บันได 9 ขั้น พิชิตชีวิตแห่งงาน


1,152 ผู้ชม


บันได 9 ขั้น พิชิตชีวิตแห่งงาน




ในยุคสมัยนี้ การหางานทำ หรือการเปลี่ยนงาน เป็นสิ่งที่ทำได้ลำบาก เพราะขณะที่เศรษฐกิจยังไม่พื้นตัวนั้น ผู้ที่มีงานทำอยู่แล้ว ก็ต้องการย้ายงาน เพื่อเพิ่มรายได้ ให้เพียงพอกับรายจ่ายที่ต้องแบกในแต่ละเดือน ขณะเดียวกัน ผู้ที่สำเร็จการศึกษา ก็เพิ่มขึ้นมาทุกปี ทำให้งานที่มีอย่างจำกัด มีผู้แข่งขันมากยิ่งขึ้น


      แล้วเราจะทำอย่างไร ให้ได้งานทำที่เหมาะสม เป็นไปดังฝัน (บางคนขอแค่มีงานทำก็เพียงพอแล้ว) การเตรียมตัวที่ดี ย่อมทำให้ได้เปรียบกว่าผู้ที่เตรียมตัวไม่เพียงพอ เพราะคำว่า โอกาสและจังหวะ มันไม่ผ่านเข้ามาในชีวิตคนเราบ่อยครั้ง ดังนั้น เราจึงต้องพยายามเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง ด้วยการเตรียมตัวที่ดี และคว้าให้ทันเมื่อจังหวะมาถึง ด้วยการเตรียมตัวที่ดีเช่นกัน


      1. ถามผู้มีประสบการณ์ : คำว่าผู้มีประสบการณ์ ตีความได้กว้าง เพราะรวมรุ่นพี่ รุ่นพ่อ รุ่นน้า รุ่นยาย และผู้ที่สามารถจะแนะนำในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อเราได้ ทั้งการเตรียมตัว ตำแหน่งงานที่ว่าง หรือแม้กระทั่ง งานในฝัน ที่ความจริงแล้ว คุณก็ยังหามันไม่เจอซักที 


      ขอให้กล้าหาญและยอมรับกับความเจ็บปวดในคำตอบ ที่อาจจะไม่เป็นไปตามสิ่งที่คุณคิด แต่มันอาจจะเป็นประโยชน์ต่อคุณในอนาคตได้ แม้การเตรียมตัวขั้นที่ 1 นี้ จะค่อนข้างเป็นนามธรรม แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ใครที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีหน่อย จะได้เปรียบในข้อนี้ไป(www.ask.com, www.about.com, www.whatis.com)


      2. สร้างเรซูเมให้สมบูรณ์ : ไม่ว่า จะเป็นผู้จบใหม่ หรือ มีงานทำแล้ว ก็ควรมีเรซูเม ด้วยกันทั้งนั้น เพราะมันคือ สิ่งที่จะบอกให้ผู้จ้างงานทราบว่า เรามีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่ ถ้าเป็นผู้จบใหม่ ก็นำประสบการณ์ จากการเรียนมาเขียน ทั้งกิจกรรม และผลงานที่มี แต่ถ้ามีงานทำแล้ว ก็ให้ลดผลงานช่วงเรียนลง ให้เหลือแต่ประสบการณ์ทำงานจริงๆ และปรับปรุงเรซูเมให้ทันสมัย อยู่เสมอ


      ศาสตร์ในการเขียนเรซูเมก็สำคัญ การเขียนให้สะอาด ให้ชัดเจนและน่าสนใจ ไม่ใช่ของง่าย ซึ่งหลายๆคน ต้องเขียนหลายๆครั้ง จนได้เรซูเมที่สวยงามในที่สุด แต่ก่อนที่จะสวยงาม ถ้าคุณไม่เริ่มเขียน แล้วเมื่อไหร่จะสมบูรณ์ ถ้าไม่กล้าถามบุคคลในข้อ 1 หนังสือหนังหา และแหล่งความรู้มีอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะในอินเทอร์เน็ต(www.resume.com, www.provenresumes.com ) ไปหามาศึกษาได้ (www.taos.com/working/tips.html)


      3. ส่งเรซูเม : ถ้าคุณต้องการหางาน แล้วไม่ส่งเรซูเมไปซะที แล้วเมื่อไหร่ จะได้งาน จริงมั้ย โดยก็ดูจากหนังสือพิมพ์ หน้าประกาศรับสมัครงาน กรมการจัดหางาน บริษัทล่าค่าหัว(www.HeadHunter.net)ต่างๆ หรือถ้าจะให้ดี ดูทันสมัย ก็สมัครงานผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีมากมายทั้งในบ้านเรา และต่างประเทศ


