทุกครั้ง ที่หลวงพี่เดินผ่าน ช่วงนี้หลวงพี่ก็จะหยุดเพื่อสนทนานานหน่อย และหาโอกาสสอดแทรกธรรมะให้รามฟังบ้าง เพราะรู้ว่าเดี๋ยวนี้รามไม่ต้องรีบทำงานแข่งกับเวลาเพื่อปากท้องเหมือนเมื่อ ก่อนแล้ว ส่วนรามนั้นก็ฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้าง เพราะถึงแม้นว่าเขาไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องแล้ว แต่เขายังอยากทำงานเพื่อแข่งเวลา เพื่อที่จะหาเงินให้ได้มากๆอยู่ดี

ต่อท้าย #2 22 ม.ค. 2553, 4:39:54
เวลาผ่านไปประมาณ 3 ปี วันหนึ่ง หลวงพี่ก็เอ่ยขึ้นอีก
“ว่าไงโยม จะขนเศษดินไปตลอดชีวิตหรือ”
รามตาเป็นประกายขึ้นมาอีก เพราะเขาจำได้ว่าเมื่อคราวที่แล้วที่หลวงพี่ถามเขาแบบนี้ ชีวิตเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“หลวงพี่มีอะไรดีๆแนะนำหรือครับ คราวนี้”
“มี สิโยม ข้ามเขาไปอีกลูก หลวงพี่จะอธิบายลักษณะดินให้ ที่นั่นโยมจะพบหินที่มีแร่ทองคำ โยมอาจต้องกะเทาะหินเยอะหน่อย เพราะแร่ทองมันหายากกว่าแร่เงิน แต่มันก็คุ้มกว่านะโยม เพราะทองมันมีค่ามากกว่า”
“ครับหลวงพี่ ขอบคุณมากครับ พรุ่งนี้กระผมจะรีบเดินทางไปเลยครับ”
ความ มั่งคั่งเริ่มประดังเข้ามาหารามอีก แต่ก่อนจากบ้านไม่ต้องเช่า คราวนี้ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ เพราะรามมีที่นาให้เขาเช่า ตอนนี้มีแต่คนรู้จักเขาในนาม “ท่านเศรษฐีรามเทพ” หรือ “ท่านเศรษฐีรามเทพยิ” เป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้านเขาและอีกหลายๆหมู่บ้านใกล้เคียง แต่เขาก็คงไปทำงานอยู่เช่นเดิม การที่เขาเป็นเศรษฐีย่อมทำให้เขาเปลี่ยนไปบ้าง เพราะเขาต้องวางตนให้เหมาะสม แต่กับหลวงพี่แล้ว เขายังมีสัมมาคารวะเช่นเดิม
กาลเวลาผ่านไป วันหนึ่งหลวงพี่ก็ถามเขาขึ้นมาด้วยคำถามเดิมๆ

