ตามพระราชบัญญัติ คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518


895 ผู้ชม


ตามพระราชบัญญัติ คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518




คดีแดงที่  1756/2523

พลตรีดวง แก้วโกมุท โจทก์
องค์การฟอกหนัง กระทรวงกลาโหม กับพวก จำเลย

 

ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 46 (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2517 ข้อ 1
พ.ร.บ. คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 มาตรา 9

ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46, (ฉบับที่ 2) ข้อ 1 อันเป็นประกาศที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ออกจากงาน ไม่มีข้อยกเว้นไว้เป็นพิเศษ แก่กรณีที่พนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่งต้องออกจากงานเพราะเหตุขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามด้วย การที่พนักงานรัฐวิสาหกิจต้องออกจากงาน เพราะเหตุนี้ย่อมตั้งถือว่าเป็นการออกเพราะการเลิกจ้างด้วย

การที่โจทก์เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติ คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 มาตรา 9 (2) เพราะมีอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ แล้วและต้องพ้นจากตำแหน่งนั้น เห็นได้ว่า พระราชบัญญัตินี้มิได้ยกเว้นว่า การพ้นจากตำแหน่งเพราะขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามไม่ให้ถือว่าเป็นการออกจากงานเพราะการเลิกจ้าง และการที่มีการกำหนดคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ในรูปของพระราชบัญญัติก็เพราะรัฐต้องการให้รัฐวิสาหกิจทั้งหลายใช้ข้อบังคับในเรื่องนี้ให้เป็นระเบียบเดียวกัน และมุ่งหมายจะให้เป็นข้อบังคับที่มั่นคงถาวรไม่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย มิใช่จะถือว่า มีผลยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานไปในตัว นอกจากนี้แม้พระราชบัญญัติดังกล่าวจะใช้คำว่า พ้นจากตำแหน่ง ผลก็เท่ากับให้รัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นนายจ้างจัดการให้ลูกจ้างออกจากงานอันต้องถือว่าเป็นการเลิกจ้างอยู่นั่นเอง

 

…………………..……………………………………………………………..

 

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลโดยเป็นรัฐวิสาหกิจ มีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้อำนวยการ จำเลยที่ ๓ เป็นประธานกรรมการ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจ้างโจทก์เป็นพนักงานกำหนดระยะเวลาจ้างไม่มี เมื่อใกล้ครบกำหนดเกษียณอายุจำเลยที่ ๑ ต่ออายุการทำงานของโจทก์ออกไปอีกครั้งละ ๑ ปี รวม ๕ ครั้ง ต่อมามีพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ฯ ยกเลิกพระราชบัญญัติกำหนดเกษียณอายุผู้ทำงานในองค์การของรัฐฯ และมาตรา ๙ (๒) บัญญัติว่า พนักงานของรัฐวิสาหกิจต้องมีอายุไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์ มาตรา ๑๑ (๓) บัญญัติว่า พนักงานพ้นจากตำแหน่งเมื่อขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙ หรือ มาตรา ๑๐ จำเลยที่ ๑ จึงมีคำสั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ โจทก์ได้รับเงินบำเหน็จไปแล้ว แต่โดยที่ได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๔๖ (ฉบับที่ ๒) ่ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๑๗ กำหนดให้นายจ้างจ่ายเงินค่าชดเชยแก่ลูกจ้างประจำ ซึ่งเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด โจทก์เห็นว่า เงินบำเหน็จที่โจทก์รับไปแล้ว นั้นเป็นสิทธิที่โจทก์พึงได้รับตามข้อ บังคับของนายจ้าง ต่างหากจากเงินค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ ๒ ขอให้จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ ๔๑,๒๕๐ บาท (เงินเดือนเดือนสุดท้าย ๖ เดือน) จำเลยที่ ๒ เพิกเฉย ต่อมาวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ ได้มีหนังสือถึงโจทก์แจ้งว่า กระทรวงการคลังเห็นว่า เมื่อโจทก์ได้รับเงินบำเหน็จไปแล้ว ก็ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้อีก โจทก์เห็นว่า ไม่ถูกต้อง โจทก์จึงมีหนังสือร้องทุกข์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรมแรงงานได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๒๑ ถึงโจทก์แจ้งให้ทราบว่ารัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เห็นชอบตามความเห็นของกรมแรงงานว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชย โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบจำเลยที่ ๑ มีหนังสือลงวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๒๑ ถึงโจทก์แจ้งขัดข้องในการจ่ายค่าชดเชยอ้างความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา และความเห็นของกระทรวงการคลัง โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งต่อพนักงานตรวจแรงงาน กรมแรงงาน พนักงานตรวจแรงงานได้ ออกคำเตือน ที่ ๑๕๗/๒๕๒๑ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๒๑ ให้จำเลยที่ ๑ นำเงินค่าชดเชย ๔๑,๒๕๐ บาทไปจ่ายให้โจทก์ ณ กรมแรงงานภายใน ๑๐ วัน จำเลยทั้งสามกลับขอผัดผ่อน เพื่อเสนอเรื่องไปให้คณะรัฐมนตรี ชี้ขาด คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วมีมติ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๒ ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน โจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยผิดขั้นตอน และความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ดี กระทรวงการคลังก็ดี หรือมติคณะรัฐมนตรี เป็นความเห็นของคณะบุคคลไม่ใช่กฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าชดเชย ๔๑,๒๕๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ไม่ได้ถูกให้จำเลยทั้งสามสั่งให้ออกจากงานโดยตรง แต่เป็นกรณีพ้นจากตำแหน่งโดยโจทก์เป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ฯ จำเลยที่ ๑ เป็นรัฐวิสาหกิจ จึงอยู่ภายใต้กฎหมายดังกล่าวด้วย ที่โจทก์ถูกออกจากตำแหน่งหน้าที่การงานจึงมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ซึ่งจำเลยที่ ๑ ก็ประสงค์จะจ้างโจทก์ทำงานต่อไปแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะขัดต่อกฎหมาย การที่โจทก์ถูกออกจากงานตามกฎหมายดังกล่าวนั้น โจทก์ก็มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญเป็นจำนวนสูงอยู่แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานอีก การจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์จะเป็นการขัดต่อความเห็นของคณะกรรมการ กฤษฎีกา และของกระทรวงการคลังจึงไม่อาจจ่ายให้ ที่จำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามคำเตือนฯ ก็เพราะคณะรัฐมนตรีลงมติฯ ว่าเฉพาะกรณีของโจทก์ได้ออกก่อนคณะรัฐมนตรี มีมติให้จ่ายค่าชดเชยจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยฯ จำเลยขอตัดฟ้องว่าจำเลยที่ ๒, ๓ กระทำตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่โดยชอบด้วยกฎหมายจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัว หรือร่วมกับจำเลยที่ ๑ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์พ้นจากตำแหน่งตามกฎหมายไม่ใช่เป็นการเลิกจ้าง จำเลยไม่ได้บอกเลิกจ้างโจทก์หากแต่ต้องทำตามที่กฎหมายบังคับ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนคดีแรงงานวินิจฉัยว่า เห็นพ้องกับศาลแรงงานกลางที่กล่าวว่า พนักงานรัฐวิสาหกิจได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานเช่นเดียวกับลูกจ้างในกิจเอกชนทั่ว ๆ ไป แต่เห็นว่า เมื่อพนักงานรัฐวิสาหกิจเช่นโจทก์นี้ ได้รับความคุ้มครองว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ปัญหาเรื่องค่าชดเชยก็ต้องพิจารณาตาม ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๔๖ (ฉบับที่ ๒) ่ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๑๗ ข้อ ๑อันเป็นประกาศที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ออกจากงานนั้น วรรคสองและวรรคสาม มีความว่า การเลิกจ้างตามข้อนี้ หมายความว่า การที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงาน ปลดออกจากงานหรือไล่ออกจากงาน โดยที่ลูกจ้างไม่ได้ทำความผิดตามข้อ ๔๗ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ หรือในกรณีที่นายจ้างไม่ยอมให้ลูกจ้างประจำทำงานเกินเจ็ดวัน ทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตาม โดยไม่จ่ายค่าจ้างให้ ถ้าปรากฏว่า นายจ้างมีเจตนาจะไม่จ้างลูกจ้างนั้นหางานต่อไป หรือกลั่นแกล้งลูกจ้างให้ถือว่าเป็นการเลิกจ้างลูกจ้างด้วย

ความในข้อนี้มิให้ใช้บังคับแก่ลูกจ้างประจำที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น หรือลูกจ้างประจำที่นายจ้างแจ้งให้ทราบเป็นหนังสือแต่แรกว่าให้ทดลองปฏิบัติงานในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันและยังอยู่ในระยะเวลานั้น ดังนี้จะเห็นได้ว่า ไม่มีข้อยกเว้นไว้เป็นพิเศษแก่กรณีแก่กรณีที่พนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่งต้องออกจากงานเพราะเหตุขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามด้วย การที่พนักงานรัฐวิสาหกิจต้องออกจากงาน เพราะขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ก็ดี ย่อมต้องถือว่าเป็นการออกเพราะการเลิกจ้างตามข้อ ๔๖ ของประกาศดังกล่าวข้างต้น

การที่โจทก์เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติ คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๙ (๒) เพราะมีอายุเกิน ๖๐ ปีบริบูรณ์ แล้วและต้องพ้นจากตำแหน่งไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔ นั้น เห็นได้ว่า ประการแรกพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้มิได้บัญญัติยกเว้นไว้เป็นพิเศษว่า ไม่ให้ถือว่าการพ้นจากตำแหน่งเพราะขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเป็นการออกจากงานเพราะการเลิกจ้าง ประการที่สองและการที่มีการกำหนดคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ในรูปของพระราชบัญญัติก็เพราะรัฐต้องการให้รัฐวิสาหกิจทั้งหลายใช้ข้อบังคับในเรื่องนี้ให้เป็นระเบียบเดียวกัน และมุ่งหมายจะให้เป็นข้อบังคับที่มั่นคงถาวรไม่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย มิใช่ว่าเมื่อตราไว้ในรูปของกฎหมายแล้วจะจะถือว่า มีผลยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานไปในตัว โดยไม่ต้องมีบทบัญญัติยกเว้นไว้โดยชัดแจ้ง ประการสุดท้าย แม้พระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ จะใช้คำว่า พ้นจากตำแหน่ง แก่พนักงานเช่นโจทก์ คดีนี้ ผลก็เท่ากับให้รัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นนายจ้างจัดการให้ลูกจ้างออกจากงานอันต้องถือว่าเป็นการเลิกจ้างอยู่นั่นเอง ดังจะเห็นได้ว่า แม้แต่กรณีของโจทก์คดีนี้ จำเลยที่ ๑ ก็ได้มีคำสั่งให้โจทก์กับบุคคลอื่นอีก ๒ คน ออกจากตำแหน่ง ศาลฎีกาจึงเห็นว่า จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตาม ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๔๖ (ฉบับที่ ๒) ่ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๑๗ ข้อ ๑ อันเป็นประกาศที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์พ้นจากตำแหน่ง ส่วนจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ใช่นายจ้างที่จะต้องรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในการจ่ายค่าชดเชยด้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์เป็นจำนวน ๔๑,๒๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยจากเงินต้นดังกล่าวในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ่คงให้ยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

 

(ประทีบ ชุ่มวัฒนะ - ภิญโญ ธีรนิติ - สมบูรณ์ บุญภินนท์ )

 

ศาลแรงงานกลาง - นายสนิท นิติธรรมมาศ

ศาลอุทธรณ์ -


อัพเดทล่าสุด