ต้นไม้ริมรั้ว ต้นไม้ปลูกไว้ในบ้าน ต้นไม้ริมรั่วบ้าน การปลูกต้นไม้ริมรัว MUSLIMTHAIPOST

 

ต้นไม้ริมรั้ว ต้นไม้ปลูกไว้ในบ้าน ต้นไม้ริมรั่วบ้าน การปลูกต้นไม้ริมรัว


3,249 ผู้ชม


..... ปลูกให้ร่มเงา
ต้นไม้ริมรั้วที่ปลูกไว้เพื่อให้ร่มเงา ลักษณะจะเป็นต้นไม้ใหญ่ มีใบและพุ่มหนา และเป็นไม้ไม่ผลัดใบ ซึ่งจะทำให้บ้านของเราได้ร่มเงาตลอดทั้งปี อีกทั้งกิ่งก้านยังแข็งแรงไม่หักเปราะง่าย ใช้ปลูกในรั้ว ริมรั้ว หรือนอกรั้ว ก็ตามแต่ความชอบ แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ควรปลูกชิดรั้วมากจนเกินไปนะคะ ส่วนทิศที่ควรปลูกก็คือ ทิศตะวันตก เพราะจะช่วยคอยบังแดด หากปลูกในทิศใต้ก็จะช่วยบังลมได้เป็นอย่างดีค่ะ สำหรับต้นไม้ริมรั้วที่นิยมปลูกให้ร่มเงา มีตัวอย่างดังนี้


ต้นไม้ริมรั้ว ไทรเกาหลี
ภาพจาก สวนกู๊ดวิว
 ไทรเกาหลี
ลักษณะทั่วไป : เป็นต้นไม้ที่นิยมปลูกริมรั้วเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปลูกเอาไว้ทำเป็นแนวรั้ว หรือปลูกริมกำแพงร่วมกับพืชดอกชนิดอื่น มีลักษณะไม้พุ่มทรงสูง และทรงของพุ่มจะค่อนข้างแน่น ตัวพุ่มประกอบไปด้วยใบสีเขียวสดที่เรียงตัวซ้อนกันอยู่เป็นชั้น ๆ เมื่อโตเต็มที่ไทรเกาหลีจะมีขนาดความสูงได้ประมาณ 5-6 เมตร ส่วนตัวใบของต้นไทรเกาหลีนั้นจะมีสีเขียวเข้มจัดรูปทรงค่อนข้างเรียว ใบมัน และมียางสีขาว มีใบดกตลอดทั้งปี ส่วนของลำต้นด้านบนจะเห็นไม่ชัดเนื่องจากใบที่หนาแน่นปกคลุมอยู่มาก โดยตัวลำต้นส่วนล่างที่มองเห็นได้จะมีสีเทาปนน้ำตาล ตามกิ่งจะมีรากย้อยลงมาซึ่งเป็นลักษณะแบบเดียวกับต้นไทรชนิดอื่นด้วย ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของต้นไทรเกาหลีคือแทบจะไม่มีการผลัดใบ ทำให้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการจัดการกับปัญหาเศษใบไม้ร่วง
การดูแล : ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง สามารถเติบโตในดินธรรมดาได้ดี และสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเสียบยอดหรือเพาะเมล็ด 
ต้นไม้ริมรั้ว วาสนา

 วาสนา
ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นตรง กลม เป็นข้อถี่ มีความสูงประมาณ ๔-๑๐ เมตร ไม่มีกิ่งก้านสาขา ผิวเปลือกลำต้นมีสีน้ำตาล ใบเป็นใบเดี่ยว แตกออกจากลำต้นส่วนยอด เรียงซ้อนกันเวียนรอบลำต้นเป็นรูปวงกลม ส่วนใบมีลักษณะเป็นใบเรียว ยาว ปลายใบแหลม ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น
นอกจากนี้ ต้นวาสนายังเป็นต้นไม้มงคลตามความเชื่อ หากใครปลูกต้นวาสนาไว้ในบ้าน ก็จะพบเจอแต่สิ่งดี นอกจากต้นวาสนาจะมีความหมายดี ๆ แล้ว จุดเด่นของต้นไม้นี้ยังให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดีอีกด้วยนะ ส่วนถ้าใครคิดจะปลูกต้นวาสนาล่ะก็ ตามตำราเขาแนะนำให้ปลูกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และควรปลูกในวันอังคาร โดยให้ผู้หญิงเป็นผู้ปลูกจะดีที่สุด เพราะชื่อวาสนาอธิษฐานเป็นชื่อที่เหมาะกับสุภาพสตรี