ต่อท้าย #3 22 ม.ค. 2553, 4:40:25
“ว่าไงโยม จะขนเศษโลหะไปตลอดชีวิตหรือไง”
“ก็แล้วแต่หลวงพี่ครับ” เศรษฐีรามเทพพูดด้วยความนอบน้อม แต่ใจก็ตื่นเต้นขึ้นมาด้วยความโลภ หลังจากที่อยู่ในความจำเจมานาน
“ข้าม เขาไปอีกลูกสิโยม แล้วอาตมาจะอธิบายลักษณะดินให้ เจ้าจะได้เจอก้อนหินเล็กๆที่เป็นประกาย มันก็คือเพชรนะโยม มันอาจหายากหน่อย แต่เม็ดเล็กๆเม็ดหนึ่งก็มีค่ามหาศาลนะโยม”
ท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่า คราวนี้เขาร่ำรวยขึ้นขนาดไหน เขาเป็นที่รู้จักในนามอภิมหาเศรษฐีรามเทพ เป็นเจ้าของหมู่บ้านหลายๆหมู่บ้านในละแวกนั้น บัดนี้ ลูกๆเขาได้โตหมดแล้ว บางคนก็แต่งงานแยกเรือนออกไป แต่บางคนก็ยังอยู่ดูแลเขา จะว่าไปแล้ว ทรัพย์สมบัติที่เขาหาได้ เขาจะใช้จ่ายอย่างสบายไปอีกสิบชาติก็ไม่หมด เขาทำบุญทำทานบ้าง แต่ใจเขาก็ยังตัดความโลภไม่ขาด เขายังไปทำงานอยู่เช่นเดิม และยังสะสมความมั่งคั่งอยู่เช่นเดิม
วันนี้ หลวงพี่มาหยุดตรงหน้าเขา ใบหน้าหลวงพี่มีร้อยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสงบ แล้วหลวงพี่ก็ถามขึ้นมาด้วย น้ำเสียงอันนุ่มนวลกว่าทุกครั้งว่า “จะขนก้อนกรวดนี้ไปตลอดชีวิตหรือ”
“อ้าว หลวงพี่ครับ มันมีอะไรที่มีค่ามากกว่าเพชรอีกหรือครับ” เขาถามด้วยความนอบน้อมกับหลวงพี่เหมือนเดิม แต่ก็เต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย เพราะเท่าที่เขารู้ ไม่มีอะไรจะมีค่ามากไปกว่าเพชรอีกแล้ว
“มีสิโยม ข้ามเขาไปอีกลูกโยมก็จะพบกุฏิอาตมา ที่นั่นบรรยกาศดีมาก มีความสงบ ที่นั่นเราจะปฏิบัติธรรมด้วยกัน”
“หลวงพี่คงล้อผมเล่นแน่ๆเลย  กุฏิกับบรรยากาศสงบจะมีค่ามากกว่าเพชรได้อย่างไร”

ต่อท้าย #4 22 ม.ค. 2553, 4:40:40
“ได้สิโยม อย่างน้อยอาตมาก็ผ่านมาหมดแล้ว แร่เงิน แร่ทองคำ เพชร ที่อาตมาแนะนำให้โยม อาตมาก็เคยขุดมันไปขายก่อนโยม แต่พอมาถึงจุดๆหนึ่ง อาตมารู้สึกว่ามันยังไม่ใช่คำตอบของชีวิตอาตมา อาตมาจึงลองเดินลึกเข้าไปในป่าอีก เผื่ออาตมาจะเจออะไร และอาตมาก็เจอสถานที่สวยงามที่เงียบสงบ อาตมาเริ่มนั่งกับตัวเอง เริ่มมองตัวเอง มีเวลาคิดเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง ซึ่งเป็นการเริ่มต้นปฏิบัติธรรม  และอาตมาก็เห็นว่าสิ่งที่ผ่านมานั้นเปรียบค่ามิได้เลย กับรสพระธรรม อาตมาจึงละทุกสิ่ง และเริ่มปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ไหนๆโยมก็เชื่ออาตมามาตลอด และแต่ละครั้ง โยมก็ไม่เคยผิดหวัง คราวนี้ก็ลองเชื่ออาตมาอีกสักครั้งดู”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่านเศรษฐีรามเทพ จึงคิดหนักว่า สถานที่แห่งนั้นคงมีอะไรแน่นอนซึ่งแม้แต่หลวงพี่ยังยอมละความร่ำรวยทั้งหมด ที่หามาได้ แล้วถ้าเขาไปที่นั่น เขามิต้องละทุกอย่างเหมือนกันหรือ เมื่อคิดเช่นนั้น ท่านเศรษฐีจึงบังเกิดความเสียดายในทรัพย์สมบัติทั้งหมด เขาจึงตอบหลวงพี่ไปอย่างเลี่ยงๆว่า
“อย่าเลยหลวงพี่ กระผมกลัวแต่ว่าถ้ากระผมไป กระผมจะกลายเป็นตัวทำลายความสงบของสถานที่แห่งนั้น และเป็นตัวถ่วงในการปฏิบัติธรรมของหลวงพี่เปล่าๆ กระผมคิดว่ากระผมยังไม่พร้อมที่จะไป”
หลวงพี่รูปนั้นพยักหน้านิด ก่อนที่กล่าวพร้อมเดินจากไปว่า “ได้สิโยม โยมพร้อมเมื่อไหร่ ก็ไปเมื่อนั้นก็แล้วกัน”
สิ่ง ที่ผมได้เรียนรู้จากนิทานเรื่องนี้คือมนุษย์เราส่วนมากแล้วรู้ว่าธรรมะเป็น เรื่องสำคัญ  แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะ “ยังไม่พร้อม” ที่จะปฏิบัติแบบจริงๆจังๆ เพราะกลัวที่จะต้องละทิ้งกิเลสอันหอมหวาน เพราะยังเสียดายกิเลสอยู่  เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เสพกิเลสนั้นอีก ฯลฯ

