บทความเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน 2558 เปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียน
ประโยชน์ที่ไทยได้รับคืออะไร
1.ประชากรเพิ่มเป็น 600 ล้านคนโดยประมาณ ทำให้เพิ่มศักยภาพในการบริโภค เพิ่มอำนาจการต่อรองในระดับโลก
2.Economy Scale ยิ่งผลิตมาก ยิ่งต้นทุนต่ำ
3.มีแรงดึงดูดเงินลงทุนที่อยู่นอกอาเซียนสูงขึ้น
4.สิบเสียงย่อมดังกว่าเสียงเดียว
ผลกระทบมีอะไรบ้าง?
1.การศึกษาในภาพใหญ่ของโลก มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ต้องไม่ให้การเปลี่ยนแปลงนี้มากระชากลากเราไปอย่างทุลักทุเล เราต้องเตรียมความพร้อมทันที ตลอดเวลา โดยเฉพาะบุคลากรต้องตามให้ทันและยืดหยุ่นปรับตัวให้รับสถานะการณ์ได้
2.ภาษาอังกฤษจะเป็นภาษากลางของ ASEAN บุคลากรและนักศึกษา ต้องเพิ่มทักษะทางด้านภาษาอังกฤษ ให้สามารถสื่อสารได้
3.ปรับปรุงความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ เพื่อลดข้อขัดแย้งในภูมิภาคอาเซียน (Conflict Management) จึงต้องคำนึงถึงการสร้างบัณฑิตให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่อง ASEAN ให้มากขึ้น
4.สร้างบัณฑิตให้สามารถแข่งขันได้ใน ASEAN เพิ่มโอกาสในการทำงาน ไม่เช่นนั้น จะถูกแย่งงานเพราะเกิดการเคลื่อนย้ายแรงงาน/บริการอย่างเสรี คณะกรรมการวิชาชีพ สภาวิชาชีพ ต้องเตรียมการรองรับผลกระทบนี้อย่างเร่งด่วน
5.โอกาสในการเป็น Education Hub โดยอาศัยความได้เปรียบในเชิงภูมิศาสตร์ของประเทศไทย แต่ต้องเน้นในเรื่องของคุณภาพการศึกษาเป็นตัวนำ
6.เราต้องการเครื่องมือในการ Transform คน การเรียนแบบ PBL หรือ Project Based Learning น่าจะได้มีการวิจัยอย่างจริงจังและนำมาปรับใช้  ห้องเรียนไม่ใช่แค่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆอีกต่อไป ต้องเพิ่มการเรียนจากชีวิตจริง ลงมือทำเป็นทีม อยู่คนละประเทศก็ทำร่วมกันได้ด้วยไม่มีข้อจำกัดทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร ประเด็นนี้ อาจารย์จะสอนได้ยากขึ้น แต่เป็นผู้ที่ช่วยให้นักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้ แสดงว่า อาจารย์ต้องมีความพร้อมมากกว่าเดิมและเก่งจริงๆMRAs
การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 9 เมื่อ 7 ตุลาคม 2546 ที่บาหลี อินโดนีเซีย ได้กำหนดจัดทำข้อตกลงร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangements : MRAs)เกี่ยวกับคุณสมบัติของวิชาชีพหลัก แรงงานเชี่ยวชาญ หรือผู้มีความสามารถพิเศษ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี โดยจะเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2558 ในเบื้องต้น ได้ทำข้อตกลงร่วมกันแล้ว 7 สาขา คือ
1.วิศวกรรม (Engineering Services) 
2.พยาบาล (Nursing Services) 
3.สถาปัตยกรรม (Architectural Services) 
4.การสำรวจ (Surveying Qualifications) 
5.แพทย์ (Medical Practitioners) 
6.ทันตแพทย์ (Dental Practitioners) 
7.บัญชี (Accountancy Services)
----
