เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น MUSLIMTHAIPOST

 

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น


988 ผู้ชม


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

เทศบาลนครปากเกร็ด (10,915 views) first post: Wed 19 May 2010 last update: Fri 21 May 2010

เมื่อพบผู้บาดเจ็บ เราควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างไร ให้ถูกวิธีและไม่เป็นการทำให้เจ็บหนักมากขึ้น ต้องติดตามบทความนี้ค่ะ


หน้าที่ 1 - เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือระหว่าง งานป้องกันและควบคุมโรค กองการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลนครปากเกร็ด และวิชาการดอทคอมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

การปฐมพยาบาล หมายถึง การปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือ หรือการรักษาพยาบาลในขั้นแรกแก่ผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุ หรือผู้ป่วยโดยปัจจุบันทันด่วน  ก่อนที่ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาพยาบาลจากแพทย์ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยพ้นจากอันตราย หรือลดอันตรายให้น้อยลงก่อนที่แพทย์จะรักษาในขั้นต่อไป
อุปกรณ์ปฐมพยาบาล
สำลี ผ้ากอซแผ่นชนิดฆ่าเชื้อ ทำความสะอาด (แอลกอฮอล์)
คีมสำหรับบ่งเสี้ยน ผ้าสามเหลี่ยม
ผ้ากอซพันแผลขนาดต่าง ๆ เช่น 1 นิ้ว 2 นิ้ว 3 นิ้ว หรือ 4 นิ้ว
กรรไกรขนาดกลาง เข็มกลัดซ่อนปลาย
แก้วล้างตา พลาสเตอร์ม้วน หรือชิ้น
ผ้ายืดพันแก้เคล็ด ขัดยอก (Elastic bandage) ผ้ากอซชุบพาราฟินสำหรับปิดแผลไฟไหม ้
ยาที่ควรมีไว้ในตู้ยาประจำบ้าน
ยาแก้ปวดลดไข้ เช่น ยาเม็ดพาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัม
ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก เช่น ยาเม็ดคลอเฟนนิรามีน 4 มิลลิกรัม และ 2 มิลลิกรัม
ยาแก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ เช่น ยาธาตุน้ำแดง ยาธาตุน้ำขาว โซดามิ้นท์ ขมิ้นชันแคปซูล
ยาโรคกระเพาะ เช่น ยาเม็ดอลูมินาแมกนิเซีย ไตรซิลลิเคท
ยาแก้ท้องเสีย เช่น ยาน้ำเคาลินเปคติน ผงน้ำตาลเกลือแร 
ยาใส่แผล เช่น ทิงเจอร์แผลสด ไอโปดีน
ยาล้างตา โบริคโซลูชั่น
ยาทาแก้แพ้ แก้คัน คาลาไมน์
ยาล้างแผล เช็ดแผล เช่น ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ แอลกอฮอล์เช็ดแผล
ยาทานวด เช่น ขี้ผึ้งปวดบวม ครีมระกำ GPO บาล์ม
ยาแก้ไอผู้ใหญ่ เช่น ยาแก้ไอน้ำดำ ยาขับเสมหะ
ยาแก้ไอเด็ก เช่น ยาแก้ไอขับเสมหะ ยาแก้ไอเด็กเล็ก
ยาระบาย เช่น ยาระบายแมกนีเซีย ชามะขามแขก ยาเม็ดมะขามแขก
ยาสูดดม เช่น เหล้าแอมโมเนีย