ต่อท้าย #5 22 ม.ค. 2553, 4:40:51
อีกข้อคิดที่ผมได้จากนิทานเรื่องนี้คือ ไม้ เป็นสิ่งที่หาง่าย มีค่าน้อย แม้จำนวนเยอะก็ตาม แร่เงิน หายากขึ้นไป มีค่าเพิ่มขึ้น แร่ทองคำ ยิ่งหายาก จำนวนน้อยนิดก็มีค่ามากกว่าแร่เงินหลายเท่านัก ส่วนเพชรยิ่งมีค่า เม็ดเขื่องๆ อาจหายากมาก แต่ถ้าหาเจอเพียงเม็ดเดียว มันก็จะมีค่ามหาศาล……… แล้วขั้นต่อไปคือมนุษย์ที่ตั้งมั่นปฏิบัติธรรม ก็ยิ่งหายากเข้าไปอีก และถ้าสามารถบรรลุในธรรมแล้ว มนุษย์ผู้นั้น ก็จะมีค่าอันมิสามารถประเมิณได้ เขาจะสามารถทำประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติได้อย่างใหญ่หลวง และสามารถทำให้คนจำนวนมากได้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม
สุดยอดของหิน คือรัตนชาติ
สุดยอดของต้นไม้ คือไม้จันทน์
สุดยอดของปักษาคือหงส์ และ นกยูง
สุดยอดแห่งสัตว์สี่เท้าคือพญาคชสาร
สุดยอดแห่งมนุษย์คือ พระอรหันต์

ต่อท้าย #6 22 ม.ค. 2553, 4:41:13
อ้างอิงจาก รพินทร์ ไพรวัลย์

ต่อท้าย #7 22 ม.ค. 2553, 4:43:35
เรื่องนี้ออกจะยาวไปหน่อยนะครับ แต่ คำสอนนั้นดีมาก ให้แง่คิดที่ดีมากครับ
https://guru.google.co.th
......................................................................
นิทานธรรมะ เรื่อง เทวดากับหนอน

นิทานธรรมะ เรื่องเทวดากับหนอน 

นิทานธรรมะ เรื่อง เทวดากับหนอน เป็นคำสอนให้เห็นว่า ผู้ที่พอใจในกามารมณ์นั้นใครเล่า น่าสมเพชกว่าใคร ในระหว่างพวก เทพยดาในฉกามาวจรสวรรค์ และ หนอนในส้วมแผนโบราณ เหล่านั้น?