อาเซียน   จัดเป็นกลุ่มความร่วมมือของประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เก่าแก่กลุ่ม หนึ่งในเอเชีย มีอายุเกือบ 40 ปี  ฝากชื่อเสียงและผลงานความสำเร็จอย่างสูงในยุคสงคราม อินโดจีน  ด้วยการรวมพลังกันคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งภายในภูมิภาคและนำความสงบร่มเย็น มาสู่ดินแดนเอเชียอาคเนย์จนกระทั่งทุกวันนี้  ส่วนบทบาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียนเริ่มฉายแววรุ่งโรจน์ในปี 2535  ด้วยการประกาศจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA)  โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันที่จะขจัดอุปสรรคทางการค้าภายในกลุ่มให้หมดสิ้น ทั้งด้านภาษีและไม่ใช่ภาษีภายในปี 2553-2558   ขณะนี้กลุ่มอาเซียนได้บรรลุเป้าหมาย AFTA ในระดับหนึ่งแล้ว  โดยสินค้าเกือบทั้งหมด (99.6%) ของประเทศสมาชิกเดิม 6 ประเทศ  มีอัตราภาษีศุลกากรลดลงเป็นลำดับ ปัจจุบันอยู่ในระดับเฉลี่ยประมาณ 2.39%  ส่งผลให้การค้าขายภายในกลุ่มเฟื่องฟู โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย  อาเซียนก้าวเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยนับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา 
ท่ามกลางการแข่งขันทางเศรษฐกิจอย่างมากในเวทีโลก  กระตุ้นให้กลุ่มอาเซียนต้องเร่งกระชับความร่วมมือให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้น  ในที่สุดผู้นำอาเซียนออกแถลงการณ์ Bali Accord II ณ เกาะบาหลี  ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ประกาศจัดตั้ง  “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี 2563  (ค.ศ.2020)  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนที่ได้ ดำเนินการอยู่แล้วให้ลึกและกว้างขึ้น ซึ่งจะดำเนินการไปพร้อมๆ  กับเป้าหมายอีก 2 ด้าน ได้แก่ การเป็นประชาคมแห่งความมั่นคง (ASEAN  Security Community : ASC) และประชาคมทางสังคมและวัฒนธรรม (ASEAN  Socio-Cultural Community : ASCC)  เพื่อมุ่งหวังให้อาเซียนเป็นประชาคมเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบทั้งด้าน เศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งสอดคล้องกับ  “วิสัยทัศน์ของอาเซียนปี ค.ศ. 2020” (ASEAN Vision 2020)  ที่ผู้นำอาเซียนได้ประกาศจุดยืนร่วมกันในการผลักดันให้อาเซียนเป็นหุ้นส่วน ในการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง (Partnership in Dynamic Development) ภายในปี  ค.ศ.2020 
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นเป้าหมายล่าสุดทางเศรษฐกิจที่  ทำให้อาเซียนมีตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน  โดยจะเปิดเสรีทั้งการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน  และแรงงานที่มีทักษะ รวมทั้งมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เสรีขึ้น  นับว่าเป็นรูปแบบของการรวมกลุ่มเศรษฐกิจทางภูมิภาค (Regional Economic  Integration) ที่ก้าวหน้ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย อย่างไรก็ตาม  การรวมกลุ่มในลักษณะประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนยังไม่ได้ก้าวไปถึงขั้นการเป็น สหภาพทางเศรษฐกิจ (Economic Union) ดังเช่นสหภาพยุโรป (European Union :  EU) ซึ่งมีการใช้เงินสกุลเดียวกัน ควบคู่กับการเปิดเสรีการค้า การบริการ  การลงทุน และการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิต  พร้อมทั้งปรับนโยบายเศรษฐกิจการเงินและการคลังของประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป ให้ประสานสอดคล้องกันด้วย 
การดำเนินการเพื่อไปสู่เป้าหมาย AEC  