การดูแล :
 ต้องการแสงแดดอ่อนรำไรจนถึงแสงแดดจัด และควรรดน้ำอย่างน้อย 5-7 วันต่อครั้ง ควรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 5-6 ครั้ง ลักษณะพิเศษอีกอย่างอยู่ที่ใบ คือถ้าส่วนใบได้รับแสงแดดสม่ำเสมอ ทำให้สีสันของใบสวยงามยิ่งขึ้น
ต้นไม้ริมรั้ว ต้นไผ่

 ไผ่
ลักษณะทั่วไป : ต้นไผ่มีหลากหลายชนิด ทั้งไผ่เหลืองทอง ไผ่สีสุก ไผ่เตี้ย ไผ่น้ำเต้า แต่คนโบราณเชื่อกันว่า ถ้าปลูกไผ่สีสุกจะช่วยให้สมาชิกในบ้านประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง และมีความสุขกันถ้วนหน้า ส่วนลักษณะที่เด่นชัดเหมือนกันของต้นไผ่ นั่นก็คือ เป็นไม้ไม่ผลัดใบใน ขึ้นเป็นกอ ลำต้นเป็นปล้อง ๆ เหยียดตรง แข็งแรง 
การดูแล : ต้นไผ่เป็นพืชที่ดูแลง่าย แต่ทั้งนี้ในช่วงแรกต้องคอยกำจัดวัชพืช ซึ่งหลังจาก 1 ปี จะไม่มีวัชพืชขึ้นแล้ว เนื่องจากใบของไผ่จะบังแสงแดดไม่ให้ส่องถึงพื้น หากจะปลูกต้นไผ่ ควรปลูกไว้ริมรั้วของบ้าน หรือบริเวณที่โล่งกว้าง ให้ต้นไผ่ได้แตกหน่อเจริญงอกงาม และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออก เพื่อให้ต้นไผ่ได้รับแสงแดดยามเช้า นอกจากนี้ ยังควรปลูกต้นไผ่ในวันเสาร์จึงจะเป็นมงคล 
ต้นไม้ริมรั้ว โกสน

 โกสน
ลักษณะทั่วไป : ไม้ยืนต้นประเภทไม้พุ่มขนาดย่อม ลำต้นมีความสูงประมาณ 3-5 เมตร ผิวลำต้นเรียบสีน้ำตาลปนเทา ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มตรงกลม ใบแตกออกจากต้นและปลายกิ่ง ลักษณะใบมีรูปร่าง สีสันและขนาดที่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่ชนิดของพันธุ์ ดอกออกเป็นพวงห้อยลงมาด้านล่าง ซึ่งออกมาจากปลายกิ่งพวงหนึ่งยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ดอกมีสีขาวขนาดของดอกเล็กมาก ดอกมี 5 กลีบ ดอกบานเต็มที่จะเห็นเกสรตัวผู้เป็นเส้นฝอย การบานของดอกเป็นรูปทรงกลม
การดูแล : ต้นโกสนเป็นต้นไม้ที่ต้องการแสงแดดอ่อนรำไร จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง ต้องการน้ำปริมาณปานกลาง ชอบดินร่วนซุย ส่วนการใส่ปุ๋ยควรใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ใส่ ปีละ 5-6 ครั้ง และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นโกสนไว้ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางใบให้ปลูกในวันอังคาร

 แสงจันทร์
ลักษณะทั่วไป : แสงจันทร์ เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-10 เมตร ผิวเปลือกลำต้นสีขาวเทา ผิวลำต้นเรียบลำต้นและกิ่งเจริญออกไปรอบต้นใบสีเหลืองอมเขียวอ่อน ปลายใบแหลมขอบใบเรียบ ใบเป็นใบเดี่ยว แตกออกตามข้อ ของกิ่ง เนื้อใบมองเห็นเส้นใบได้ชัด ใบบางนิ่ม ขนาดความกว้างของใบประมาณ 10-15 เซนติเมตร ยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตรดอกออกเป็นช่อช่อดอกประกอบด้วยดอกเล็ก ๆ ติดอยู่ที่ก้านดอกประมาณ 10 - 15 ดอกมี 5 กลีบสีขาวช่อดอกจะออกตามปลายยอด
สำหรับต้นแสงจันทร์คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นแสงจันทร์ไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความงดงามนิ่มนวลเพราะลักษณะใบแสงจันทร์ มีสีเหลืองอมเขียวอ่อน ๆ เมื่อกระทบแสงจันทร์แล้วจะเกิดประกายแสงสีเหลืองนวลเด่นงานสดใสเหมือนแสงจันทร์นอก
การดูแล : ต้นแสงจันทร์ต้องการเป็นต้นไม้ที่ต้องการแสงแดดอ่อนรำไร จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง ต้องการน้ำปริมาณปานกลาง ควรให้น้ำ 5-7 วันต่อครั้ง ชอบดินร่วนซุย มีความชื้นปานกลาง และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นแสงจันทร์ไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางใบ ให้ปลูกในวันอังคาร ถ้าจะให้เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ผู้ปลูกควรเป็นสุภาพสตรี เพราะแสงจันทร์เป็นชื่อที่เหมาะสมสำหรับสุภาพสตรี นอกจากนี้ลักษณะความสวยงาม ก็เปรียบเสมือนกับสุภาพสตรีอีกด้วย
 ประดู่
ลักษณะทั่วไป : ต้นประดู่อังสนา หรือประดู่บ้านเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่มีความสูงประมาณ 10-25 เมตร มีใบเป็นช่อ ๆ แตกออกจากปลายกิ่ง ลักษณะของใบนั้นเป็นรูปมนรี มีขนาดใบยาวประมาณ 2-3 นิ้ว กว้างประมาณ 1-2 นิ้ว และออกดอกเล็ก ๆ สีเหลือง ตามปลายกิ่ง
การดูแล : ต้นประดู่ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ชอบดินร่วนซุย ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด นิยมปลูกริมถนนเพราะกิ่งทอดลงห้อยย้อยสวยงาม
 ปลูกเพื่อความสวยงาม
ไม้ดอกถือได้ว่าเป็นไม้ที่ให้ประโยชน์มากมาย นอกจากบางชนิดจะเพิ่มเติมความสวยงามให้กับบ้านแล้ว ยังมีกลิ่นหอมแตกต่างกันออกไปตามความชอบ แถมบางชนิดยังให้ร่มเงาได้อีกด้วยนะ หลายคนจึงนิยมปลูกต้นไม้เหล่านี้เอาไว้ริมรั้วเพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับบ้านมากขึ้น ดังเช่นตัวอย่างต่อไปนี้
ต้นไม้ริมรั้ว โมก
ภาพจาก วิกิพีเดีย
 โมก
ลักษณะทั่วไป : โมกเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-12 เมตร ผิวเปลือกสีน้ำตาลดำ ลำต้นกลมเรียบมีจุดเล็ก ๆ สีขาวประทั่วต้น แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบลำต้นไม่เป็นระเบียบใบเป็นใบเดียวออกเรียงกันเป็นคู่ตามก้านใบลักษณะใบ เป็นรูปไข่ รี ปลายใบมนแหลม โคนใบแหลม ขอบใบเรียบ เนื้อใบบางสีเขียว ขนาดใบกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ อยู่ตามปลายกิ่ง ช่อหนึ่งมีดอก 4-8 ดอก ลักษณะดอกจะคว่ำหน้าลงสู่พื้นดินมีกลีบดอก 5 กลีบ มีสีขาวกลิ่นหอม ดอกบานเต็มที่มีขนาด ประมาณ 2 เซนติเมตร ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอกจะออกมาเป็นคู่ ลักษณะโค้งงอเข้าหากัน ภายในมีขี้เรียงอยู่จำนวนมาก ขนาดความยาวของฝักประมาณ 10-15 เซนติเมตร
สำหรับต้นโมกนั้น คนโบราณเชื่อว่า หากปลูกต้นโมกเอาไว้ภายในบ้าน ก็จะทำให้เกิดความบริสุทธิ์สะอาด มีแต่ความสุขกายสุขใจ ปลอดภัย และรอดพ้นจากสิ่งอันจะนำความทุกข์ร้อน มาสู่คนในครอบครัว ส่วนดอกของต้นโมกนั้น มีสีขาวสะอาด มีกลิ่นหอมสดชื่นตลอดทั้งวัน นอกจากจะให้ความสบายตาแล้ว ยังให้ความสบายใจอีกด้วย
การดูแล : ต้นโมกต้องการแสงแดดปานกลาง จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง ควรให้น้ำ 5-7 วันต่อครั้ง นอกจากนี้ต้นโมกยังชอบดินร่วนซุย ที่มีความชื้นปานกลาง และควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ในอัตรา 1-2 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 4-6 ครั้ง
ต้นไม้ริมรั้ว เฟื่องฟ้า
ภาพจาก วิกิพีเดีย
 เฟื่องฟ้า
ลักษณะทั่วไป : เฟื่องฟ้าเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางประเภทเถาเลื้อย ลำต้นมีความยาวประมาณ 1-10 เมตร มีลำเถาแข็งแรงเลื้อยไปได้ไกล ผิวลำต้นสีเทาหรือสีน้ำตาลลำต้นมีหนามคมแหลมยาวประมาณ 0.51 เซนติเมตร ติดอยู่เป็นระยะ ๆ ลักษณะของทรงพุ่มสามารถตัดแต่ง และบังคับทิศทางการเจริญเติบโตได้ใบเป็นใบเดี่ยวแตกตามเถาลักษณะรูปไข่ปลายใบแหลมโคนใบมนขอบใบเรียบพื้นใบเรียบสีเขียว ขนาดใบกว้าง 2 - 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อตามส่วนยอด มีกลีบดอกหรือใบประดับ 3กลีบ ส่วนดอกจะมีดอกเล็กสีขาว กลีบดอกจะมีขนาดและสีสรรแตกต่างกันตามชนิดพันธุ์
ทั้งนี้ คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นเฟื่องฟ้าไว้ประจำบ้าน สามารถสร้างคุณค่าของชีวิตให้สูงขึ้น เพราะเฟื่องฟ้าเป็นพรรณไม้ ที่ได้รับสมญาว่า เป็นราชินีแห่งไม้ประดับเนื่องจากสามารถนำเฟื่องฟ้าไปใช้ประโยชน์ในด้านสุนทรียภาพเพื่อประดับสวนอาคารบ้านเรือนและสถานที่สำคัญต่าง ๆ 
นอกจากนี้คนไทยโบราณยังมีความเชื่ออีกว่าเฟื่องฟ้าเป็นไม้มงคลทำสำคัญของเทศกาลตรุษจีน เพราะต้นเฟื่องฟ้าสามารถออกดอกสะพรั่งในช่วงเทศกาลตรุษจีนจึงทำให้บางคนเรียกต้นเฟื่องว่าว่าต้นตรุษจีนดังนั้นบางคนเชื่อว่า เมื่อช่วงดอกเฟื่องฟ้าบานแสดงถึง ความเบิกบาน สว่างไสว ความรุ่งเรือง ที่ก้าวไกลแห่งชีวิต
สำหรับตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นเฟื่องฟ้า ไว้ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางด้าน ให้ปลูกในวันพุธ และถ้าจะให้เป็นสิริมงคลยิ่งขึ้น ผู้ปลูกควรเป็นสตรี เพราะเฟื่องฟ้าเป็นราชินีแห่งไม้ประดับ ดังนั้นชื่อจึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับสุภาพสตรี 
การดูแล : เฟื่องฟ้านั้น เรียกได้ว่าเป็นดอกไม้ที่เลี้ยงง่ายตายยาก โดยทั่วไปแล้วเฟื้องฟ้าชอบน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 3 - 5 วัน/ครั้ง และควรปลูกในดินร่วนซุย ที่มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ส่วนเรื่องโรคและแมลงก็ไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไรนัก แต่ควรระวังไม่ให้น้ำมากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้รากเน่าได้ 
ต้นไม้ริมรั้ว ดอกแก้ว