      โดยเฉพาะในอินเทอร์เน็ตนั้น(www.careerbuilder.com, www.flipdog.com,www.nationejobs.com, www.jobsdb.com,www.jobpilot.co.th) มีความพิเศษอย่างยิ่งตรงที่ คุณสามารถค้นหางานได้รวดเร็ว เหมาะสมกับคุณสมบัติ และเลือกงานได้มากยิ่งขึ้น เพราะเวบไซต์ที่มีบริการให้เราไปสมัคร(มีทั้งฟรีและไม่ฟรี) พร้อมกับกรอกรายละเอียด และเรซูเมทิ้งไว้(www.webdeveloper.com) จากนั้น ก็เข้าโปรแกรมค้นหางานตามที่เราตั้งขอบเขตไว้ จากนั้น เราก็เลือกตำแหน่งที่ต้องการ แล้วสมัครงานผ่านเวบไซต์นั้นโดยตรง


      หรือ อาจเข้าไปที่เวบไซต์เป้าหมายได้โดยตรง ซึ่งปัจจุบัน บริษัทส่วนใหญ่ มักจะมีหน้าประการรับสมัครงาน(Career, Oppotunities) ของตนเองอยู่เสมอ ซึ่งหากเราสนใจตำแหน่งไหน ก็สมัครได้ทันที รวดเร็วและประหยัด


      4. ขัดเกลาจดหมายปะหน้า : โดยส่วนใหญ่ เมื่อมีต้องการสมัครงาน ต้องมีจดหมายปะหน้า หรือจดหมายสมัครงานไปควบคู่กับเรซูเมเสมอ ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แม้การสมัครผ่านอินเทอร์เน็ตจะให้ความสำคัญกับเรซูเมเป็นหลัก แต่แทบจะทุกไซต์ก็ต้องการจดหมายปะหน้าเช่นกัน เพื่อบอกให้นายจ้างทราบว่า เรามีจุดประสงค์อะไร มีบุคลิกลักษณะเช่นไร ต้องการอะไร ฯลฯ ก็บรรเลงได้เต็มที่ (แต่ต้องดูดี) (www.careercity.com/content/cvlttr/index.cfm, www.careerlab.com/letters/)


      หลักการเขียนเล็กๆน้อยๆ ก็คือ เขียนให้เป็นธรรมชาติ บอกความเป็นตัวคุณที่สุด อย่าสรรเสริญเยินยอใครจนเกินงาม อย่าติฉินนินทานายจ้างที่ผ่านมา ใช้ภาษาที่เป็นทางการ สละสลวย สุภาพ ใช้รูปประโยคที่ชัดเจน ประเภทคำว่า คาดว่า อาจจะ ถ้า ฯลฯ ก็หลีกเลี่ยง โดยการเขียนต้องเชิญชวนให้ไปอ่านเรซูเมเพิ่มเติม แต่ไม่ใช่เป็นการนำเรซูเมมาเขียนอีกครั้ง


      คำพูดต้องไม่ขัดแย้งในตัวเอง โดยสรุปก็คือ เขียนให้ผู้ที่อ่านเขาตอบคำถามได้ว่า ทำไมเขาถึงต้องจ้างคุณ อ้อ อย่าลืมบอกว่า สามารถติดต่อคุณได้อย่างไร สะดวกรวดเร็วที่สุด รวมถึง การสะกดคำ การใช้กระดาษที่สุภาพดูดี การส่งที่เรียบร้อย และรูปแบบของข้อมูลในกรณีที่ต้องเป็นแฟ้มสำหรับเปิดอ่านในคอมพิวเตอร์นั้น ต้องเลือกรูปแบบและประเภทที่เปิดได้ง่าย


      5. ฝึกฝนการตอบคำถาม : การสร้างความประทับใจให้กับผู้สัมภาษณ์ที่สุด ก็คือ เราต้องหน้าตาสดใส ดูน่าคบหา (คบแบบร่วมงาน ไม่ใช่แฟน) ตอบคำถามด้วยความมั่นใจ แต่พองาม ตอบคำถามได้ตรงประเด็น(พล่ามเกินไปไม่ใช่ผลดี) และสุภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สามารถฝึกฝนกันได้ จากการปรับปรุงบุคลิกภาพ ไม่ว่าคุณจะหน้าตาดีหรือไม่ดีแค่ไหน ถ้าบุคลิกดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว (interview.monster.com/, )


      ส่วนการฝึกฝนก็สามารถใช้จากข้อ 1 หรือเพื่อนๆได้เช่นกัน และยิ่งสมัยนี้ เป็นยุคของภาษาต่างด้าวครองเมือง(อังกฤษ ญี่ปุ่น เยอรมัน จีน สเปน ฯลฯ) ดังนั้น การเตรียมฝึกพูดภาษาที่ 2 และ 3 ให้คล่อง ก็จะยิ่งดี และได้เปรียบผู้อื่นอีกแล้ว
      6. ศึกษาผลตอบแทน : ข้อนี้ อาจดูงกๆบ้าง แต่ก็เป็นสิทธิ์ที่เรามี การเรียกเงินเดือน ถ้าไม่พอใจกันทั้งสองฝ่าย ก็ทำงานด้วยการได้ไม่นาน แน่นอนว่านายจ้างย่อมต้องการจ้างถูก และเราย่อมต้องการเงินเดือนสูงๆ แต่มันต้องมีจุดที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่ายได้ โดยเราต้องดูว่า มีประสบการณ์แค่ไหน บริษัทนั้นมีมาตรฐานการให้เงินเดือนเช่นไร ซึ่งถ้ามีคนรู้จักในสายงานที่จะสมัคร น่าจะพอเลียบๆเคียงๆถามได้ว่า ควรจะเรียกเท่าไหร่ และเรียกให้เกินเล็กน้อย เผื่อต่อรอง (www.jobsmart.org/tools/salary/salcomp.htm,www.mcpmag.com/salarysurveys/default.asp)