การก้าวไปสู่การเป็น AEC ตามมติของผู้นำอาเซียน  ดำเนินการโดยเสริมสร้างความร่วมมือของอาเซียนที่มีอยู่เดิม  และริเริ่มการดำเนินการใหม่เพื่อกระชับความร่วมมือให้แข็งแกร่งขึ้น  นับตั้งแต่จัดตั้งอาเซียนในปี 2510  อาเซียนได้ดำเนินการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่างๆ เรื่อยมา  ได้แก่ การจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA)  เขตการลงทุนของอาเซียน (ASEAN Investment Area : AIA)  การเปิดเสรีการค้าบริการตามกรอบความตกลงเปิดเสรีด้านการค้าบริการของอาเซียน  (ASEAN Framework Agreement on Trade in Services : AFAS)  รวมทั้งความร่วมมือด้านอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว   
ขณะนี้  อาเซียนเห็นพ้องกันในการเร่งรัดการเปิดเสรีสินค้าและบริการที่สำคัญ 11 สาขา  เป็นสาขานำร่อง และกำหนดประเทศสมาชิกที่รับผิดชอบในแต่ละสาขา ได้แก่  การท่องเที่ยวและการบิน ไทยรับผิดชอบ สินค้าเกษตรและสินค้าประมง (พม่า)  ยานยนต์และผลิตภัณฑ์ไม้ (อินโดนีเซีย) ผลิตภัณฑ์ยางและสิ่งทอ (มาเลเซีย)  อิเล็กทรอนิกส์ (ฟิลิปปินส์) เทคโนโลยีสารสนเทศ ผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ  (สิงคโปร์) โดยดำเนินการ ดังนี้  
* จัดทำร่างความตกลงการรวมกลุ่มเศรษฐกิจอาเซียนสำหรับ 11 สาขา นำร่อง  (ASEAN Framework Agreement for the Integration of Priority Sectors)  ประกอบด้วยประเด็นเรื่องการเปิดเสรี การอำนวยความสะดวก  การส่งเสริมการค้าและการลงทุน และความร่วมมืออื่นๆ  
* เจรจาจัดทำ Roadmaps สำหรับ 11 สาขานำร่อง จำแนกเป็น 
- ด้านสินค้า 9 สาขา ได้แก่ สินค้าเกษตร สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์ไม้  ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งทอ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศ  และผลิตภัณฑ์สุขภาพ มีมาตรการหลักในการเปิดเสรี  และอำนวยความสะดวกทางการค้าด้านต่างๆ ได้แก่ การลดภาษี   มาตรการที่มิใช่ภาษี  กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า พิธีการทางศุลกากร  มาตรฐานและความ     สอดคล้อง และการเคลื่อนย้ายของนักธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญ  ผู้ประกอบวิชาชีพ และแรงงานที่มีฝีมือ  ทั้งนี้สมาชิกอาเซียนตกลงที่จะเร่งรัดการลดภาษีสินค้านำร่องเหลือ 0%  ให้เร็วขึ้น 3 ปี เป็นปี 2007 จากกรอบ AFTA เดิมที่ภาษีจะเป็น 0% ในปี 2010  สำหรับประเทศอาเซียนเดิม 6 ประเทศ และเร็วขึ้น 3 ปี เป็นปี 2012  จากกำหนดเดิมปี 2015 สำหรับประเทศสมาชิกใหม่ 4 ประเทศ  
-  ด้านบริการ 2 สาขา ได้แก่ สาขาท่องเที่ยว และการบิน  ซึ่งไทยเป็นประเทศผู้รับผิดชอบหลัก สำหรับด้านท่องเที่ยว  ให้เร่งปรับประสานกฎระเบียบในการออกวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะ เดินทางมาอาเซียน และยกเว้นวีซ่าสำหรับคนอาเซียนที่เดินทางภายในอาเซียน  สนับสนุนการการเผยแพร่ข้อมูลด้านการลงทุนด้านท่องเที่ยวของอาเซียนทางอิน เทอร์เน็ต ส่งเสริมการบำรุงรักษาแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม  และจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือของสถาบันทางวิชาการและหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องเพื่อสนับสนุนการวิจัยเชิงลึกด้านท่องเที่ยว  ส่วนด้านการบิน  อยู่ระหว่างการจัดทำแผนปฏิบัติการเปิดเสรีการบริการด้านการขนส่งทางอากาศของ อาเซียน  นอกจากนี้ ไทย สิงคโปร์ และบรูไนฯ  ได้นำร่องนโยบายเปิดน่านฟ้าเสรีในอาเซียน  โดยเปิดเสรีเที่ยวบินขนส่งเฉพาะสินค้า (Cargo Open Skies Agreement)  ทำให้การขนส่งสินค้าทางอากาศระหว่างกันสะดวกรวดเร็วขึ้น  
