โรคเริมที่อวัยเพศชาย โรคเริม การรักษา การรักษาโรคเริมให้หายขาด MUSLIMTHAIPOST

 

โรคเริมที่อวัยเพศชาย โรคเริม การรักษา การรักษาโรคเริมให้หายขาด


5,220 ผู้ชม


โรคเริมที่อวัยเพศชาย โรคเริม การรักษา การรักษาโรคเริมให้หายขาด

 

 

เริมที่อวัยวะเพศ (Genital herpes)

โรคเริมที่อวัยเพศชาย โรคเริม การรักษา การรักษาโรคเริมให้หายขาด

เริมที่อวัยวะเพศคืออะไร?

โรคเริมที่เกิดบริเวณอวัยวะเพศ (Genital herpes) ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยโรคนี้เกิดจากติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Herpes simplex viruses type 1 (HSV-1 หรือ เอชเอสวี-1) หรือ Herpes simplex viruses type 2 (HSV-2 หรือ เอชเอสวี-2) แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เริมที่อวัยวะเพศจะเกิดจาก HSV-2 มากกว่า ส่วนการติดเชื้อ HSV-1 มักจะทำให้เกิดตุ่มน้ำใส หรือแผลที่บริเวณปาก หรือริมฝีปากมากกว่า หรือเริมที่ปากนั่นเอง

ในผู้ที่ติดเชื้อเริมส่วนใหญ่ อาจไม่มีอาการผิดปกติ หรือมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ในกรณีที่มีอาการ สิ่งที่จะสังเกตได้ คือ การมีตุ่มน้ำใสเกิดขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ หรือบริเวณทวารหนัก โดยอาจเกิดขึ้นอย่างน้อยหนึ่งตุ่ม หรือมากกว่า และเมื่อตุ่มน้ำแตกก็จะเกิดเป็นแผลขึ้น อาการดังกล่าวมักจะเกิดร่วมกับอาการปวดแสบปวดร้อน ในกรณีที่เป็นโรคนี้ครั้งแรก อาการดังกล่าวอาจคงอยู่ได้นานถึง 2-4 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาจมีอาการปรากฏขึ้นอีกครั้งในระยะเวลาหลายสัปดาห์ หรือในหลายเดือนต่อมา แต่อาการที่ปรากฏในระยะหลังๆนี้จะมีความรุนแรงน้อยกว่า และหายเร็วกว่าที่เคยแสดงอาการในครั้งแรก

เชื้อไวรัสที่ก่อเริมนี้ จะคงอยู่ในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อไปตลอด ถึงแม้จะไม่มีอาการใดๆเกิดขึ้นเลยก็ตาม อย่างไรก็ดี ความถี่ของการแสดงอาการของโรคจะน้อยลงเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไปหลายๆปี

เริมที่อวัยวะเพศพบได้บ่อยหรือไม่?

เริมที่อวัยวะเพศ พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในสหรัฐอเมริกา มีผู้คาดการณ์ว่า ในผู้หญิงอายุ 14-49 ปี จำนวน 5 คนจะมีผู้ที่เป็นเริม 1 คน ส่วนผู้ชายอายุ 14-49 ปี จำนวน 9 คนจะมีผู้ที่เป็นเริม 1 คน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผู้หญิงติดโรคเริมจากผู้ชายที่เป็นเริมอยู่แล้วได้ง่ายกว่า ส่วนผู้ชายนั้นติดโรคเริมจากผู้หญิงที่เป็นเริมได้เช่นกัน แต่จะติดยากกว่าในกรณีแรก

เราติดโรคเริมที่อวัยวะเพศได้อย่างไร?

ที่ตุ่มน้ำและแผลของโรคเริม จะมีเชื้อไวรัส HSV-1 และ HSV-2 อยู่ และในบางครั้ง อาจตรวจพบเชื้อในบริเวณผิวหนังที่ไม่มีแผลอีกด้วย การติดเชื้อเริม HSV-2 โดยทั่วไปเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นเริมบริเวณอวัยวะเพศ การติดต่อนี้เกิดขึ้นได้ทั้งขณะที่ผู้เป็นเริมมีตุ่มน้ำ หรือมีแผลปรากฏให้เห็นที่อวัยวะเพศหรือไม่มีก็ได้

การติดเชื้อ HSV-1 ส่วนใหญ่มักจะทำให้เกิดแผล หรือตุ่มน้ำใสที่บริเวณปาก หรือริมฝีปากมากกว่าที่บริเวณอวัยวะเพศ อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อเริมชนิด HSV-1 สามารถเกิดที่อวัยวะเพศได้ โดยติดต่อขณะที่มีเพศสัมพันธ์ตามปกติหรือการใช้ปากที่เป็นโรคสัมผัสกับอวัยวะเพศ

อาการของเริมที่อวัยวะเพศเป็นอย่างไร?

ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัส HSV-2 ไม่มีโอกาสที่จะรู้ว่าตนเองติดโรคเริม จนกว่าจะมีอาการของโรคแสดงให้เห็น โดยทั่วไปอาการมักปรากฏภายหลังได้รับ เชื้อประมาณสองสัปดาห์ (ระยะฟักตัวของโรค) ในผู้ที่ติดโรคเริมที่อวัยวะเพศและเกิดอาการครั้งแรก อาการที่ปรากฏมักเกิดขึ้นอย่างชัดเจนและรุนแรง และรอยโรคที่พบ จะปรากฏอยู่นาน 2-4 สัปดาห์ โดยจะพบตุ่มน้ำใส และแผลเจ็บ ที่บริเวณอวัยวะเพศ นอกจากนี้ ผู้ติดโรคบางรายอาจมีไข้ และมีต่อมน้ำเหลืองโตได้ โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบ อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อไวรัส HSV-2 ส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยจนกระทั่งในบางครั้งอาจไม่รู้ว่าตนเองเป็นโรค และในบางครั้งอาจเข้าใจผิดว่ารอยโรคที่เกิดขึ้น เกิดจากถูกแมลงกัดต่อย หรือเป็นโรคผิวหนังอื่นๆ

ในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเริมครั้งแรก จะมีการกลับเป็นซ้ำของโรคอีกหลายๆครั้ง โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 4-5 ครั้งต่อปี และความถี่ของการเกิดเป็นซ้ำจะลดลงเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากเริมที่อวัยวะเพศมีอะไรบ้าง?

ในมารดาที่ตั้งครรภ์ การติดเชื้อเริมครั้งแรก สามารถทำให้ทารกในครรภ์เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ หากมีรอยโรคของเริมที่อวัยวะเพศเกิดขึ้นขณะเจ็บครรภ์คลอด ควรคลอดบุตรโดยการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องเพื่อป้องกันการติดเชื้อไปสู่ทารก จากทารกสัมผัสเชื้อขณะคลอดผ่านอวัยวะเพศของมารดา อย่างไรก็ตาม ยังโชคดีที่ว่าการติดเชื้อไปสู่ทารกเกิดขึ้นค่อนข้างน้อย

ในผู้ที่เป็นโรคเอดส์ การที่มีรอยโรคของเริม อันได้แก่ ตุ่ม หรือแผล จะส่งเสริมให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อเอดส์ได้ง่ายขึ้น ทำให้คู่นอนเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ได้ง่ายขึ้น และในผู้ที่เป็นโรคเอดส์ ก็จะติดเชื้อเริมได้ง่ายเนื่องจากมีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง และหากติดเชื้อเริมแล้ว ก็มักจะมีอาการของเริมเกิดขึ้นอย่างรุนแรง

แพทย์วินิจฉัยเริมที่อวัยวะเพศอย่างไร?

อาการของการติดเชื้อ HSV-2 จะค่อนข้างแปรผันได้มากในแต่ละบุคคล ในบางครั้งแพทย์อาจวินิจฉัยโรคได้ง่ายจากการตรวจดูด้วยตาเปล่า โดยเฉพาะในกรณีรอยโรคที่พบค่อนข้างชัดเจน แต่ในบางครั้ง แพทย์อาจต้องทำการตรวจเพิ่มเติมโดยการเก็บตัวอย่างจากรอยโรคที่พบ และส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ส่วนการตรวจโรคโดยการตรวจเลือดของผู้ที่สงสัย เพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันต้านทานต่อเชื้อเริมมักไม่เป็นที่นิยมใช้ในการช่วยวินิจฉัยโรค ทั้งนี้เนื่องจากผลการตรวจอาจไม่ชัดเจน แต่ในบางครั้งก็สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคสำหรับผู้ป่วยบางรายได้

เริมที่อวัยวะเพศมีวิธีรักษาอย่างไร?

โรคเริมนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การใช้ยาต้านไวรัส สามารถช่วยลดระยะเวลาที่เป็นโรคให้สั้นเข้า และยังช่วยยืดระยะเวลาในการกลับเป็นซ้ำให้ห่างออกได้อีกด้วย โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังใช้ยา นอกจากนี้ การใช้ยาต้านไวรัสทุกวันขณะยังมีแผลเริม ยังช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อเริมไปสู่คู่นอนได้อีกด้วย

การดูแลตนเองเมื่อเป็นเริมที่อวัยวะเพศทำได้อย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

ในขณะที่มีตุ่มน้ำใส หรือแผลบริเวณอวัยวะเพศ และไม่แน่ใจว่าเป็นเริมที่อวัยวะเพศหรือไม่ หรือ เมื่อสงสัยเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม ควรรีบพบแพทย์เสมอ (เพราะโรคเหล่านี้ ไม่สามารถรักษาให้หายด้วยตนเองได้ ถึงแม้อาการจะดีขึ้นก็ตาม มักกลายเป็นโรคเรื้อรังโดยไม่รู้ตัวเสมอ) หลังจากนั้นควรใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด

การดูแลตนเองขณะที่มีตุ่ม หรือมีแผลบริเวณอวัยวะเพศ ทำได้ดังนี้

  • ควรทำความสะอาดวันละ 2 ครั้ง โดยใช้สบู่อ่อนๆและน้ำสะอาดล้างเบาๆโดยไม่ต้องขัด หรือฟอก หลังจากนั้นซับให้แห้ง อาจทายาขี้ผึ้งปฏิชีวนะ (ยาปฏิชีวนะ) เฉพาะที่ตรงบริเวณรอยโรค เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
  • ควรใส่ชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย เพราะระบายอากาศได้ดีกว่า จึงช่วยลดการอับชื้น
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ ระหว่างมีตุ่ม หรือ แผลเริม และอย่างน้อยสองสัปดาห์หลังจากที่แผลเริมหายดีแล้ว
  • หากมีอาการปวดแสบปวดร้อนที่บริเวณรอยโรค อาจรับประทานยาแก้ปวด อะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) หรือที่เรารู้จักกันว่า ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อบรรเทาอาการปวดที่เกิดขึ้น

เริมที่อวัยวะเพศมีวิธีป้องกันอย่างไร?

การมีเพศสัมพันธ์ เป็นช่องทางสำคัญในการติดโรคเริมที่อวัยวะเพศ ดังนั้นในผู้ที่ไม่มีเพศสัมพันธ์จึงไม่มีโอกาสติดโรคเริมที่อวัยวะเพศเลย

การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนคนเดียว ก็เป็นหนทางหนึ่งในการลดโอกาสในการติดเชื้อเริมที่อวัยวะเพศ

การใช้ถุงยางอนามัย ก็สามารถช่วยลดโอกาสการติดเชื้อเริมได้ อย่างไรก็ตาม การสัมผัสบริเวณที่มีรอยโรค มีตุ่มน้ำหรือแผลที่เกิดจากเริม โดยเฉพาะตำแหน่งที่ถุงยางอนามัยไม่ได้ครอบคลุม ก็อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อได้

ในผู้ที่เป็นเริม ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่กำลังมีรอยโรคเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้บางครั้งจะไม่มีรอยโรคเกิดขึ้นในผู้ที่ติดเชื้อเริม การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงดังกล่าว ก็อาจก่อการติดโรคไปยังคู่นอนได้ ดังนั้นคู่นอนของผู้ที่เป็นโรคเริม ควรป้องกันโดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้เพื่อช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อลงได้บ้าง ถึงแม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม

บรรณานุกรม

  1. Centers for Disease Control and Prevention. Sexually Transmitted Diseases Treatment Guidelines 2006. MMWR 2006; 55 (no. RR-11).
  2. Corey L, Wald A. Genital herpes. In: Holmes KK, Sparling PF, Mardh P et al (eds). Sexually Transmitted Disease, 3rd Edition. New York: McGraw-Hill, 1999, p. 285-312.
  3. Corey L, Wald A, Patel R et al. Once-daily valacyclovir to reduce the risk of transmission of genital herpes. New England Journal of Medicine 2004; 350:11-20.
  4. Wald A, Langenberg AGM, Link K, et al. Effect of condoms on reducing the transmission of herpes simplex virus type 2 from men to women. JAMA 2001;285: 3100-3106.
  5. Wald A, Link K. Risk of human immunodeficiency virus infection in herpes simplex virus infection in herpes simplex virus type 2 – seropositive persons: A meta-analysis. J Infect Dis 2002; 185: 45-52.
  6. Weinstock H, Berman S, Cates W. Sexually transmitted diseases among American youth: Incidence and prevalence estimates, 2000. Perspectives on Sexual and Reproductive Health 2004; 36:6-10.
  7. Xu F, Sternberg M, Kottiri B, McQuillan G, Lee F, Nahmias A, Berman S, Markowitz L. National trends in herpes simplex virus type 1 and type 2 in the United States: Data from the National Health and Nutrition Examination Survey (NHANES). JAMA 2006; Vol 296: 964-973.

รศ. พญ. วรลักษณ์ สมบูรณ์พร
สูตินรีแพทย์


แหล่งที่มา : haamor.com

อัพเดทล่าสุด