อย่าสร้างปัญหา... เมื่อมันไม่มี


628 ผู้ชม


อย่าสร้างปัญหา... เมื่อมันไม่มี




คอลัมน์ สอนลูกอย่างไรให้ทำงานเป็น
โดย สุจินต์ จันทร์นวล [email protected]

"ทำงานแบบนี้ มีปัญหากับแฟนไหมลูก ?" เห็นลูกต้องทำงานแบบไม่ลืมหูลืมตาจนโงหัวไม่ขึ้น วันธรรมดาก็ปาเข้าไปสามทุ่มสี่ทุ่ม เสาร์อาทิตย์ก็ต้องออกไปต่างจังหวัดบ่อย ๆ กิจกรรมการใช้ชีวิตส่วนตัวก็เหลือน้อยลงกว่าปกติ
สถานการณ์แบบนี้เคยเจอกับตัวเองมาแล้ว ความบ้างานมันติดจนเป็นนิสัย ทำให้การให้ความสำคัญเรื่องอื่นเป็นรอง และมันก็เกิดผลกระทบตามมา ที่ทำให้ต้องเสียใจหลายต่อหลายเรื่อง
มีแฟนก็มีปัญหาเพราะไม่มีเวลาให้ นัดไม่เป็นนัด ภารกิจมันมาก่อน ทำให้ความสัมพันธ์เสื่อมคลาย
มีครอบครัวก็ไม่ราบรื่น เพราะถูกกล่าวหาว่าเราไม่ได้แต่งงานกับเค้า แต่เราแต่งกับงาน การต้องเป็นเมียหลวงที่ตกอยู่ในสภาพเหมือนเมียน้อย เพราะเมียหลวงที่แท้จริงคือน้องงาน ทำให้ทนกินน้ำใต้ศอก ไม่ไหว
"ก็มีนิดหน่อยพ่อ แต่ไม่ซีเรียส เพราะแฟนเค้าก็ทำงานในฟิลด์เดียวกัน แต่คนละบริษัท เค้าเข้าใจว่างานมันเป็นยังไง เพียงแต่เค้าไม่เข้าใจว่า ทำไมงานผมมันมากมายกว่าของเค้าถึงขนาดนั้น"
"ก็ดีไปลูก โชคดีไป แต่ก็อย่าชะล่าใจนักนะ พ่อเคยเจอมาแล้ว ประมาณว่า "เข้าใจแต่ทำใจไม่ได้" เจอลูกนี้เข้าจะไปไม่ถูกเอาเลย
แบ่งเวลาให้ดีลูก แบ่งให้เป็น ชีวิตเรามันต้องมีทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวควบคู่กันไป เฉลี่ยเวลาให้เหมาะสม ให้ความสำคัญกับมันให้ถูกจังหวะและสถานการณ์ พ่อมีบทเรียนเรื่องแบบนี้มาบนความผิดหวัง เพราะพ่อแต่งงานเร็วไป ดันเริ่มมีชีวิตคู่พอดีกับการเริ่มต้นไต่เต้าชีวิตการงาน โอกาสมันมาจ่อพ่อตรงหน้า เหมือนอยู่ดี ๆ ก็มีคนเอาบันไดมาวางพาดให้
ถ้าไม่ฉวยจังหวะนั้นก้าวขึ้นบันได พ่อก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสแบบนั้นมาอีก พ่อเลือกเอาโอกาสของชีวิต และให้ครอบครัวรอพ่อก่อน เอาเวลาและทุกอย่างไปทุ่มให้กับงาน แทบจะไม่มีเหลือให้ครอบครัว
ผลก็คือ พ่อก้าวขึ้นไปได้ด้วยจังหวะนั้น แต่ต้องผิดหวังกับครอบครัวจนถึงขั้นล่มสลาย บทเรียนนี้ทำให้เกิดการวิเคราะห์ขึ้นมาว่า พ่อทำผิดหรือทำถูก
พ่อคิดว่าพ่อทำถูก คนที่ทำงานเป็นลูกจ้าง การจะได้แสดงความรู้ ความสามารถ เพื่อจะได้พิสูจน์คุณค่าของตัวเองได้ก็ต่อเมื่อคนเป็นนายเขาหยิบยื่นโอกาสให้แสดง เมื่อเขาเอาโอกาสมาให้ เอาบันไดมาตั้ง ไม่ฉวย ไม่ไต่ขึ้นไป เพียงเพราะกลัวว่าครอบครัวจะไม่พอใจที่เหลือเวลาให้เค้าน้อย ก็ไม่ควรที่จะวางเป้าหมายของชีวิตในการทำงาน ว่าจะก้าวขึ้นไปถึงไหน อย่างเก่งก็ทำงานไปวัน ๆ มีความสุขแบบพอเพียงกับทั้งงานและครอบครัว