อาเซียนจะเสนอร่างความตกลงการรวมกลุ่มเศรษฐกิจอาเซียน และ Roadmap  สำหรับ 11 สาขานำร่อง ต่อผู้นำอาเซียนในเดือนพฤศจิกายน 2547 ณ ประเทศลาว  เพื่อเป็นแผนงานการดำเนินการของอาเซียนต่อไป 
ไทย & AEC : ผลดีและข้อควรระวัง 
ผลดี 
การจัดตั้ง AEC เป็นการผนึกกำลังร่วมกันของภูมิภาค  และเป็นรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่สำคัญซึ่งอาเซียนจะได้ประโยชน์จากขนาดของตลาด  และฐานการผลิตร่วมกัน (Economy of Scale)  เพราะอาเซียนเป็นตลาดใหญ่มีประชากรประมาณ 520 ล้านคน  ผลิตภัณฑ์-มวลรวมภายในประเทศ (GDP) รวมกัน 10 ประเทศ ราว 700,000  ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยังเป็นการสร้างอำนาจต่อรองทางการค้าในเวทีการค้าโลก   นอกจากนี้ การจัดตั้ง AEC ทำให้อาเซียนเป็นที่สนใจของประเทศต่างๆ  ซึ่งต้องการเข้ามาร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น   ขณะนี้อาเซียนกำลังดำเนินการสร้างพันธมิตรนอกภูมิภาค  โดยขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียนหลายประเทศ  ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 
สำหรับไทย การจัดตั้ง AEC จะเป็นผลดีต่อไทย  เพราะอาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีความใกล้ชิดกับไทยมากที่สุด  ประกอบกับที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของไทยเอื้ออำนวยให้ไทยเป็นศูนย์กลางทาง เศรษฐกิจของภูมิภาค  และที่ผ่านมาอาเซียนมีความสำคัญทางเศรษฐกิจกับไทยทั้งด้านการค้า การลงทุน  และการท่องเที่ยว และมีแนวโน้มที่จะทวี     บทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ  สรุปได้ดังนี้  
- การค้า -  การเปิดเสรีทางการค้าระหว่างสมาชิกอาเซียนส่งผลให้อาเซียนเป็นตลาดส่งออก อันดับ 1 ของไทยนับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ในช่วง 5  เดือนแรกของปี 2547 การค้ารวมระหว่างไทย-อาเซียนขยายตัวถึง 30.85%  เป็นมูลค่า 14,451.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 19.21%  ของการค้าไทยทั้งหมดกับโลก  นับว่าอาเซียนเป็นคู่ค้าของไทยที่มีมูลค่าการค้าสูงที่สุด  ขณะเดียวกันอาเซียนเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 2 ของไทย  นับตั้งแต่ปี 2540  ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน รองจากญี่ปุ่นที่ไทยนำเข้าเป็นอันดับ 1  สำหรับดุลการค้าระหว่างไทย-อาเซียน  ไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ากับอาเซียนนับตั้งแต่ปี 2536 ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน  
ปัจจัยสนับสนุนการส่งออกของไทยไปอาเซียน ได้แก่ การลดภาษีตามพันธกรณี  AFTA ที่ทำให้อัตราภาษีเหลือต่ำมากเกือบเป็น 0%  ทำให้สินค้าส่งออกของไทยมี      ศักยภาพในตลาดอาเซียนมากขึ้น สามารถแข่งขันกับสินค้าจากนอกอาเซียนได้  เนื่องจากราคา    ต่ำลง นอกจากนี้  การมุ่งขจัดอุปสรรคทางการค้าจากมาตรการที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers :  NTBs) ของอาเซียน ทำให้สินค้าไทยส่งออกไปในอาเซียนได้สะดวก  ไม่ประสบปัญหาจาก NTBs ดังเช่นที่มักพบในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ  และสหภาพยุโรป นอกจากนี้  การส่งออกของไทยได้รับอานิสงส์จากการที่เศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนขยายตัวดี ขึ้น โดยช่วงครึ่งแรกของปี 2547 การเติบโตของ GDP  ของอาเซียนโดยรวมเพิ่มขึ้น 5.9%  นับว่าเป็นภูมิภาคที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา 