ความปลอดภัยสำหรับเด็ก
อย่าปล่อยให้ทารก หรือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ไว้กับสิ่งที่อุดตันทางเดินหายใจได้ เช่น ถุงพลาสติก ให้เลือก
ของเล่นชิ้นใหญ่ ๆ ที่ใส่ปากไม่ได้
อย่าใช้หมอนกับทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี
อย่าทิ้งทารกไว้กับขวดนม หรืออาหารตามลำพัง เพราะอาจสำลักได้
ห้ามให้ถั่วลิสง น้อยหน่า มะขาม แก่เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ
อย่าปล่อยให้เด็กทารกไว้บนเตียงกับคุณนาน ๆ เพราะอาจเผลอหลับทับเด็กได้
อย่าปล่อยเด็กหรือทารกไว้บนที่ยกสูงตามลำพัง
รถหัดเดินควรมีฐานและล้อที่แข็งแรง
อย่าปล่อยเด็ก หรือทารกไว้บนเก้าอี้สูงโดยไม่มีเครื่องรัดตัว
อย่าวางแจกันแก้ว กาน้ำร้อนไว้บนโต๊ะเตี้ย หรือในระยะที่เด็กเอื้อมมือถึง
หาที่ครอบปลั๊กไฟ และสอนไม่ให้เล่นปลั๊กไฟ พัดลม เมื่อเด็กเรียนรู้และสอนจุดอันตรายต่าง ๆให้เด็กทราบ
ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ข้ามถนนตามลำพัง ควรจูงมือเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ ข้ามถนนเสมอ
อย่าถือของร้อน ถ้วยกาแฟร้อน ๆ เหนือศีรษะเด็ก
บ้านที่มีเด็กในวัยหัดเดินเตาะแตะ ไม่ควรใช้ผ้าปูโต๊ะที่มีชายให้เด็กดึงได
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
1. ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
ฉีก หรือตัดเสื้อผ้าบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวกออก
เสื้อผ้าที่ไหม้ไฟและดับแล้ว ถ้าติดที่แผล ไม่ต้องดึงออก
ถอดเครื่องประดับที่รัดอยู่ เช่น แหวน เข็มขัด นาฬิกา รองเท้า (เพราะอาจจะบวมทำให้ถอดยาก)
ทำให้บริเวณที่ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวกเย็นลงโดยเร็วที่สุด (ทำอย่างน้อย 10 นาที)
ใช้ผ้ากอซปราศจากเชื้อปิดแผล กรณีแผลใหญ่ ใช้ผ้าปิดพันด้วยผ้ายืดหลวม ๆ
2. การทำแผล
ล้างมือให้สะอาด
ทำแผลที่สะอาดก่อนแผลที่สกปรก
เช็ดรอบแผลด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ (เช็ดจากข้างในวนมาข้างนอกทางเดียว)
ปิดด้วยผ้ากอซ หรือผ้าสะอาด
อย่าให้ถูกน้ำอีก เพราะจะทำให้เป็นหนองหรือหายช้า
2.1 กรณีแผลถลอกทั่วไป
ล้างด้วยน้ำ และสบู่ให้สิ่งสกปรกออกให้หมด
เช็ดด้วยแอลกอฮอล์ ทาทิงเจอร์แผลสด หรือ เบตาดีน
ไม่ต้องปิดแผล
2.2 กรณีแผลตื้น หรือมีดบาด (เลือดออกไม่มาก)
บีบเลือดออกบ้าง
ล้างด้วยน้ำสะอาด และสบู่
ใส่ยาทิงเจอร์แผลสด หรือเบตาดีน
ปิดแผล เพื่อให้ขอบแผลสมานติดกัน
2.3 กรณีแผลลึกถึงกระดูก หรือกระดูกโผล่
ห้ามเลือดทันที
ใช้ผ้าสะอาดคลุม ห้ามจับกระดูกยัดกลับเข้าไป
รีบพาไปพบแพทย์ทันที
2.4 กรณีแผลมีหนอง