      และส่วนที่สำคัญอีกอย่างก็คือ สวัสดิการ ทั้งโบนัส วันลาพักผ่อน ค่ารักษาพยาบาล ค่าเบี้ยเลี้ยง ฯลฯ ถ้าบริษัทไหนที่มีมากอยู่แล้ว ก็คงไม่มีปัญหา เพราะพนักงานย่อมชอบอยู่แล้ว และถ้าบริษัทมีน้อย จนถึงไม่มีเลย ก็ต้องชั่งใจดูว่า ยอมได้มั้ย คุ้มมั้ย เพราะถ้าคุณเข้าไปได้แล้ว จะมาเรียกร้องตรงนี้ย่อมดูไม่ดีแน่ๆ ถ้าไม่แน่ใจ ก็ถามตอบสัมภาษณ์นั่นแหล่ะ เพราะเขาจะเปิดโอกาสให้เราซักถามอยู่แล้ว


      7. ฝึกฝนอยู่เสมอ : ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยเรียน หรือวัยทำงาน คุณสมบัติข้อนี้ ควรจะมีอยู่เสมอ เพราะหมายถึงการเพิ่มทักษะความชำนาญ ยิ่งชำนาญมาก ก็ย่อมมีโอกาสได้งานมาก การฝึกฝนก็ทำได้หลายรูปแบบ พื้นฐานที่สุดคือ อ่านหนังสือ แล้วลงมือทำ ถ้าจะให้ดีหน่อย ฝึกแบบที่จะทำให้ทำงานได้ดีขึ้นก็ดี


      จากนั้น ควรหาโอกาสทดสอบฝีมือบ้าง ด้วยการไปสอบวัดผลต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีเปิดมากมาย(www.itit.co.th, www.mcpmag.com) โดยเฉพาะทักษะด้านคอมพิวเตอร์ หรืออาจใช้วิธี ทดสอบกับเวบไซต์ต่างๆก็ได้(www.brainbench.com) และเมื่อเราทดสอบผ่านแล้ว ได้ใบประกาศมา(แทบทั้งหมดไม่ฟรี) ก็สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจให้นายจ้างได้ เป็นการเพิ่มโอกาสที่ดีเช่นกัน


      8. ค้นหาสิ่งใหม่ๆ : การเป็นผู้ไม่อยู่นิ่ง (หมายถึงมีความคิดสร้างสรรค์ และมีวิสัยทัศน์ ไม่ใช่การวิ่งไปวิ่งมา) เป็นสิ่งที่นายจ้างชอบ และเป็นผลดีกับเรา การค้นหาสิ่งใหม่ๆที่ไม่มีอยู่อื่นทำมาก่อน หรือมีแต่น้อย และจับมันก่อนใคร ย่อมทำให้คุณได้เปรียบผู้อื่น ถ้าคุณเพิ่งสำเร็จการศึกษา ย่อมเป็นโอกาสที่ดี สำหรับการนำเสนอเพื่อให้ได้งาน หรืออาจจะเป็นนายตนเองก็ย่อมได้


      9. วางแผนชีวิต : บางคนอยู่ไปเรื่อยๆ ปล่อยไปตามลมจะพัดพาเราไป บางคน กะเกณฑ์ว่าปีนี้จะทำโน่น อายุเท่านี้จะทำนั่น ดูไม่สมดุลย์เลยทั้งสองรูปแบบ การเดินทางสายกลาง จึงน่าจะดีที่สุด การวิเคราะห์ตนเองอยู่เสมอ และปรับสถานการณ์ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จะทำให้ชีวิตมีสุข เป้าหมายคนเราไม่เหมือนกัน ความสุขของแต่ละคน คือความพอของคนนั้น ใครมีสุขแค่ไหนก็จะพอแค่นั้น ดูความเหมาะสมกันเอาเอง


      สำหรับข้อ 9 นั้น เป็นบทสรุปของบันไดทั้ง 9 ขั้น เพราะท้ายที่สุด เมื่อหันกลับมามองตัวเอง และผู้อื่น เราต้องตอบคำถามให้ได้ว่า หนทางที่ก้าวไปนั้น เพื่ออะไร เมื่อไปถึงจุดหมายแล้วจะทำอะไรต่อ และชีวิตนี้ต้องการอะไร


      ไปๆมาๆ บทสรุปคล้ายกับจะเข้าสู่ทางธรรม ขอขมวดไว้เพียงเท่านี้ เดี๋ยวคุณผู้อ่านตะหนกว่าผมเป็นอะไร จะบวชแล้วหรือ ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ หาทางลงไม่เจอเท่านั้นเอง
      สวัสดี

ที่มา : กรุงเทพไอที กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดทล่าสุด