- การลงทุน - การลงทุนโดยตรง (FDI) จากประเทศอาเซียนในไทยมีความสำคัญ  โดยมีสัดส่วนเกือบ 20% ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด การลงทุนของประเทศ     อาเซียนในไทยที่ขออนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน  (BOI) ในเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2547 ที่สำคัญ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย  และฟิลิปปินส์ โดยสิงคโปร์ได้ยื่นขออนุมัติโครงการรวมมูลค่า 9,623 ล้านบาท   มาเลเซีย 8,413 ล้านบาท และฟิลิปปินส์ 2,039 ล้านบาท  ดังนั้นการเร่งรัดการเปิดเสรีด้านการลงทุนของ AEC  จะขจัดอุปสรรคด้านการลงทุนในภูมิภาคช่วยดึงดูดนักลงทุนทั้งในและนอกอาเซียน เข้ามาในภูมิภาคมากขึ้น  รวมทั้งเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนแข่งกับประเทศนอกภูมิภาค เช่น จีน  และอินเดีย ซึ่งขณะนี้มีโดดเด่นทางเศรษฐกิจมากขึ้น 
- การท่องเที่ยว –  นักท่องเที่ยวจากอาเซียนที่เดินทางมาไทยเมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยว ต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางมาไทยสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 23.62% ในปี 2543 เป็น  26.33% ในปี 2546   ชาวมาเลเซียเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยมากที่สุดมีสัดส่วนถึง 13.29%  และนักท่องเที่ยวจากสิงคโปร์คิดเป็นสัดส่วน 6.29%  เทียบกับนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น ได้แก่      สหภาพยุโรปที่มีสัดส่วน  22.65% สหรัฐฯ (4.65%) เอเชียใต้ (3.88%)  ออสเตรเลีย (2.82%) ตะวันออกกลาง  (2.05%) และแอฟริกา (0.67%) ดังนั้น  การยกเว้นวีซ่าสำหรับคนอาเซียนที่เดินทางท่องเที่ยวในอาเซียน  และประสานความร่วมมือในการ  ออกวีซ่าของอาเซียนสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในอาเซียน  คาดว่าจะทำให้การเดินทางท่องเที่ยวภายใน     อาเซียนสะดวกขึ้น  และจะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากประเทศอาเซียนและนอกอาเซียนเดินทางมาไทยมาก ขึ้นด้วย 
ข้อควรระวัง 
การก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2563 ซึ่งเป็นเป้าหมาย  ท้าทายของอาเซียน เหลือเวลาอีกเพียง 16 ปี  จึงจำเป็นต้องมีแนวทางการดำเนินการที่มีประสิทธิ-ภาพ  รวมทั้งความตั้งใจจริงของทุกประเทศร่วมกัน  ขณะเดียวกันจากระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอาเซียนยังมีความแตกต่างกัน มาก โดยเฉพาะประเทศสมาชิกใหม่อาเซียน - กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม –  จึงควรมีมาตรการลดช่องว่างความแตกต่างของระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ  และมีความจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือประเทศเหล่านี้ในการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อ ให้สามารถเข้าสู่กระบวนการเปิดเสรีตามพันธกรณีต่างๆ  ของอาเซียนให้ได้โดยเร็ว  และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในที่สุด 
ปูมหลังความร่วมมือทางเศรษฐกิจอาเซียน 
