ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเบาหวาน กินอย่างไรให้ไกลโรคเบาหวาน การดูแลรักษาโรคเบาหวาน MUSLIMTHAIPOST

 

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเบาหวาน กินอย่างไรให้ไกลโรคเบาหวาน การดูแลรักษาโรคเบาหวาน


668 ผู้ชม


ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเบาหวาน กินอย่างไรให้ไกลโรคเบาหวาน การดูแลรักษาโรคเบาหวาน

 
เบาหวานคืออะไร

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเบาหวาน กินอย่างไรให้ไกลโรคเบาหวาน การดูแลรักษาโรคเบาหวาน


                เบาหวาน คือโรคหรือความผิดปกติที่มีลักษณะพิเศษคือ มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง คำว่าเบาหวาน มาจากคำสองคำคือ “เบา” แปลว่าปัสสาวะ และคำว่า ”หวาน”  ซึ่งหมายถึงมีรสหวานหรือมีน้ำตาลในปัสสาวะนั่นเอง ซึ่งเป็นอาการสำคัญของผู้ป่วยโรคนี้  เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจนไตไม่สามารถเก็บกักน้ำตาลไว้ได้  น้ำตาลส่วนเกินก็จะออกมากับปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะมีรสหวาน มีมดมาตอมได้


 
รู้ได้อย่างไรว่าเป็นเบาหวาน

               ส่วนใหญ่รู้เมื่อมีอาการจากการที่มีน้ำตาลในเลือดขึ้นสูง  ได้แก่อาการคอแห้ง หิวน้ำบ่อย  ปัสสาวะบ่อย และปัสสาวะเป็นจำนวนมาก หิวบ่อย ทานจุ แต่น้ำหนักลดลงเรื่อยๆ อ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรง เป็นต้น  บางคนอาจไม่มีอาการดังกล่าวหรือมีอาการไม่มาก ไม่ชัดเจน แต่จะมาพบแพทย์ด้วยอาการของภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน  เช่น ตามัว มองเห็นไม่ชัดเนื่องจากมีต้อกระจกหรือจอประสาทตาเสื่อม เท้าชา ไม่รู้สึก หรือมีอาการปวดแสบร้อนที่เท้า เป็นแผลที่เท้าเรื้อรังไม่หาย หรือนิ้วเท้าดำเนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง หรือมีอาการของโรคไตวาย  เช่น บวม ซีด ปัสสาวะเป็นฟอง เป็นต้น  อาการของโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เหล่านี้จะปรากฏเมื่อเป็นโรคเบาหวานมานานหรือมีระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงมาก  คนที่เริ่มเป็นเบาหวานใหม่ๆ มักจะไม่มีอาการ  แต่ไม่ควรรอจนเป็นมากค่อยมาตรวจและเริ่มการรักษา  เพราะภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานส่วนใหญ่ถ้าเป็นมากแล้วจะรักษาไม่หาย  ดังนั้นคนที่สงสัยว่าจะเป็นเบาหวานหรือมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานควรได้รับการตรวจว่าเป็นเบาหวานหรือไม่เสียแต่เนิ่นๆ


ความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน

                ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเบาหวาน  พบว่าคนบางคนเท่านั้นที่มีโอกาสเป็นโรคเบาหวาน  ซึ่งได้แก่คนที่มีความเสี่ยงหลายๆ อย่าง ได้แก่ คนที่อ้วนหรือลงพุง คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน เช่นพ่อ แม่ หรือพี่น้องเป็นเบาหวาน  คนที่เคยเป็นเบาหวานตอนตั้งครรภ์ คนที่ได้รับยาบางชนิดเช่น สเตียรอยด์ คนที่เป็นโรคของตับอ่อนหรือแม้กระทั่งคนที่สูงอายุก็มีโอกาสเป็นเบาหวานได้  เป็นต้น 


การวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน
                การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นการวินิจฉัยโรคที่ดีที่สุด  การตรวจวัดน้ำตาลในปัสสาวะมักจะสายเกินไป  การตรวจวัดน้ำตาลในเลือดทำได้สองวิธีคือ  ตรวจโดยการเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำบริเวณข้อพับแขนหรือโดยการตรวจจากปลายนิ้วมือ  ในคนที่ไม่มีอาการชัดเจนควรตรวจขณะที่อดอาหารในช่วงตอนเช้า  โดยงดน้ำและอาหารเป็นเวลา 8 ชั่วโมง  ในคนที่มีอาการชัดเจนอาจตรวจเลือดโดยไม่ต้องอดอาหารก็ได้  ระดับน้ำตาลในเลือดของคนปกติที่ไม่เป็นเบาหวานในช่วงขณะอดอาหารจะอยู่ระหว่าง 70-100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร  ถ้าหากตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารได้ตั้งแต่ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป แสดงว่าเป็นโรคเบาหวาน ในกรณีที่ไม่แน่ใจแนะนำให้ตรวจซ้ำอีกครั้ง แต่ถ้าตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดได้น้อยกว่า 126 แต่มากกว่า 100 มิลลิกรัมขึ้นไปถือว่าผิดปกติ  อาจมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานต่อไปในกาลข้างหน้า  ควรพบแพทย์เพื่อตรวจติดตามต่อไป


ชนิดของโรคเบาหวาน

                เบาหวานมีหลายชนิดไม่เหมือนกันโดยทีเดียว  เบาหวานที่มักเป็นกันในผู้ใหญ่ คนสูงอายุ มักเป็นเบาหวานชนิดที่สอง ซึ่งสาเหตุเกิดจากตับอ่อนสร้างฮอร์โมนที่ชื่อว่าอินซูลินไม่เพียงพอ  และมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน อินซูลินเป็นตัวสำคัญในการช่วยให้น้ำตาลเข้าไปในเซลล์เนื้อเยื่อร่างกายใช้เป็นพลังงานได้  ถ้าหากอินซูลินไม่พอหรือมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน  น้ำตาลก็จะไม่สามารถเข้าไปในเนื้อเยื่อได้ คั่งค้างสะสมอยู่ในเลือดทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้  เบาหวานชนิดนี้มักเกิดกับคนที่อ้วน หรือมีอายุมาก  ส่วนเบาหวานชนิดที่หนึ่งนั้นมักเกิดในเด็กและวัยรุ่น  มีความรุนแรงมากกว่า เพราะว่าเกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เลย  ร่างกายแทบไม่มีอินซูลินเหลืออยู่  ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก ต้องรักษาด้วยการฉีดยาอินซูลินเท่านั้น  เบาหวานชนิดที่สามเกิดจากโรคทางกรรมพันธุ์เช่นมีอาการหูหนวก หรือมีภาวะอ้วนผิดปกติ  เบาหวานชนิดนี้พบได้น้อย  ส่วนชนิดสุดท้ายคือเบาหวานที่พบตอนขณะที่ตั้งครรภ์  เบาหวานชนิดนี้มักหายไปหลังจากคลอดบุตร


แหล่งที่มา : vcharkarn.com

อัพเดทล่าสุด