| ความเป็นมา |
| พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดให้มีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อสงเคราะห์ลูกจ้าง กรณีออกจากงาน หรือตาย หรือในกรณีอื่นที่กำหนดโดยคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง |
|
| การบริหารกองทุน ฯ |
| กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างบริหารงานโดยคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ซึ่งเป็นไตรภาคี จำนวน 15 คน ประกอบด้วยตัวแทนฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง และฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายละ 5 คน โดยมี ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นกรรมการ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายในการบริหารและการจ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง รวมทั้งกำหนดระเบียบต่าง ๆ ในการดำเนินงาน โดยมีกลุ่มงานกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการดำเนินงานต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารงานกองทุน |
|
| เงินกองทุน ฯ มาจากไหน |
| เงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1. ส่วนที่เป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือนร้อนเฉพาะหน้าของลูกจ้าง ซึ่งเงินจะมาจากเงินค่าปรับจากการลงโทษผู้กระทำความผิดตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เงินอุดหนุนจากรัฐบาล เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้ เงินรายได้อื่นและเงินดอกผลของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เงินกองทุนส่วนนี้มีหลักเกณฑ์การจ่ายเงินตามระเบียบการจ่ายเงินสงเคราะห์ที่กำหนดโดยคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เมื่อกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้ จ่ายเงินสงเคราะห์ให้แก่ลูกจ้างไปแล้ว กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างมีสิทธิ์เรียกให้นายจ้างหรือผู้ซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่ลูกจ้างชดใช้เงินที่ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้จ่ายไปพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี |
| 2. ส่วนที่เป็นเงินในการสร้างหลักประกันแก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน หรือตาย เป็นเงินสะสมที่จะหักจากค่าจ้างของลูกจ้างและเงินสมทบของนายจ้างซึ่งจะคืนให้ พร้อมดอกเมื่อออกจากงานหรือมอบแก่ทายาทกรณีตาย เงินส่วนนี้มีลักษณะเป็นกองทุนเงินสะสม |
|
| การดำเนินงานในส่วนนี้ จะเป็นการส่งเสริมระบบการออมทรัพย์ของลูกจ้างเพื่อให้มีรายได้เพียงพอหลังเกษียณอายุ ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นคงที่จะส่งผล ให้คุณภาพชีวิตของลูกจ้างดีขึ้น อีกทั้งยังเป็นมาตรการหนึ่งในการเสริมสร้างระบบตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม(Social Safety Net) ที่รองรับปัญหาด้าน แรงงานทั้งในสถานการณ์ปกติ และในสภาวะวิกฤต (*ปัจจุบันส่วนนี้ยังไม่มีผลบังคับ หากจะดำเนินการเมื่อใดต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา) |
|
| เงินสงเคราะห์จ่ายให้ใคร |
| เงินสงเคราะห์ของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจะจ่ายให้กับลูกจ้างซึ่งได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย หรือนายจ้างไม่สามารถจ่ายค่าจ้าง หรือเงินอื่นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แต่ไม่รวมถึงทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายที่ได้ยื่นคำร้องทุกข์ไว้ |
|
| เมื่อใดลูกจ้างมีสิทธิยื่นขอรับเงินสงเคราะห์ |
| 1. เมื่อลูกจ้างถูกเลิกจ้างและนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย ลูกจ้างยื่นคำขอรับเงินสงเคราะห์ได้ เมื่อพนักงานตรวจแรงงานได้มีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยและ นายจ้าง มิได้จ่ายเงินตามคำสั่งภายในกำหนด ซึ่งนายจ้างมิได้นำคดีไปสู่ศาล (พ้นระยะ 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง) |