นับตั้งแต่อาเซียนได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2510  ได้พัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องทั้งด้านสินค้า  บริการ  การลงทุน อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว   มีประเด็นที่น่าสนใจสรุปได้ดังนี้ 
- เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) – การจัดตั้ง  AFTA ในปี 2535 มุ่งขจัดอุปสรรคทางการค้าทั้งด้านภาษีและที่มิใช่ภาษี  (Non-Tariff Barrier : NTBs) เพื่อส่งเสริมการค้าภายในกลุ่มอาเซียน  (Intra-ASEAN Trade) จากตัวเลขการค้าภายในกลุ่มอาเซียนในปีก่อนเริ่มจัดตั้ง  AFTA จนถึงปัจจุบันนี้ เห็นได้ชัดว่า Intra-ASEAN Trade  ขยายตัวขึ้นอย่างมาก สัดส่วนของ Intra-ASEAN Trade  เทียบกับมูลค่าการค้าทั้งหมดของ      อาเซียน เพิ่มขึ้นจาก 19.3% ในปี 2536  เป็น 22.6% ในปี 2545 โดยมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 82,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  ในปี 2536 เป็น 159,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2545 และอัตราการ      เติบโตเฉลี่ยของ Intra-ASEAN Trade ในช่วง 2536-2545 คิดเป็น 9.4% ต่อปี  ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของการค้าอาเซียนกับนอกภูมิภาค    อาเซียน  ซึ่งอยู่ในระดับ 7.6% ต่อปี ดังนั้น      ผลของ AFTA  ทำให้เกิดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ (Regional Economic Integration) ของ       อาเซียนที่แน่นแฟ้นขึ้น  
ขณะนี้อาเซียนได้บรรลุเป้าหมายการลดภาษีภายใต้ AFTA  โดยปัจจุบันภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าเกือบทั้งหมด (99.6%)  ของประเทศสมาชิกอาเซียนเดิม 6 ประเทศ อยู่ในระดับเฉลี่ย 2.39%  และอาเซียนจะก้าวไปสู่การเป็นเขตการค้าเสรีอย่างสมบูรณ์แบบ คือ  ภาษีศุลกากรของทุกรายการสินค้าจะทยอยลดลงเหลือ 0%  ในปี 2553-2558    
- เขตการลงทุนอาเซียน (ASEAN Investment Area : AIA) -  อาเซียนเริ่มดำเนินการเขตการลงทุนของอาเซียนภายใต้กรอบความตกลง AIA ในปี  2541 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของอาเซียน  สร้างบรรยากาศการลงทุนที่เสรี และมีความโปร่งใสมากขึ้น  รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนทั้งในอาเซียนและดึงดูดการลงทุนจากนอกอาเซียน  โดยมีโครงการความร่วมมือด้านการลงทุน  และให้การปฏิบัติที่เท่าเทียมกับคนในชาติ (National Treatment) ซึ่งมี     เป้าหมายที่จะเปิดเสรีการลงทุนในอุตสาหกรรมทั้งหมดแก่นักลงทุนในอาเซียนภาย ในปี 2553 และนักลงทุนทั่วไปในปี 2563  ต่อมาได้เร่งรัดให้กำหนดเวลาการเปิดเสรีด้านการลงทุนแก่นักลงทุนทั่วไปเร็ว ขึ้น 10 ปีจากเดิมปี 2563 เป็นปี 2553  เท่ากับกำหนดเวลาการเปิดเสรีให้นักลงทุนในอาเซียน  ส่วนประเทศสมาชิกใหม่สามารถยืดหยุ่นได้จนถึงปี 2558   
ปี 2546 อาเซียนตกลงขยายขอบเขตของ AIA  ครอบคลุมการเปิดเสรีการลงทุนด้านการผลิต เกษตรกรรม ป่าไม้ ประมง  และเหมืองแร่ รวมทั้งบริการที่เกี่ยวเนื่องกับสาขาเหล่านี้  อย่างกว้างขวางขึ้น  และเร่งรัดการเปิดเสรีการลงทุนในสาขาที่จัดอยู่ในบัญชีอ่อนไหว (sensitive  list)  
- การเปิดเสรีการค้าบริการ -  อาเซียนได้เริ่มเปิดเสรีการค้าบริการภายใต้กรอบความตกลง AFAS ในปี 2539  โดยดำเนินการเจรจาเปิดตลาดการค้าบริการเป็นรอบๆ ละ 3 ปี  เพื่อมุ่งขจัดอุปสรรค/ข้อจำกัดด้านการค้าบริการภายในอาเซียน  และปรับปรุงให้การให้บริการของอาเซียนมีประสิทธิภาพและมีขีดความสามารถทาง การแข่งขัน  การเจรจา 2 รอบที่ผ่านมา (ปี 2539-2544) เน้น 7 สาขาบริการ  ได้แก่ การเงิน (การธนาคาร ประกันภัย ธุรกิจเงินทุน เครดิตฟองซิเอร์  และธุรกิจหลักทรัพย์) การขนส่งทางทะเล การขนส่งทางอากาศการสื่อสารโทรคมนาคม  การท่องเที่ยว ก่อสร้าง และบริการธุรกิจ (เน้นบริการวิชาชีพ) 