 ดอกแก้ว
ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 10 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ สีเขียวเข้ม เปลือกต้น สีขาวเทา แตกเป็นร่องตามยาว ส่วนใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงสลับ มีใบย่อย 5-9 ใบ เรียงสลับกันจากเล็กไปหาใหญ่ สีเขียวเข้มเป็นมัน ใบย่อยที่ปลายก้านใบรูปไข่ รูปรี หรือรูปไข่กลับ ปลายแหลม โคนแหลมหรือสอบ ขอบเป็นคลื่นหรือหยักมนตื้น ๆ โคนใบเบี้ยวเล็กน้อย ใบมีต่อมน้ำมัน สำหรับดอกนั้น เป็นช่อดอกสั้น ออกตามง่ามใบ ดอกสีขาว กลิ่นหอม กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบเลี้ยง ขนาดเล็ก ปลายมน กลีบดอกรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ ยาวประมาณ 1.2 เซนติเมตร เรียงซ้อนเหลื่อม ฐานรองดอกรูปวงแหวน เกสรเพศผู้ 10 อัน ยาวไม่เท่ากัน ยาวประมาณกึ่งหนึ่งของกลีบดอก ก้านเกสรเพศผู้แบน รังไข่ติดเหนือวงกลีบ ก้านเกสรเพศเมียหนา ยาวประมาณ 0.7 เซนติเมตร ยอดเกสรรูปโล่ ร่วงง่าย ดอกบานเต็มที่กว้าง 2-2.5 เซนติเมตร
คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นแก้วไว้ประจำบ้านจะทำให้เป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ มีความเบิกบาน เพราะ แก้ว คือ ความใสสะอาด ความสดใส นอกจากนี้ดอกแก้วยังมีสีขาวสะอาดกลิ่นหอมอบอวล ทั้งยังสามารถนำดอกแก้วไปใช้ในพิธีบูชาพระในพิธีทางศาสนาได้ ถือเป็นสิริมงคลยิ่ง และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นแก้วไว้ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางดอกให้ปลูกในวันพุธ
การดูแล : ต้นแก้วต้องการแสงแดดจัด และควรรดน้ำอย่างน้อย 3 - 5 วัน/ครั้ง ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1 - 2 กิโลกรัม/ต้น ใส่ปีละ 4 - 6 ครั้ง หรือใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15-15-15 อัตรา 200- 300 กรัม/ต้น ใส่ปีละ 4 - 6 ครั้ง
ต้นไม้ริมรั้ว ต้นเข็ม