แต่พ่อวางเป้าไว้ว่า จะต้องไต่เต้าขึ้นไปสู่ระดับบริหารให้ได้ ที่ตั้งไว้ขนาดนั้นเพราะพ่อมีเหตุผล เมื่อฐานะของพ่อเริ่มต้นด้วยเลขศูนย์ ต้องทำและสร้างทุกอย่างจากสมองและสองมือของตัวเองเท่านั้น ยิ่งมีครอบครัว มีลูก ความรับผิดชอบนั้นใหญ่หลวงนัก ลำพังเงินเดือนลูกจ้างระดับธรรมดา หรือไปเอาดีทางความรู้ด้านช่างอย่างเดียวที่ร่ำเรียนมา ขึ้นถึงระดับสูงสุดมันก็ได้ไม่เท่าไหร่
แต่หากขึ้นไปทางด้านบริหาร ตำแหน่งมันไม่ตัน รายได้ก็ไม่ตันด้วย แถมตัวเรายังชอบทางด้านนี้อีกต่างหาก ได้ทำสิ่งที่รักที่ชอบ แถมเงินเดือนก็สูง มีรายได้มาก ก็จะทำให้สามารถรับผิดชอบครอบครัวได้ดี ทำให้คุณภาพของทุกชีวิตในครอบครัวสบาย มีความสุข สร้างหลักฐาน สร้างหลักประกันสำหรับอนาคตของลูก ๆ ดังนั้นพ่อจึงเลือกเอาโอกาสมาก่อนเสียงเรียกร้องของครอบครัว ผลคือพ่อไปได้อย่างที่คิด แต่ครอบครัวไปไม่รอด
สรุปแล้วพ่อคิดว่าพ่อคิดถูก แต่ทำผิดจังหวะ จังหวะที่ผิดคือดันแต่งงานเร็วไป หากมาแต่งตอนที่พ่อก้าวขึ้นบันไดไปแล้ว ผลมันก็จะไม่ลงเอยแบบที่เป็น ที่เอามาเล่าให้ลูกฟังก็เพื่อให้เรียนรู้ไว้เป็นข้อมูลเอาไว้ไตร่ตรอง ว่าเราต้องหัดคิดและมองสิ่ง ต่าง ๆ รอบตัวให้รอบคอบ ก่อนที่จะ ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิต หรือจะทำอะไรก็ตามที่มีแฟกเตอร์คนอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย"
ที่จริงกำลังพยายามจะบอกลูกว่า อย่าเพิ่งคิดแต่งงาน มีชีวิตคู่ตอนนี้ มันเป็นจังหวะที่ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เพราะช่วงนี้สำหรับลูกก็ไม่ต่างไปจากสมัยที่ตัวเองเริ่มงาน ต้องหาโอกาสให้ตัวเอง จะได้หรือไม่ก็อยู่ที่ตัวเองต้องสำแดงพลังและคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถที่อยู่ในตัวออกมาให้เขาเห็นแววก่อน เมื่อเขาเห็นเขาก็จะลองหยิบยื่นโอกาสให้ทดลอง เขาจะทดสอบเรา
หรือแปลว่า เราต้องทำก่อน แสดงก่อน นายเขาถึงจะมองเรา ไม่ใช่นั่งคอยรอคอยเฉย ๆ การทุ่มเทให้กับงานจึงเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเปิดประตูโอกาสให้ตนเอง
แต่ไม่อยากพูดชัดถึงขนาดนั้น อยากให้ลูกได้คิดเอาเองมากกว่า สไตล์เราเองก็ไม่ชอบออกคำสั่งใครอยู่แล้ว แม้แต่กับลูกน้องด้วยซ้ำ จะมีที่พูดชัด ๆ กับลูก ๆ ทุกคนไว้ก็คือ "อย่าเพิ่งคิดแต่งงานเด็ดขาด หากยังไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ยังยืนบนขาตัวเองไม่ได้ การเป็นลูกผู้ชาย หน้าที่สำคัญคือความรับผิดชอบ จะมีครอบครัวก็ต้องมีความสามารถที่จะรับผิดชอบเค้าได้ เลี้ยงดูทำให้เค้ามีความสุขได้
ยิ่งมีลูกขึ้นมาก็จะยิ่งต้องรับผิดชอบหนักและยาวขึ้นอีก มีเมียมีง่ายจะตาย มีลูกก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ แต่มีแล้วจะรักษาและรับผิดชอบให้ดีและให้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สักนิด โคตรยากเลย จะบอกให้