ขณะนี้การเจรจาเปิดตลาดการค้าบริการอยู่ในรอบที่ 3 เริ่มตั้งแต่ 1  มกราคม 2545 – 31 ธันวาคม 2547 โดยการเจรจาครอบคลุมบริการทุกสาขา  และอาเซียนต้องการให้เปิดเสรีการค้าบริการให้ได้อย่างสมบูรณ์ก่อนปี 2563   ซึ่งเป็นเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ตามวิสัยทัศน์ของอาเซียนปี 2563 (ASEAN  Vision 2020) จึงเร่งรัดการเปิดตลาดในแนวทางใหม่  คือนอกเหนือจากการเปิดตลาดร่วมกันทั้ง 10 ประเทศแล้ว  ยังเปิดตลาดให้แก่กันและกันตาม   หลักการ ASEAN-X ด้วย คือ  ประเทศสมาชิกตั้งแต่ 2 ประเทศขึ้นไปสามารถเปิดตลาดระหว่างกันมากขึ้นได้  โดยไม่ต้องขยายผลการเปิดตลาดให้สมาชิกอื่นที่ไม่ได้เข้าร่วมการเจรจาโดยวิธี ดังกล่าว   
การเจรจาเปิดตลาดการค้าบริการในรอบปัจจุบันนี้จะต้องสรุปผลภายในปี 2547  ขณะนี้อาเซียน 10  ประเทศอยู่ระหว่างการพิจารณาเปิดตลาดให้แก่กันมากขึ้นในลักษณะของการให้ บริการข้ามพรมแดน การอนุญาตให้จัดตั้งธุรกิจ  และให้บุคลากรจากประเทศอาเซียนอื่นเข้ามาทำงานได้ในสาขาต่างๆ ได้แก่  บริการวิชาชีพ (ด้านบัญชี ภาษีอากร วิศวกรรม สถาปัตยกรรม)  บริการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  โทรคมนาคมบางประเภทการก่อสร้าง การท่องเที่ยว  (สำนักงานตัวแทนท่องเที่ยว และสวนสนุก) การขนส่งสินค้าและผู้โดยสารทางทะเล  เป็นต้น   
นอกจากนี้ อาเซียนได้ตกลงที่จะจัดทำข้อตกลงยอมรับคุณสมบัติร่วมกัน  (Mutual Recognition Agreements : MRAs) ของสาขาวิชาชีพ  เพื่ออำนวยความสะดวกในการขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ  ทำให้บุคลากรผู้ให้บริการที่เป็นนักวิชาชีพ  และแรงงานที่มีฝีมือสามารถไปทำงานในประเทศสมาชิกอื่นๆ ได้สะดวกขึ้น  โดยกำหนดเป้าหมายการจัดทำ MRA ในสาขาวิศวกรรม  และสาขาสถาปัตยกรรมให้เสร็จภายในปี 2547 เป็นลำดับแรก  ก่อนที่จะดำเนินการในสาขาอื่นต่อไป ได้แก่ บัญชี  และบุคลากรในธุรกิจท่องเที่ยว  
- ความร่วมมือด้านการเงิน – ในปี 2546 อาเซียนได้จัดทำ Roadmap เพื่อ     ส่งเสริมความร่วมมือด้านการเงิน ซึ่งครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ (1)  การพัฒนาตลาดทุน  (2) การเปิดเสรีบริการทางการเงิน  (3)  การเปิดเสรีบัญชีทุน (capital account) และ (4)  ความร่วมมือเกี่ยวกับเงินสกุลอาเซียน  การดำเนินการเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนการค้าและการลงทุนของ            อาเซียนต่อไป 
- ความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น 
 +ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมภายใต้ ASEAN Industrial Cooperation Scheme (AICO)   
 +ความร่วมมือด้านขนส่ง ได้แก่ การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าผ่านแดน ข้ามแดน และการขนส่งหลายรูปแบบ  
 +ความร่วมมือด้านการจัดทำโครงข่ายเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซของอาเซียน (Trans-ASEAN Gas Pipeline Network) 
สรุป 
การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่กระชับมากขึ้นเพื่อการเป็น AEC  ทำให้เศรษฐกิจของอาเซียนมีความเกี่ยวเนื่องและเชื่อมโยงกันมากขึ้น  ในด้านหนึ่งคือการเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมเดียวกัน  แต่ขณะเดียวกันสมาชิกอาเซียนก็จะต้องแข่งขันกันเองเพื่อดึงดูดการค้า  การลงทุน และการท่องเที่ยว ดังนั้น การบรรเทาความขัดแย้งใน 2  ส่วนนี้จะต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  สำหรับประเทศไทย  ต้องแข่งขันทางเศรษฐกิจกับประเทศในอาเซียน  การพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันจึงเป็นสิ่งสำคัญ จากการสำรวจของ  International Management Development (IMD) ในปี 2547  พบว่าอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยอยู่อันดับที่ 29 จากทั้งหมด 60  ประเทศ ซึ่งเป็นอันดับที่ดีขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่ปี 2544 อย่างไรก็ตาม  หากเทียบกับประเทศในอาเซียน ไทยยังอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่า  สิงคโปร์และมาเลเซีย โดย IMD เห็นว่าไทยควรพัฒนาด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ  เช่น กฎหมายที่ส่งเสริมการแข่งขัน การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน  และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม เช่น  อัตราการเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษา และอัตราส่วนครูต่อนักเรียน   
นอกจากนี้ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เห็นว่า  การที่ไทยมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาคในหลายๆ ด้าน  เช่น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวแห่งเอเชีย (Tourism Capital of Asia)  และศูนย์กลางการบริการด้านสุขภาพ เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติ  จะต้องเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะสิงคโปร์  มาเลเซีย และฮ่องกง  ซึ่งมีแผนดึงดูดนักท่องเที่ยวเช่นกันเพื่อนำรายได้เข้าประเทศ ดังนั้น  ภายใต้กระแสการเปิดเสรีของโลกที่เข้มข้นและสภาพทางธุรกิจที่แข่งขันรุนแรงใน ปัจจุบันนี้ ไทยควรพัฒนาขีดความสามารถทั้งด้านการค้า บริการและการลงทุน  โดยส่งเสริมการพัฒนาด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D)  ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนาทักษะและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ  ซึ่งจะส่งเสริมการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม  
สำหรับด้านการตลาด  ควรพัฒนาให้แบรนด์ของไทยเป็นแบรนด์ของภูมิภาคและของโลก (Regional and  Global Brands) ส่วนภาคเกษตรกรรมควรพัฒนาระบบการจัดการฟาร์มสมัยใหม่  พัฒนาพันธุ์ใหม่ๆ และพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน  เพื่อพัฒนาศักยภาพทางการแข่งขันของไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่า  นอกจากไทยต้องแข่งขันกับประเทศอาเซียนแล้ว ยังจะต้องแข่งขันกับประเทศอื่นๆ  ในภูมิภาคเอเชีย และจะต้องเตรียมพร้อมต่อการแข่งขันจากการเปิดเสรี FTA  ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ของภาครัฐในการจัดทำ FTA สองฝ่ายกับประเทศต่างๆ 8 ประเทศ   ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น จีน สหรัฐฯ อินเดีย บาร์เรน เปรู  และกลุ่มเศรษฐกิจ BIMST-EC (บังคลาเทศ อินเดีย พม่า ศรีลังกา ไทย ภูฎาน  และเนปาล)
https://www.positioningmag.com/prnews/prnews.aspx?id=23505