ล้างด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือเดกิ้นโซลูชั่น ทุกวัน
เช็ดด้วยสำลี
รับประทานยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่งให้ครบ
2.5 กรณีแผลตะปูตำ
ล้างแผลให้สะอาดด้วยน้ำ และสบู่มาก ๆ
ใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ทำความสะอาดอีกครั้ง
ปิดแผล ห้ามถูกน้ำ
ฉีดยาป้องกันบาดทะยัก
รับประทานยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่งให้ครบ
2.6 กรณีแผลถูกแทงด้วยของแหลม มีด ไม้
ตัดมีด หรือไม้ที่แทงให้สั้นลง และยึดวัสดุนั้นให้อยู่นิ่ง เพื่อให้เดินทางไปพบแพทย์ได้สะดวก (ห้ามดึงออก)
ให้อยู่นิ่ง ๆ
รีบนำส่งโรงพยาบาล
2.7 กรณีแผลพุ -พอง
จากการเสียดสี ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ผิวหนังชั้นนอกแยกจากชั้นใน มีน้ำมาขังอยู่
การปฐมพยาบาล
ถ้าแผลเล็ก ไม่ต้องทำอะไร ปกติร่างกายจะดูดซึมน้ำกลับไปเอง และผิวหนังชั้นนอกจะลอกตัวไป
ถ้าบริเวณที่พุพองขยายตัวกว้างขึ้นให้รีบไปพบแพทย์
3. เลือดออก
ใช้นิ้วกดบาดแผลประมาณ 10 นาที หรือบีบเนื้อข้าง ๆ มาปิดแผล
ใช้ผ้าหรือเนคไทพันปิดบาดแผลไว้ อย่าให้แน่นจนชา
แผลที่แขน หรือขา ให้ยกสูง ถ้าเลือดไหลไม่หยุดให้กดเส้นเลือดใหญ่ที่ไปเลี้ยงแขน หรือขา
4. เลือดออกไม่หยุดหลังการถอนฟัน
กัดผ้ากอซชิ้นใหม่ซ้ำ อมน้ำแข็ง (ห้ามบ้วนน้ำ หรือน้ำยาบ้วนปาก)
ประคบน้ำแข็งนอกปาก
ถ้ายังไม่หยุดให้รีบไปพบแพทย์
5. เลือดกำเดาออก
สาเหตุ จากการกระแทก สั่งน้ำมูก การแคะจมูก
การปฐมพยาบาล
นั่งลง ก้มศีรษะเล็กน้อย บีบจมูกนาน 10 นาที (หายใจทางปาก)
วางน้ำแข็ง หรือผ้าเย็น ๆ บนสันจมูก หน้าผาก ใต้ขากรรไกร
ถ้าไม่หยุด รีบไปพบแพทย์
6. ฟกช้ำ หัวโน ห้อเลือด
ให้ประคบความเย็นเร็วที่สุด เพื่อลดอาการบวม หรือใช้มะนาวผสมดินสอพองพอกไว้
(ปกติรอยฟกช้ำจะหายไปเอง)
ถ้าเกิดอาการนานเกิน 24 ชั่วโมง ใช้ประคบ และคลึงด้วยผ้าชุบน้ำร้อน วันละ 2-3 ครั้ง
7. ข้อเคล็ด
ให้บริเวณข้อนั้น ๆ อยู่นิ่ง ๆ และยกสูงไว้
ประคบน้ำแข็งทันที เพื่อลดอาการบวม ปวด
ถ้าภายหลังมีอาการบวม ให้ประคบด้วยน้ำร้อน หรือนวดด้วยยาหม่อง
หรือน้ำมันระกำ หรือ GPO บาล์ม
ถ้าปวดมาก บวมมาก ให้รีบปรึกษาแพทย์
8. กระดูกหัก
ให้วางอวัยวะส่วนนั้น ๆ บนแผ่นไม้ หรือหนังสือหนา ๆ
ใช้ผ้าพันยึดไม่ให้เคลื่อนไหว
ถ้าเป็นปลายแขน หรือมือ ให้ใช้ผ้าคล้องคอ
9. ก้างติดคอ
กลืนก้อนข้าวสุก หรือขนมปังนิ่ม ๆ
ถ้ายังไม่หลุด กลืนน้ำส้มสายชูเจือจาง เพื่อให้ก้างอ่อนลง
ถ้าไม่หลุด ควรไปพบแพทย์
10. ตะคริว
สาเหตุ  ใช้กล้ามเนื้อมัดนั้นหนักเกินไป  ความหนาวเย็น  การสูญเสียน้ำและเกลือแร่ (อาเจียน ท้องเสีย เหงื่อออก)
การปฐมพยาบาล
การยืดกล้ามเนื้อส่วนนั้นออก โดยถ้าเป็นที่มือ ให้ยืดนิ้วมือ ดัดปลายนิ้ว ถ้าเป็นที่เท้า ให้ยืดนิ้วเท้า ยืนเขย่ง
ถ้าเป็นที่ต้นขา ให้นั่งลง เหยียดเท้า กดที่หัวเข่า และช่วยนวดเท้า ถ้าเป็นที่น่อง ให้นั่งลง ยืดขา
ถ้าเป็นเพราะเสียเหงื่อ เสียน้ำ ให้ดื่มน้ำเกลือ (เกลือ 1/2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 ขวดแม่โขง)
11. เป็นลม
ห้ามคนมุงดู พาเข้าที่ร่มให้อยู่ในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก
คลายเสื้อผ้าออกให้หลวม
จัดให้นอนตะแคงหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง เพื่อป้องกันในเรื่องทางเดินหายใจอุดตัน
โดยเฉพาะลิ้นของผู้ป่วย มักจะตกไปทางด้านหลังของลำคอ ทำให้หายใจไม่ออก
ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าผาก มือ และเท้า
ถ้าอาการไม่ดีขึ้น รีบนำส่งโรงพยาบาล
12. ช็อค
สาเหตุ
จากโรคหัวใจกำเริบ เกิดการบาดเจ็บรุนแรงมาก ไฟไหม้น้ำร้อนลวก
เลือดออกมาก กระดูกหัก อาเจียน หรือท้องเสียรุนแรง
อาการ
หนาวเย็น เหงื่อออก เวียนศีรษะ หายใจเร็วขึ้น ชีพจรเร็วแต่แผ่ว กลัว กระหาย
การปฐมพยาบาล
ให้นอนราบ ถ้าเลือดออกห้ามเลือด ห่มผ้า คลายเสื้อผ้า อย่าเคลื่อนไหวผู้ป่วย ถ้าบาดเจ็บที่อก ท้อง ศีรษะ
ให้หนุนศีรษะและบ่าให้สูงกว่าลำตัวเล็กน้อย คอยปลอบใจ ถ้ากระหายน้ำมาก ให้หยดน้ำที่ริมฝีปากนิด ๆ ห้ามรับประทาน
สิ่งใด ๆ
13. อาารปวดท้องที่ควรไปพบแพทย์ทันที
ปวดท้องพร้อมอาเจียนเป็นเลือด
เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ หรือคนชรา
ปวดท้อง เพราะถูกกระแทก ทุบ ตี หรือตกจากที่สูง
ปวดนานหลายชั่วโมง
ปวดมากจนนอนไม่หลับ
14. ท้องเดิน ท้องร่วง ท้องเสีย
14.1 ในเด็กโต หรือผู้ใหญ่
งดอาหารรสจัด และย่อยยาก เลือกกินอาหารเหลว กินจนกว่าอาการจะดีขึ้น
ดื่มน้ำเกลือแร่ หรือผสมเอง (เกลือ 1/2 ช้อนชา + น้ำ 1 ขวดแม่โขง)
ดื่มน้ำชาแก่ ๆ
ถ้าถ่ายรุนแรง มีอาเจียน อ่อนเพลียมาก หน้ามืด เป็นลม และอาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง
ให้รีบไปพบแพทย์
14.2 ในเด็กเล็ก เด็กทารก
งดนม และอาหาร ประมาณ 2 - 4 ชั่วโมง ดื่มน้ำเกลือแร่
(ทารกใช้เกลือ 1/2 ช้อน + น้ำ 1 ขวดแม่โขง)
ถ้าเด็กหิวมากให้นมที่ชงจาง ๆ ทีละน้อย
ถ้าถ่ายท้องรุนแรง อาเจียน ดื่มนม หรือน้ำไม่ได้ (ซึม ตาโบ ๋ กระหม่อมบมุ๋ หายใจหอบแรง) และไม่ดีขึ้นใน
24 ชั่วโมง ให้ไปพบแพทย์โดยด่วน
15. ท้องผูก
15.1 ในเด็กโต หรือผู้ใหญ่
ดื่มน้ำมาก ๆ กินอาหารพวกผัก ผลไม้ งดชา กาแฟ และออกกำลังกาย
กินยาระบาย (ชามะขามแขก ยาระบายแมกนีเซีย)
ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง หรืออาเจียนรุนแรง ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

15.2 ในเด็กเล็ก
ดื่มน้ำมาก ๆ น้ำส้มคั้น น้ำลูกพรุนต้ม หรือเปลี่ยนนม ใช้กลีเซอรีนเหน็บก้น (ของเด็ก)
16. กินยาพิษ
16.1 ยาพิษที่มีฤทธิ์กัด
ตัวอย่างเช่น กรด ยาฆ่าเชื้อ ยาขัดพื้น น้ำยาล้างสี ผงขัดถู แชมพู แอลกอฮอล์ทาแผล ยางสน น้ำยาขัดเงา ผงและน้ำยาซักผ้า โซดาซักล้าง สีย้อมเนื้อไม้ ผงซักฟอก ยาล้างห้องน้ำ
การปฐมพยาบาล
สังเกตรอยไหม้บริเวณริมฝีปากและปาก มองหาภาชนะบรรจุยาพิษที่ตกอยู่ใกล้ผู้ป่วย และนำภาชนะบรรจุยาพิษไปโรงพยาบาลด้วย
ดื่มนมมาก ๆ (โดยให้จิบทีละน้อย เพราะนมจะช่วยทำให้พิษเจือจางลง) ถ้าหานมไม่ได้ ให้ดื่มน้ำสะอาด
ห้ามทำให้อาเจียน ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ห้ามกรอกน้ำ หรือของเหลวเข้าปากผู้ป่วย
ถ้าหยุดหายใจ ให้รีบช่วยหายใจ และเรียกรถพยาบาลทันที
16.2 ยาพิษที่ไม่มีฤทธิ์กัด
ตัวอย่างเช่น แอลกอฮอล์ (เอทธิลแอลกอฮอล์) แอสไพริน ผลไม้ป่ามีพิษ เห็ดพิษ ยาแผนปัจจุบัน
การปฐมพยาบาล
มองหาภาชนะบรรจุยาพิษที่ตกอยู่ใกล้ผู้ป่วย นำไปโรงพยาบาล
ถ้าทราบว่าเพิ่งรับประทานยาเข้าไป พยายามทำให้อาเจียน ถ้าไม่ออก
ให้ดื่มน้ำมาก ๆ พยายามล้วงคอให้อาเจียน นำเศษอาเจียนไปให้แพทย์ดูด้วย (ถ้าทำได้)
ถ้ากินยาพิษเข้าไประยะหนึ่งแล้ว อย่าทำให้อาเจียน เพราะพิษถูกดูดซึมภายหลัง
17. สำลัก หรือมีสิ่งของไปอุดหลอดลม
ทารก ให้ตบกลางหลังอย่างรวดเร็ว 4 ครั้ง ในท่าที่ศีรษะอยู่ต่ำกว่าปอด
เด็กเล็ก ให้ตบกลางหลังหนัก ๆ 4 ครั้ง ในท่าที่ศีรษะอยู่ต่ำกว่าปอด
เด็กโตและผู้ใหญ่ ให้ตบหนัก ๆ และเร็ว ๆ กลางหลัง 4 ครั้ง ในท่าที่ศีรษะ
อยู่ต่ำกว่าปอด
18. ถูกแก๊สพิษ
ตัวอย่างเช่น คาร์บอนมอนนอกไซด์ จะมีอาการปวดศีรษะ สับสน หายใจลำบาก อาจจะหมดสติ ผิวหน้าจะ
เปลี่ยนเป็นสีแดง ถ้าในขณะที่ได้รับแก๊สเพิ่มขึ้น
วิธีปฐมพยาบาล
ให้ได้อากาศบริสุทธิ์เร็วและมากที่สุด(อาจจะเปิด หรือทุบกระจกประตูหน้าต่าง)
คลายเสื้อผ้าให้หลวม ปฐมพยาบาลเหมือนคนช็อค (ห่มผ้าให้อบอุ่น)
ถ้าหยุดหายใจ ให้รีบช่วยหายใจ
ดูการหายใจและจับชีพจรอย่างใกล้ชิด
เรียกรถพยาบาลทันที
19. บาดเจ็บที่ตา
หากกรดหรือด่างเข้าตา อย่าขยี้ตา ให้ล้างด้วยน้ำสะอาดมาก ๆ แล้วรีบพาไปพบแพทย์
หากถูกของแหลมทิ่ม ให้นอนหลับตา ปิดตาด้วยผ้ากอซ หรือผ้าเช็ดหน้า
อย่าขยับสายตาไปมา แล้วรีบพาไปพบแพทย์ทันที
หากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตาขาว ขยี้ตาเบา ๆ กระพริบตา ล้างตา หรือเงยสายตาขึ้นด้านบน
แล้วใช้มุมผ้าเช็ดหน้าเขี่ยผงออก ถ้าเขี่ยไม่ออกให้รีบพาไปพบแพทย์
ถ้าถูกกระแทกที่ดวงตา ให้ประคบด้วยความเย็นทันที แล้วรีบพาไปพบแพทย์
20. โดนพิษสัตว์ทะเล
20.1 โดนเงี่ยงปลาที่มีพิษ
แช่น้ำร้อนพอทน (40 องศาเซลเซียส หรือ 104 องศาฟาเรนไฮต์) นาน 4-5 นาที จะช่วยให้หายปวด
20.2 โดนแมงกระพรุนไฟ
ใช้ทราย หรือผักบุ้งทะเลถูเมือกออก
ล้างด้วยน้ำสบ ู่
ทาด้วยน้ำปูนใส แอมโมเนีย เพรดนิโซโลนครีม หรือเบตาเมทธาโซนครีม