 ดอกเข็ม
ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้พุ่มออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอดหรือกิ่งข้าง ดอกมีหลากสีด้วยกันคือ สีแดง ส้ม ชมพู เหลือง และขาว เป็นต้น ดอกเข็มมีลักษณะเป็นหลอดเล็ก ๆ ที่ปลายหลอดมีกลีบแยกจากกันเป็น 4 กลีบ ถ้าดอกซ้อนอาจจะมีถึง 8 กลีบ หรือมากกว่านั้น เกสรตัวผู้ติดอยู่ที่หลอดดอกด้านบน และอยู่สลับกับกลีบ เกสรตัวเมียยื่นเลยหลอดดอกออกมา มี 2 แฉก เข็มจะออกดอกตลอดทั้งปี น้ำหวานจากดอกเข็มมีปริมาณมาก เราสามารถดูดน้ำหวานด้วยปากโดยตรงจากดอกเข็มแต่ละดอกได้โดยง่าย 
คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกเข็มไว้ประจำบ้าน จะทำให้มีความฉลาดเฉียบแหลม เพราะเข็มคือสิ่งที่มีความแหลมคมดังนั้นคนไทยโบรานจึงใช้ดอกเข็มในพิธีไหว้ครูเพื่อจะได้เป็นนักปราชญ์ที่มีสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลมนอกจากนี้ยังใช้ดอกเข็มเป็นเครื่องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพิธีทางศาสนาได้เป็นสิริมงคลยิ่งนัก 
ส่วนตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นเข็มไว้ ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธเพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางดอก ให้ปลูกในวันพุธ
การดูแล : ต้นเข็มชอบแสงแดดจัด ๆ หรือแสงแดดกลางแจ้ง ส่วนน้ำต้องการน้ำเพียงแค่ปานกลางเท่านั้น และต้นเข็มยังสามารถทนต่อความแห้งแล้งได้ ชอบดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย มีความชุ่มชื้น และควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ 5-6 ครั้ง/ปี

