https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
เทคนิคสังเกตความถนัดลูก ลูกเก่งด้านไหน MUSLIMTHAIPOST

 

เทคนิคสังเกตความถนัดลูก ลูกเก่งด้านไหน


1,567 ผู้ชม


เทคนิคสังเกตความถนัดลูก ลูกเก่งด้านไหน

เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนที่มีลูกตัวน้อยๆ ให้ดูแล นอกจากความตั้งใจเลี้ยงดูให้ลูกเติบโตขึ้นมาด้วยความ แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว สิ่งหนึ่งที่พ่อแม่หวังไว้ในใจลึกๆ กันทุกคนคืออยากเห็นลูกเติบโตขึ้นมาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหรืออาชีพของตัวเอง แต่กว่าจะถึงวันนั้นสิ่งที่จะทำให้ลูกๆ ได้คือการวางรากฐาน และคอยเป็นผู้ช่วยให้เขาค้นหาความชอบ ความถนัดของตัวเองให้ได้เร็วที่สุด

พ่อแม่หลายคนจึงคอยสังเกตว่าลูกๆ ชอบทำอะไร เก่งด้านไหน เพื่อจะได้ส่งเสริมลูกๆ ความถนัดของลูกๆ ได้ตั้งแต่เล็กๆ แต่ทราบไหมคะว่าวิธีการสังเกตความถนัด หรือแววอัจฉริยะของลูกทำได้อย่างไรบ้าง

      • สังเกตความถนัดของลูกจากผลการเรียนวิชาต่างๆ วิธีนี้เป็นวิธีง่ายๆ ที่จะรู้ว่าลูกชอบหรือถนัดวิชาอะไร ด้านไหนเป็นพิเศษ ถ้าลูกทำคะแนนได้ดีในวิชานั้นๆ แต่ทั้งนี้ผลการเรียนอาจจะยังไม่ระบุได้ชัดเจน โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆ ที่มักได้คะแนนแต่ละวิชาใกล้เคียงกัน สำคัญที่สุดคือพ่อแม่ต้องเอาใจใส่ คอยพูดคุยสอบถาม หรือสังเกตเวลาลูกทำการบ้าน ทำแบบฝึกหัดต่างๆ โดยถ้าเป็นวิชาที่ชอบลูกมักจะเลือกมาทำก่อน หรือมักจะไม่อิดออดที่จะต้องทำ
      • กระตุ้น ส่งเสริมให้ลูกดึงความถนัดของลูกออกมา เด็กๆ หลายคนที่ไม่ค้นพบว่าตัวเองถนัดเรื่องอะไรเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะไม่ได้รับการกระตุ้น หรือเรียนรู้ เช่นจริงๆ แล้วลูกอาจจะชอบดนตรี แต่พ่อแม่ไม่เคยส่งเสริมเรื่องดนตรีเลย ไม่มีของเล่นเกี่ยวกับเสียงเพลง หรือไม่ได้ให้ลูกได้ลองเรียนดนตรี ก็ทำให้ความสนใจเรื่องดนตรีของลูกไม่มี ดังนั้นก่อนจะเรียนรู้ว่าลูกชอบสนใจเรื่องไหน พ่อแม่ต้องเปิดใจ ส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ ให้ครบ ครอบคลุมทุกด้านให้มากที่สุด
      • พาลูกไปทดสอบความถนัดด้วยผู้เชี่ยวชาญ เป็นวิธีหนึ่งที่เห็นผลได้ชัดเจนแต่ว่าอาจจะเป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมีสถาบันที่มีพ่อแม่สามารถพาลูกไปสมัครทดสอบความถนัด หรือแววอัจฉริยะของลูกได้ โดยที่สถาบันวัดความถนัดเหล่านี้จะมีวิธีการหรือทดสอบเด็กๆ จากการเล่น หรือทำกิจกรรม ไม่ใช่การทำข้อสอบวัดคะแนน แต่จะใช้ผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์จากกิจกรรม พฤติกรรม และพอจะบอกได้ว่าเด็กถนัดในด้านไหน เพราะเด็กบางคนที่พ่อแม่คิดว่าถนัดคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เพราะเรียนได้ดี คะแนนสูง แต่หลังผ่านการทดสอบแล้วกลับพบว่าเด็กถนัดในด้านศิลปะมากกว่า แต่ที่ทำคะแนนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ได้ดีเพราะความคาดหวังของพ่อแม่ ซึ่งการค้นพบความถนัดของลูกอย่างแท้จริง จะช่วยให้พ่อแม่ส่งเสริมลูกได้อย่างถูกต้องและลูกมีความสุขอย่างแท้จริง ซึ่งสุดท้ายเมื่อลูกมีความสุขก็อาจจะทำให้เขาเรียนรู้ได้ดีในทุกๆ ด้านเลยก็ได้


เตรียมพร้อมและส่งเสริมให้ลูกไปถึงฝั่งฝัน อย่างมีความสุข

ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะพอมองเห็น หรืออาจจะยังไม่เห็นทิศทาง ว่าจะผลักดันลูกไปในทางไหนดี แต่สิ่งสำคัญคือการเตรียมรากฐานให้เขาพร้อมที่สุดสำหรับการศึกษาในอนาคตของลูก ซึ่งก็คือ

      • ตั้งเป้าหมายให้ลูกแต่ไม่กดดัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการคาดหวังกับลูกสามารถทำได้ แต่ไม่ควรกดดัน ควรตั้งเป้าหมายกับลูกเป็นระยะ และให้มีความเหมาะสมกับลูก เช่น ถ้าเรียนดนตรี อาจจะให้ลูกเล่นเพลงได้กี่เพลง หรือมีเป้าหมายกับผลการเรียนว่าคะแนนเทอมนี้ควรดีขึ้น แต่ถ้าหากลูกยังทำไม่ได้ตามเป้าหมายก็ควรใช้ความเข้าใจ เป็นที่ปรึกษาด้วยความเข้าใจ พูดคุยกับลูกเพื่อหาสาเหตุที่ลูกทำไม่ได้ ไม่ควรใช้อารมณ์หรือแสดงความผิดหวังกับลูกจนทำให้ลูกรู้สึกเครียด
      • เลือกโรงเรียนที่เหมาะกับลูก โรงเรียนเป็นรากฐานสำคัญของเด็ก การเลือกโรงเรียนให้ลูกคือการเลือกแนวทางให้เขาเติบโต เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยกล่อมเกลาว่าเขาจะโตขึ้นมาแบบไหน ปัจจุบันโรงเรียนมีหลายแนวทาง เช่น โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนทางเลือก โรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนเอกชน ฯลฯ (ขอเพิ่มวิธีการสังเกตลูกช่วงก่อนเข้าเรียนอีกนิดนึงค่ะ ว่าพฤติกรรมแบบไหน เหมาะที่จะให้เข้าโรงเรียนแบบไหน)
      • วางแผนการเงินเพื่อการศึกษาลูก ดูแลเรื่องทุนการศึกษาของลูกได้จนจบ เพื่อเป็นหลักประกันอนาคตการศึกษาให้กับลูก เพราะหากเกิดเหตุไม่คาดฝันกับพ่อแม่ ลูกก็ยังสามารถเรียนต่อได้จนจบได้โดยไม่สะดุด ควรเตรียมวางแผนการเงินเพื่อการศึกษาลูกให้พร้อม
              1. เลือกทำประกันชีวิตที่ได้รับเงินคืนในช่วงวัยการศึกษาเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับลูก เมื่อเข้าเรียนประถม ขึ้นมัธยม และก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัย โดยควรเริ่มทำตั้งแต่ลูกยังอายุน้อยๆ
              2. เลือกประกันที่คุ้มครองทั้งคุณพ่อ และคุณแม่ หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน หรือเจ็บป่วยโรคร้ายแรงตลอดระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย
              3. เลือกประกันที่ได้รับเงินคืนเมื่อลูกเรียนจบ เพื่อเป็นทุนเริ่มต้นชีวิตให้กับลูก

การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นหลักประกันอนาคตที่ดีให้กับลูกๆ ได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นหน้าที่พ่อแม่ที่จะเตรียมความพร้อมและช่วยลูกๆ ไปให้ถึงฝั่งฝัน เพราะการได้เห็นลูกๆ เติบโตขึ้นและใช้ชีวิตมีความสุขประสบความสำเร็จ คงเป็นสิ่งเดียวที่พ่อแม่ต้องการมากที่สุดแล้วค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก ทีเอ็มบี ประกันอุ่นใจเพื่อการศึกษาลูก

ที่มาและภาพประกอบ: มัมมี่พิเดีย

อัพเดทล่าสุด