นิทานเกิดขึ้นที่ข้างส้วมแผนโบราณ แห่งหนึ่ง ในหลุมนั้นมีหนอนเจริญเติบโต อยู่ทุกขนาด ดำผุดดำว่าย อยู่อย่างยัวเยี้ย นับด้วยหมื่นด้วยแสน ท่านสมภาร ได้ชี้ให้เด็กๆ ดูในแง่ธรรมะที่ว่า หนอนเหล่านี้ กำลังมึนเมา อยู่ในของเน่าเหม็นและหลับหูหลับตา จมอยู่ในของสกปรก อย่างน่าสมเพช ซึ่งถ้านำไปเปรียบ กับเหล่าเทพยดา ในฉกามาวจรวรรค์แล้ว ก็จะชวนให้ สมเพช ยิ่งขึ้นไปอีก จนสุดที่จะทนไหวทีเดียว ใครๆ อย่าหลงพอใจในของสกปรก เหมือนหนอน เหล่านั้นเลย

หนอนหลายตัว ได้ยินคำพูดเหล่านั้น! หนอนบางตัว ได้คิดว่า แท้จริง ความพอใจในรสนิยม ของพวกเรา กับของเทพยดาทั้งหลาย ก็มีได้เท่ากัน และในลักษณะ ทำนองเดียวกัน ทั้งนี้ มันแล้วแต่ ลักษณะของอายตนะ เครื่องรับและเสวยอารมณ์นั้นต่างหาก เราไม่เชื่อท่านสมภาร! หนอนบางตัว ได้พยายามลืมตาขึ้นดู ก็เห็นว่า มันออกจะสกปรก มากมายจริง แต่ทนลืมตาอยู่ไม่ไหว ต้องกลับหลับไปตามเดิม โดยเร็ว เพราะมันได้เห็น สิ่งอื่น ที่สกปรกกว่า อาหารบ้านเรือนของมันเอง จนทนลืมตาอยู่ไม่ไหว!

    มันบอกพวกพ้องของมันว่า ชั่วที่ลืมตาขึ้นแวบเดียว ก็ได้เห็น เทพยดา มนุษย์ทั้งหลาย มีจิตจมอยู่ใน ความมืดมน ถือตัว ถือตน นานาประการ การกระทำทางกายวาจา ก็จมอยู่ในกรรมโสมม เลวทราม เนื้อตัวทั้งสิ้น จมอยู่ในกามารมณ์ กำลังทำสิ่งต่างๆ ด้วยความหลงใหล ในลาภยศ อำนาจวาสนา พวกพ้องบริวาร อันเป็นทางให้ได้มาซึ่งความมัวเมา ในความสุข ทางเนื้อหนัง ของตน อย่างไม่รู้จักอิ่มจักพอ อีกต่อหนึ่ง ถึงกับต้องอิจฉา ริษยารบราฆ่าฟันกัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างป่าเถื่อน ทารุณ ชนิดที่ไม่เคยมี ในสมัยที่ยังไม่เกิด ส้วมชักโครก แผนปัจจุบันนั้นเลย ศีลธรรมของเขาคือ การกอบโกย ความสุข ทางเนื้อหนัง ใส่ตนอย่างเดียว แล้วเรียกชื่อกันเอาเอง อย่างไพเราะว่า มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ของฉัน พูดกันดังนั้นแล้ว มันก็ชักชวน กันให้หลับตา ให้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพื่ออย่าให้เสียเปรียบ หรือ ล้าหลัง พวกเทพยดา มนุษย์ทั้งปวง หรือ อย่างน้อยที่สุด ก็ให้พอเคียงคู่กันไป

    นิทานเรื่องสั้นสอนใจ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ผู้ที่พอใจในกามารมณ์ ชื่อเสียงยศศักดิ์ อำนาจวาสนา พวกพ้องบริวาร ทั้งหลายนั้น ขออย่าได้หาญ พยายามลืมตา เป็นอันขาด จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบหนอน หรือ ลืมขึ้นมา ก็จะต้องรีบกลับ หลับตา ลงไปใหม่ เหมือนหนอน เหล่านั้นอยู่เอง ซึ่งทำให้เกิด เป็นปัญหา ขึ้นว่า ใครเล่าจะเป็น ฝ่ายชนะ? หรือว่าใครเล่า น่าสมเพช กว่าใคร ในระหว่างพวก เทพยดา ใน ฉกามาวจรสวรรค์ และ หนอนใน ส้วมแผนโบราณ เหล่านั้น?

https://www.tumsrivichai.com

อัพเดทล่าสุด