ปัจจัยสำคัญอันดับต้นคือเงิน ความรักความเข้าใจอย่างเดียวไม่พอหรอก แรก ๆ มันอาจจะพอแหละ แต่พอนานเข้า ๆ มันจะไม่มีทางพอ เมื่อคุณภาพชีวิตมันแย่ เมื่อลูก ๆ ต้องเรียนหนังสือให้สูงที่สุดเท่าที่เราจะผลักดันได้ อนาคตของพวกเขาคือ เดิมพันชีวิตเราเอง
มันก็อยู่ที่จะต้องใช้สมอง สองมือ และพลังใจที่แข็งแกร่ง ต่อสู้เพื่อจะให้อนาคตแก่ทุก ๆ คนที่เรารับผิดชอบ ทุนของเรามีอยู่แค่นี้ จะทำให้มันสำเร็จได้ก็ต้องทุ่มเททุกอย่างที่มีเพื่อแลกกับมันมา
ต่อมาคือความอดทน ความเข้าใจ การให้เกียรติกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย ยืดหยุ่น และการปรับตัว ตอนเป็นแฟนกันอะไร ๆ ก็ดีไปหมด เขาจะเป็นยังไงยอมรับได้ทั้งนั้น มองแต่ด้านดี คิดแต่ด้านดี ทุกอย่างสวยงามและมีความสุข แต่พอแต่งงานและอยู่ด้วยกัน สิ่งที่อีกฝ่ายเป็นตอนก่อนหน้านั้น กับเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว มันกลายเป็นคนละเรื่อง คนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงจะต้องได้คู่ที่ยินดีจะเดินตามหลังทุก ฝีก้าว ทุกเรื่อง ถึงจะอยู่กันได้ยืด ไม่มีปัญหาเรื่องครอบครัว
"มีแฟนแบบนี้ก็ดีแล้วลูก คนที่ทำงานด้วยกันย่อมน่าจะเข้าใจกันแบบนี้ แต่ในฐานะผู้ชายด้วยกันพ่ออยากเตือนอะไรไว้เกี่ยวกับไอ้เรื่องความใกล้ชิดในที่ทำงาน เพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้หญิง อย่าเผลอใจไปปิ๊งใครเข้า ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่คิดไม่ถึงเอาได้ คือหากเราไม่มีแฟน ไม่มีคนที่เรารู้สึกเป็นพิเศษอยู่แล้ว มันก็ไปอย่าง
แค่งานมันก็มีปัญหามากมายอยู่แล้วมาสร้างปัญหาหัวใจ ปัญหาส่วนตัวขึ้นมาอีก พ่อจะบอกให้ว่า ลูกจะเสียศูนย์ไปเลย เพราะไม่มีสมาธิในการทำงาน หัวสมองมันคอยมีเรื่องส่วนตัวนี่มาแจมตลอด หงุดหงิด คิดอะไรก็ไม่ออก งานก็จะดร็อป นายก็จะผิดหวัง และในที่สุดมันก็ส่งผลมาถึงตัวเรา กลายเป็นว่าอะไร ๆ ก็ดีแต่มาเสียเรื่องผู้หญิง แล้วมันคุ้มไหมกับเวลาที่เรามุ่งมั่นและฝ่าฟันมา
จำไว้ให้ดีนะลูก พ่อน่ะผ่านมาแล้ว เคยเผลอใจมาเหมือนกัน แต่หักห้ามได้ มันอาจจะด้วยฐานะในการที่เป็นหัวหน้า เป็นนายเค้า ขืนไปกุ๊กกิ๊กกับลูกน้อง ผู้หญิงมันจะเสียมากกว่าการเป็นแค่เพื่อน ร่วมงานธรรมดาหลายเท่า ขนาดไม่เคยออฟไซด์ที่บ้านยังเป่าปรี๊ด ๆ อยู่เรื่อย อารมณ์เสียและหงุดหงิดจะตายไป"
"วิธีกำกับเส้นทำยังไงพ่อ ?"
"ทำใจสิวะ อยู่ที่ใจเราเอง ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก เราห้ามใจเราเองได้ ยังไงปัญหาก็ไม่เกิด"
หน้า 31


วันที่ 08 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4190  ประชาชาติธุรกิจ


อัพเดทล่าสุด