ต้นไม้ริมรั้ว พลับพลึง
ภาพจาก วิกิพีเดีย
 พลับพลึง
ลักษณะทั่วไป : เป็นพืชล้มลุกหลายฤดู มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวกลม ส่วนที่โผล่พ้นดินเป็นกายใบอัดกันแน่น ส่วนใบเป็นใบเดี่ยว เรียงซ้อนเป็นวงกว้าง 7-15 เซนติเมตร ยาว 1 เมตร ปลายใบแหลม แผ่นใบอวบหนา มีหน่อจำนวนมากขึ้นรวมกันเป็นกอ แผ่นใบเป็นมันเรียบ ลักษณะแคบ เรียวยาว เรียงเวียนรอบ แกนลำต้น ออกดอกเป็นช่อ มีก้านช่อดอกยาว สำหรับดอกนั้น มีลักษณะช่อดอกขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายปากแตร ผลค่อนข้างกลม มีสีขาวหรือม่วงแดง ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อยจำนวนมาก 10-30 ส่วนดอกพลับพลึง มีก้านช่อดอกที่อวบใหญ่ กลีบดอกตอนโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ยาว 7-10 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 6 กลีบแคบ ๆ กว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 7 เซนติเมตร ดอกทยอยบาน มีกลิ่นหอม พลับพลึงดอกสีแดงจะมีช่อดอกและดอกใหญ่กว่าพลับพลึงดอกสีขาว 
การดูแล : พลับพลึงชอบขึ้นในดินที่ชื้นสามารถทนอยู่ในดินแฉะที่ไม่ค่อยระบายน้ำหรือในบริเวณที่แห้งแล้งในบางช่วงได้ นิยมปลูกกันตามร่องสวนในภาคกลางทั่วไป เป็นพืชที่ทนทาน ไม่ต้องมีการบำรุงรักษามากนัก
ต้นไม้ริมรั้ว พุทธรักษา

 พุทธรักษา
ลักษณะทั่วไป : พุทธรักษาเป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-2 เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า เหง้า มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอคล้ายกับกล้วย ลักษณะหน่อที่เจริญเป็นต้นเหนือพื้นดินนั้นมีลักษณะกลมแบนสีเขียวขนาดลำต้นโตประมาณ 2-4 เซนติเมตร ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูนเห็นได้ชัดโคนใบมีก้านใบซึ้งยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 10-15 เซนติเมตร ยาวประมาณ 25-35 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ช่อดอกยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร ประกอบด้วยดอก 8-10 ดอก และมีกลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสันแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์
นอกจากนี้ คนโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยคุ้มครอง ป้องกันอันตรายแก่บ้านและผู้อาศัยได้ เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่คนโบราณเชื่อว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนั่นเอง สำหรับตำแหน่งของผู้ปลูกนั้น เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นพุทธรักษาไว้ทางทิศตะวันตก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางดอกให้ปลูกในวันพุธ
การดูแล : ดอกพุทธรักษา ชอบแสงรำไร หรือแสงแดดจัดกลางแจ้ง และต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 3-5 วัน/ ครั้ง เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/กอ ปีละประมาณ 4-6 ครั้ง
 ปลูกเอาผล
ไม้ผลส่วนมากมักจะมีลำต้นสูงใหญ่ เพราะนอกจากจะออกผลให้เราได้เก็บกินแล้ว ยังให้ประโยชน์ในเรื่องความร่มเงาอีกด้วย ซึ่งไม้ผลบางชนิด ก็ออกดอกให้ได้รับประทานทั้งปี บางชนิดทั้งออกดอก แถมปลูกแล้วยังเป็นสิริมงคล จึงเป็นที่นิยมนำมาปลูกกันหลายชนิด เช่น
ต้นไม้ริมรั้ว มะม่วง