21. ลมพิษ

สาเหตุ
โดนสารที่แพ้ พืช สารเคมี แพ้อาหารทะเล เหล้า เบียร์ ละอองต่าง ๆ
การปฐมพยาบาล
ทายาแก้ผดผื่นคัน คาลาไมน์ เพรดนิโซโลนครีม หรือเบตาเมทธาโซนครีม
กินยาแก้แพ้ คลอเฟนนิรามีน ขนาด 4 มิลลิกรัม 1 เม็ด
หาสาเหตุที่แพ้
ถ้าผื่นไม่ยุบลง และเพิ่มมากขึ้นให้รีบไปพบแพทย์
22. สัตว์กัด
22.1 สุนัขกัด
ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด ปิดด้วยผ้ากอซสะอาด
ถ้าเลือดออก ห้ามเลือดทันท ี(ด้วยผ้ากอซ หรือบีบแผล)
รีบไปพบแพทย์ เพื่อฉีดวัคซีน
22.2 งูกัด
ดูรอยแผล ถ้าเป็นงูมีพิษ จะมีรอยเขี้ยว
ใช้เชือก หรือยาง หรือเข็มขัดรัดเหนือแผลให้แน่นพอควร
ให้นอนนิ่ง ๆ คอยปลอบใจ
ห้ามดื่มสุรา ยาดองเหล้า ยากล่อมประสาท
ถ้าหยุดหายใจให้ช่วยหายใจทันที
ควรนำงูไปพบแพทย์ด้วย ถ้าทำได้
22.3 ทากดูดเลือด
ห้ามดึง เพราะเลือดจะหยุดยาก
จี้ทากด้วยบุหรี่ติดไฟ หรือไม้ขีดไฟให้ทากหลุด
ล้างแผลให้สะอาด ใส่ทิงเจอร์แผลสด หรือเบตาดีน
22.4 แมลงต่อย
ถ้าถูกต่อยหลายตัว หรือต่อยบริเวณหน้า ให้รีบไปพบแพทย์
พยายามถอนเหล็กใน (โดยใช้หลอดกาแฟเล็ก ๆ แข็ง ๆ หรือปากกาครอบแล้วกดให้เหล็กในโผล่ แล้วดึงเหล็กในออก)
ใช้ยาแก้แพ้ทา หรือราดด้วยน้ำโซดา หรือประคบด้วยน้ำแข็ง (ปกติอาการบวมจะลดลงใน 1 วัน ถ้าไม่ลดให้พบแพทย์)
ถ้ามีอาการปวด กินยาแก้ปวด (พาราเซตามอล)
22.5 อาการแพ้พิษแมลงที่ต้องไปพบแพทย์ทันที
ช็อค เวียนศีรษะ ตัวซีด เหงื่อออก อาเจียน หายใจลำบาก ผื่นขึ้นที่ตา ตาบวม
23. ของเข้ารูจมูก
บีบจมูกข้างที่ไม่มีของ แล้วสั่งออกมาแรง ๆ
อย่าพยายามแคะออก
ถ้าเป็นเด็กให้หันเหความสนใจจากจมูก ให้หายใจทางปาก แล้วรีบไปพบแพทย์ทันที
24. ของเข้าหู
ตะแคงศีรษะ หันหูข้างที่มีของเข้าไปลง เพื่อให้ของหล่นออกมาเอง
ถ้าไม่ออก ห้ามแคะหู ให้รีบไปพบแพทย์
25. แมลงเข้าหู
พาไปหาที่มืด ใช้ไฟฉายส่อง (ให้แมลงออกมาตามแสง) หรือ หยอดด้วยน้ำมัน หรือกลีเซอรีนบอแรกซ์ ให้แมลงลอยออกมา แล้วจึงเขึ่ย หรือคีบออก
ถ้าไม่ออกให้รีบไปพบแพทย์ทันที
26. คันในหู (เพราะเป็นเชื้อรา)
ใช้ไม้พันสำลีชุบทิงเจอร์แผลสด ทาในรูหูวันละ 2-3 ครั้ง