| 2. เมื่อนายจ้างค้างจ่ายค่าจ้างหรือเงินอื่นตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ลูกจ้างยื่นคำขอรับเงินสงเคราะห์ได้เมื่อพนักงาน ตรวจแรงงาน ได้มีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินและนายจ้างมิได้จ่ายเงินตามคำสั่งภายในกำหนด |
| 3. การยื่นขอรับเงินกองทุนฯ ต้องยื่นคำขอภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่พนักงานตรวจแรงงานได้มีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงิน |
|
| หลักเกณฑ์การจ่ายเงินสงเคราะห์ |
| กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจะจ่ายเงินสงเคราะห์ 2 กรณี ดังนี้ 1. เงินสงเคราะห์ในกรณีที่นายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยให้ตามกฎหมาย โดยจะจ่ายเงินสงเคราะห์ให้บางส่วน หรือไม่เต็มสิทธิตามที่กฎหมายกำหนด คือจ่ายให้ ลูกจ้างผู้ขอรับเงินสงเคราะห์ในอัตราดังต่อไปนี้ |
| 1.1 สามสิบเท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันที่ลูกจ้างพึงได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 สำหรับลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ หนึ่งร้อยยี่สิบวันแต่ไม่ครบหกปี |
| 1.2 หกสิบเท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันที่ลูกจ้างพึงได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 สำหรับลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ หกปีขึ้นไป |
| 2. เงินสงเคราะห์ในกรณีอื่นนอกจากค่าชดเชย เช่น ค่าจ้างค้างจ่าย ฯลฯ จะให้การสงเคราะห์เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ ลูกจ้าง สำหรับอัตราเงินที่จะจ่ายให้แก่ลูกจ้าง จะจ่ายในอัตราไม่เกินหกสิบเท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันของลูกจ้างที่พึงได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. 2541 |
|
| การดำเนินงานของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง |
| การดำเนินงานของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้จ่ายเงินสงเคราะห์ช่วยเหลือลูกจ้างไปแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2543 - พฤศจิกายน 2548 จำนวน 20,365 คน เป็นเงิน 108,221,730.37 บาท ซึ่งเป็นการสงเคราะห์กรณีนายจ้างค้างจ่ายค่าชดเชย จำนวน 10,949 คน เป็นเงิน 57,036,939.60 บาท และกรณีอื่นนอกจากค่า ชดเชย (ค้างจ่ายค่าจ้าง) ฯลฯ จำนวน 9,416 คน เป็นเงิน 51,184,790.77 บาท |
|
| หลักฐานที่ต้องใช้ในการยื่นขอรับเงินสงเคราะห์ |
| บัตรประจำตัวประชาชน หรือหลักฐานอื่นที่ทางราชการออกให้ซึ่งแสดงได้ว่าระบุถึงตัวผู้นั้นพร้อมสำเนา |
|
| สถานที่ยื่นขอรับเงินสงเคราะห์ |
| ยื่นคำขอรับเงินสงเคราะห์ตามแบบที่อธิบดีกำหนด (แบบ สกล.1) ต่อพนักงานตรวจแรงงานแห่งท้องที่ที่มีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงิน |
| - ส่วนกลาง ยื่นได้ที่กลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ ทุกพื้นที่ |
| - ส่วนภูมิภาค ยืนได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ทุกจังหวัด |
|
| การรับเงินสงเคราะห์ |
| ลูกจ้างมารับเงินด้วยตนเองภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำขอรับเงินสงเคราะห์พร้อมนำบัตรประจำตัวประชาชนไปแสดงด้วย หากไม่สามารถมารับเงินด้วยตนเองได้ สามารถทำหนังสือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมารับเงินแทนได้ ผู้รับมอบอำนาจต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจ และตนไปแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อขอรับเงิน หากไม่มารับเงินภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ หรือลูกจ้างถึงแก่ความตาย สิทธิในการขอรับเงิน สงเคราะห์เป็นอันระงับสิ้นไป หากลูกจ้างผู้ถูกระงับสิทธิ์ไปแล้ว มีความประสงค์จะรับเงินกองทุนฯ อีกต้องยื่นเรื่องขอรับเงินสงเคราะห์ใหม่ |
|
| สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม |
| - ส่วนกลาง กลุ่มงานกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง สำนักคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทร. 0-2245-7266 โทรสาร 0-2245-6881 หรือกลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ทุกพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร - ส่วนภูมิภาค สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด |