ลูกจ้างทั้ง 2โต้เถียงกันในเรื่องการทำงาน เมื่อหัวหน้างานห้ามปราม ได้ขว้างได้เขวี้ยงท่อพีวีซี ??


652 ผู้ชม


ลูกจ้างทั้ง 2โต้เถียงกันในเรื่องการทำงาน เมื่อหัวหน้างานห้ามปราม ได้ขว้างได้เขวี้ยงท่อพีวีซี ??




คดีแดงที่  4055-4056/2548

นางสาวแก้วมณี ขุนาพรม โจทก์
บริษัทแจ๊คสัน พรีเชียสเมทอลเพลทติ้ง จำกัด จำเลย

 

ป.วิ.พ. มาตรา 84, 104
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 (2), 118 (3)

ศาลแรงงานกลางตรวจสำนวนโดยพิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การ พยานหลักฐานที่คู่ความส่งต่อศาลและสอบถามข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับกันแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงรับฟังยุติเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้ว จึงสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย และวินิจฉัยคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้นั้น เป็นการรับฟังพยานหลักฐานและวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 84 และ 104 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31

ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2547 ในระหว่างเวลาทำงานและในที่ทำงาน โจทก์ทั้งสองโต้เถียงกันในเรื่องการทำงาน เมื่อหัวหน้างานห้ามปรามให้เงียบโจทก์ทั้งสองก็ยังคงโต้เถียงกันอีก และโจทก์ที่ 2 ได้เขวี้ยงท่อพีวีซีใส่โจทก์ที่ 1 แต่ไม่โดน และทรัพย์สินของจำเลยไม่ได้เสียหาย การกระทำของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวมีลักษณะไม่รุนแรงและไม่เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของจำเลยเสียหาย จึงเป็นการฝ่าฝืนในกรณีที่ไม่ร้ายแรง เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองทันทีโดยไม่เคยตักเตือนโจทก์ทั้งสองเป็นหนังสือมาก่อนจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสอง ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 (2) และ (3)

 

…………………..……………………………………………………………..

 

คดีทั้งสองสำนวน ศาลมีคำสั่งรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยเรียกโจทก์สำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 และโจทก์สำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 2

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 2,380 บาท ค่าชดเชยจำนวน 15,300 บาท และค่าเสียหายจำนวน 80,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำนวน 2,380 บาท ค่าชดเชยจำนวน 30,600 บาท และค่าเสียหายจำนวน 80,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2

จำเลยทั้งสองสำนวนให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 15,300 บาท แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 30,600 บาท แก่โจทก์ที่ 2 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 1 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2544 โจทก์ที่ 2 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2543 โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างรายวันได้รับค่าจ้างวันละ 170 บาท จำเลยกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 5 และ 20 ของเดือน จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2547 อ้างว่าโจทก์ทั้งสองทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันในบริเวณโรงงานและนอกโรงงานเมื่อวันที่ 1 และ 3 มีนาคม 2547 อันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในกรณีร้ายแรง โดยไม่จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสอง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อแรกว่า การที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยคดีโดยรับฟังข้อเท็จจริงจากการสอบถามโจทก์และจำเลย และตัดสินชี้ขาดคดีตามประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้ โดยไม่เปิดโอกาสให้โจทก์และจำเลยนำพยานเข้าสืบเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 27, 87 และ 88 จึงเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่ฝ่าฝืนกฎหมายและผิดระเบียบนั้น เห็นว่า ป.วิ.พ. มาตรา 84 บัญญัติว่า "ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใด ๆ เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง แต่ว่า

(1) คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปหรือซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ หรือซึ่งศาลเห็นว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้รับแล้ว…" บทบัญญัติดังกล่าว หมายความว่า คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบพิสูจน์สนับสนุนข้อเท็จจริงนั้น เว้นแต่คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไป หรือซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ หรือศาลเห็นว่าไม่ต้องนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์เนื่องจากข้อเท็จจริงนั้นอีกฝ่ายหนึ่งได้รับแล้ว คดีนี้ศาลแรงงานกลางได้ตรวจสำนวนโดยพิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การ พยานหลักฐานต่าง ๆ ที่คู่ความส่งต่อศาลและสอบถามข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับกันแล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงรับฟังยุติเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้ว จึงสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย และวินิจฉัยคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้นั้น เป็นการรับฟังพยานหลักฐานและวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 84 และ 104 ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 แล้ว

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อสองว่า จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า เมื่อศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสองทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายกันในบริเวณที่ทำงาน อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลยแล้วไม่ว่าการฝ่าฝืนนั้นจะร้ายแรงหรือไม่ จำเลยก็สามารถเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยนั้น เห็นว่า การฝ่าฝืนคำสั่ง ระเบียบ หรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของนายจ้าง ซึ่งนายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) ต้องเป็นการฝ่าฝืนในกรณีร้ายแรง หรือกระทำผิดซ้ำหนังสือเตือนสำหรับในกรณีฝ่าฝืนในกรณีไม่ร้ายแรง คดีนี้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2547 ในระหว่างเวลาทำงานและในที่ทำงาน โจทก์ทั้งสองโต้เถียงกันในเรื่องการทำงานเมื่อหัวหน้างานห้ามปรามให้เงียบ โจทก์ทั้งสองก็ยังคงโต้เถียงกันอีก และโจทก์ที่ 2 ได้เขวี้ยงท่อพีวีซีใส่โจทก์ที่ 1 แต่ไม่โดนและทรัพย์สินของจำเลยไม่ได้เสียหาย การกระทำของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวมีลักษณะไม่รุนแรงและไม่เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของจำเลยเสียหาย จึงเป็นการฝ่าฝืนในกรณีที่ไม่ร้ายแรง เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองทันทีโดยไม่เคยตักเตือนโจทก์ทั้งสองเป็นหนังสือมาก่อน จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสองตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 (2) และ (3) ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

พิพากษายืน.

 

(รุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ - ชวลิต ยอดเณร - จรัส พวงมณี )

 

ศาลแรงงานกลาง - นายประกอบ ลีนะเปสนันท์

ศาลอุทธรณ์ -


อัพเดทล่าสุด