27. หูอื้อ

กรณีเป็นหูน้ำหนวกอยู่ให้รีบรักษาให้หาย
กรณีหูอื้อไม่ทราบสาเหตุ อาจจะมาจากการมีขี้หูมาก ขี้หูเหนียว ให้ไปพบแพทย์ เพื่อดึงขี้หู หรือดูดขี้หูออก
28. หอบ - หืด
ให้ผู้ป่วยนั่ง หรือยืนในท่าเอนตัวไปข้างหน้า ให้หลังและหน้าอกตรง  คลายเสื้อผ้าให้อากาศบริสุทธิ์ผ่านเข้าห้อง ปลอบมิให้ตกใจ วิตก กังวล
ถ้าเป็นครั้งแรกรีบไปพบแพทย์ทันที
กรณีผู้ป่วยพ่นยา หรือกินยาประจำ ให้รีบใช้ยาทันที
29. ไฟฟ้าช็อต
หากพบผู้ถูกกระแสไฟฟ้าดูดให้ตัดการจ่ายไฟ เช่น คัทเอ้าท ์หรือ เต้าเสียบ ถ้าไม่สามารถปิดสวิตซ์ไฟได้ ห้ามใช้มือจับต้องคนที่กำลังถูกไฟช็อต แล้วใช้สิ่งที่ไม่นำไฟฟ้า เช่น ไม้กวาด เก้าอี้ไม้ เขี่ยออกจากสายไฟ หรือเขี่ยสายไฟออกจากตัวผู้บาดเจ็บ
เมื่อตัวผู้บาดเจ็บหลุดออกมาแล้ว รีบปฐมพยาบาล ถ้าหยุดหายใจ ให้ทำการเป่าปากช่วยหายใจ ถ้าคลำชีพจรไม่ได้ ให้นวดหัวใจ แล้วรีบนำไปโรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลขั้นต้นเมื่อผู้บาดเจ็บจากการถูกไฟฟ้าช็อตหยุดหายใจ
1. วางผู้ป่วยให้นอนหงาย แล้วช้อนคอผู้ป่วยให้แหงนขึ้น
2. ตรวจดูว่ามีสิ่งอุดตันในช่องปากหรือไม ห่ ากพบให้นำออกและช่วยเป่าปากโดยใช้นิ้วง้างปากและบีบจมูกของผู้ป่วย
3. ประกบปากของผู้ป่วยให้สนิท เป่าลมเข้าแรงๆ โดยเป่าปากประมาณ 12-15 ครั้ง/นาที สังเกต การขยายของหน้าอก
หากเป่าปากไม่ได้ให้เป่าจมูกแทน
4. หากหัวใจหยุดเต้น ต้องนวดหัวใจโดยวางผู้ป่วยนอนราบแล้วเอามือกดเหนือลิ้นปี่ให้ถูกตำแหนง่(ดังรูป)กดลงไปเป็น
จังหวะเท่ากับการเต้นของหัวใจ(ผู้ใหญ่ประมาณนาทีละ 60 ครั้ง เด็กประมาณ 80 ครั้ง)
5. ฟังการเต้นของหัวใจสลับกับการกดทุกๆ 10-15 ครั้ง
6. ถ้าหยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้นให้เป่าปาก 2 ครั้ง นวดหัวใจ 15 ครั้งสลับกัน และถ้ามีผู้ช่วยเหลือ 2 คน ต้อง
สลับกันเป่าปาก 1 ครั้ง นวดหัวใจ 5 ครั้ง
การปฐมพยาบาลต้องทำทันทีที่ช่วยเหลือผู้ป่วยออกมา และควรนำส่งโรงพยาบาล ขณะนำส่งจะต้องทำการปฐมพยาบาลตามขั้นตอนดังกล่าวตลอด
การปฏิบัติสำหรับกรณีฉุกเฉิน
1. ตั้งสติให้ได้ อย่าตกใจ
2. ขอความช่วยเหลือจาก

สายด่วนฮอทไลน์ ศูนย์สื่อสารสาธารณสุข "นเรนทร" 1669 หรือ 0-2951- 0282
เหตุด่วนเหตุร้าย 191 หรือ 0-2246-1338-42
เพลิงไหม้ 199 หรือ 0-2246-0199
จส.100 0-2711-9150 หรือ 0-2711-9151-8
สวพ.91 1644 หรือ 0-2562-0033-5 หรือ 0-2941-0848
ร่วมด้วยช่วยกัน 1677 หรือ 0-2644-6996
กู้ภัยป่อเต๊กตึ๊ง 0-2226-4444-8
กู้ภัยร่วมกตัญญู 0-2751-0951-3
หน่วยแพทย์กู้ชีวิตวชิรพยาบาล 1554


อัพเดทล่าสุด