 มะม่วง
ลักษณะ : เป็นไม้ผลที่นิยมปลูกค่อนข้างมาก เนื่องจากมะม่วงนั้น สามารถปลูกได้ง่าย และปลูกได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย จึงไม่แปลกที่มะม่วงเป็นไม้ผลที่มีผู้นิยมปลูกและรับประทานมากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย แต่การเลือกพื้นที่ปลูกให้เหมาะสม ต้องคำนึงถึง 
สำหรับ มะม่วงเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10–30 เมตร ใบ ใบเดี่ยวสีเขียว ขอบใบเรียบ ฐานใบมน ปลายใบแหลม ดอก เป็นช่อ กลีบดอกมี 5 กลีบ เกสรสีแดงเรื่อๆ ดอกออกช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงฤดูร้อนจะติดผล ผล ยาวประมาณ 5–20 เซนติเมตร กว้าง 4–8 เซนติเมตร ลูกดิบสีเขียว เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือเหลืองส้ม มีเมล็ดภายใน 1 เมล็ด
ต้นไม้ริมรั้ว ทับทิม

 ทับทิม 
ลักษณะ : ทับทิมเป็นไม้พุ่มแตกกิ่งก้าน โคนต้นมีกิ่งที่เปลี่ยนไปเป็นหนามยาว แข็ง ใบ เดี่ยว แผ่นใบแคบ ขอบใบเป็นรูปขอบขนาน ยอดอ่อนเป็นสีแดง ใบออกเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน หรือใบออกสลับกัน ดอก เดี่ยว กลีบเลี้ยงหนาสีแดง จะคงทนอยู่จนเป็นผล กลีบดอกสีแดง หรือสีเหลืองอ่อน ถ้ากลีบดอกสีแดง ผลเมื่อแก่จัดจะมีเปลือกแดงปนชมพู ปนน้ำตาลเหลือง ถ้ากลีบดอกสีเหลืองอ่อน ผลแก่จัดสีเหลืองปนน้ำตาล ผล กลมโต แล้วแต่พันธุ์ เปลือกนอกของผลหนาค่อนข้างเหนียว เปลือกด้านในสีเหลือง ภายในมีเมล็ดเป็นจำนวนมาก อัดกันแน่นเต็มเปลือก แต่ละเมล็ดมีเนื้อสีชมพู หรือสีแดงลักษณะใส มีรสหวาน หวานอมเปรี้ยว 
ต้นไม้ริมรั้ว ฝรั่ง

 ฝรั่ง
ลักษณะ : เป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง โดยเป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 3-10 เมตร ลำต้นเกลี้ยงมัน เปลือกต้นเรียบ ใบเดี่ยว ออกดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อ 2-3 ใบ โดยจะออกดอกตามซอกใบ กลีบดอกเป็นสีขาว ร่วงง่าย มีเกสรตัวผู้เป็นจำนวนมาก ออกผลเป็นสีเขียว รับประทานได้ เมื่อสุกแล้วจะมีผลเป็นสีเหลือง เนื้อนิ่ม 

ที่มา https://www.kroobannok.com/57238

อัพเดทล่าสุด