การทำงานเป็นทีม: มุมที่มองข้ามไป
ฌาน ตรรกวิจารณ์
การบริหารไสตล์ญี่ปุ่นที่เน้นการทำงานเป็นทีม เป็นที่ยอมรับว่าเป็นแนวทางการบริหารคนที่ได้ผลมากกว่าสไตล์การทำงานแบบต่างคนต่างทำ (Individualism) ของประเทศทางตะวันตกหลายประเทศ พูดง่าย ๆ ก็คือฝรั่งเองก็ต้องยอมรับว่า การทำงานเป็นทีม นั้นเพิ่มผลิตภาพ (productivity) และเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน การทำงานเป็นทีมทำให้เกิด การประสานพลัง (Synergy) ซึ่งทำให้ 1 + 1 ได้มากกว่า 2 !!!! หลายท่านตระหนักดีถึงภาระหน้าที่ในการเป็นผู้นำทีม ภาระหน้าที่ในการสร้างทีมงาน เป็นการมองจากข้างบนลงข้างล่าง ซึ่งบางท่านทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี บริหารลูกน้องให้ทำงานได้ตามเป้าหมาย ลูกน้องรัก ให้ความเคารพนับถือ มีศรัทธา แต่ผู้บริหารท่านเดิมนั้นเอง กลับมีปัญหากับ ผู้นำทีม ของตนเอง มุมที่มองข้ามไป ในเรื่องการทำงานเป็นทีมก็คือ การทำงานเป็นทีมกับผู้นำทีมของตัวเราเอง ซึ่งไม่เป็นประเด็นที่นำมาถกเถียงคุยกันมากเท่าที่ควรจะเป็น
ผู้บริหารที่มีความรู้ ประสบการณ์ดี บริหารทั้งงานผลิต งานขาย-การตลาด การเงิน ฯลฯ ลูกน้องรัก ลูกค้าพอใจ แต่ ผู้นำทีม หรือผู้บังคับบัญชา กลับไม่นิยมยกย่องก็มี!!! หลายครั้งหลายคราที่องค์กรต้องเสียมือดี ๆ ไป เสียโอกาสทางธุรกิจไป เพราะประเด็นเรื่องการทำงานเป็นทีมระหว่างลูกทีมกับผู้นำทีม ที่คล้ายกับเกิดศรศิลป์ไม่กินกัน นอกจากมองตาไม่รู้ใจแล้ว ยังรู้สึกขัดหูขัดตาอีกด้วย
.
บางท่านอาจจะบอกว่าก็คนมันดวงไม่สมพงศ์กัน ลูกน้องบางคนว่า นาย เล่นพวก เราเลยไม่รุ่ง ลูกพี่บางคนว่า ลูกน้อง ซื่อบื้อ หรือ บางคนสรุปว่าเป็นเพราะขาดคาถามหาจำเริญ คาถาที่ว่านี้มีเพียง 4 วลี ใช่ครับพี่ ดีครับท่าน ทันครับผม และ เหมาะสมครับเจ้านาย" - เพราะจะไม่ได้ประโยชน์อะไร
ปัญหาอยู่ที่ไหน?-หลายท่านอาจจะถามถ้าผู้อ่านเห็นด้วยกับคาถาที่ว่านี้ ก็ไม่ต้องอ่านบทความนี้อีกต่อไปหัวใจในการทำงานเป็นทีมนั้นมีอยู่ 4 ข้อ ข้อแรกคือต้องมี เป้าหมาย เดียวกัน ข้อ 2 คือ บทบาท อำนาจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ของทั้ง ผู้นำทีม และ ผู้ตาม เข้าใจตรงกันมีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ ข้อ 3 คือ มีระบบการให้รางวัลค่าตอบแทนที่ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม ข้อสุดท้าย คือต้องมี ทักษะ ที่จำเป็นในการทำงานเป็นทีม เช่นการบริหารความขัดแย้ง ความสามารถในการติดต่อสื่อสารให้ถูกช่องทาง ฯลฯ ดังนั้นหากผู้นำและลูกทีมมีเป้าหมายที่ขัดแย้งกัน(โดยไม่ต้องตั้งใจ) มีวิธีการทำงานที่ต่างกัน ไม่สนใจหรือมองข้าม สไตล์ การทำงานของซึ่งกันและกัน การเล่นบทบาทอย่างที่ตัวเองคิดว่าน่าจะเป็น โดยไม่ทันเหลียวมองสัญญาณจาก ผู้กำกับการแสดง ว่าต้องการให้ เล่น อย่างไร ปัญหาย่อมเกิดขึ้นแน่นอน หน้าที่ของลูกทีม ที่อาจเป็นผู้บริหารด้วยหรือไม่ก็ได้นั้น มีหน้าที่ที่ไม่ปรากฎอยู่ใน JD.หน้าที่หนึ่ง นั่นคือ การพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมกับ ผู้บังคับบัญชา ของตนเองด้วย หน้าที่ของท่านไม่เพียงแต่สร้างทีมงานกับลูกน้องเท่านั้น แต่กับ นาย ของเราด้วย การบริหารนั้นมีทั้งแบบบน-ลง-ล่าง (Downward management) ที่เราต้องเป็นผู้นำทีม บริหารลูกทีมสู่เป้าหมาย และแบบล่าง-ขึ้น-บน (Upward management) ที่จะต้องทำให้ลูกพี่และตัวเราเองเกื้อกูลกัน ทำงาน เข้าขา กันอย่างดี เพื่อสร้างผลงานให้ตัวเราเอง ซึ่งก็จะเป็นผลงานของ นาย ของเรา ผลงานของทีมงานและเป็นผลงานต่อองค์กรในที่สุด
ที่มา : Business Management Co.,Ltd.