ศาลฎีกา ฯ พิพากษายกฟ้อง 44 จำเลย คดีทุจริตกล้ายาง ขณะ ''เนวิน'' ถึงกับน้ำตาคลอ มั่นใจ ต้นยางนับล้านต้น จะนำรายได้สู่ประเทศ ด้าน ''สมคิด'' ตื้นตันจนพูดไม่ออก ... ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วันที่ 21 ก.ย. ศาลนัดฟังคำพิพากษาในคดีที่ คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน หรือ คตส. โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ฟ้องนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการนโยบายและช่วยเหลือเกษตรกรหรือคชก. นายวราเทพ รัตนากร อดีต รมช.คลัง นายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีต รมว.เกษตร กรรมการคชก. นายเนวิน ชิดชอบ อดีตรมช.เกษตร นายอดิศัย โพธารามิก อดีต รมว.พาณิชย์ กับผู้ประกอบการจากเครือบริษัทซีพี บริษัทรีสอร์ทแลนด์ บริษัทเอกเจริญการเกษตร และจำเลยที่เป็นข้าราชการระดับบริหาร กับกรรมการของบริษัทผู้เสนอราคา รวม 44 คน เป็นจำเลยตาม ป.อาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่มาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดซื้อจัดจ้าง ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ มาตรา 151 และฉ้อโกงมาตรา 341 กับ พรบ.ความผิดในการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พรบ.ความผิดของพนักงานในองค์กรของรัฐ และให้ชดใช้เงินคืน กรณีจัดโครงการประมูลกล้ายาง 90 ล้านต้น มูลค่า 1,440 ล้านบาท แต่ต้นกล้าตายเกือบทั้งหมด และพบว่าผู้เข้าประมูลไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกล้ายาง แต่มีผู้เสนอราคาเป็นพวกเดียวกัน ทำให้รัฐเสียหาย โดยเป็นการนัดอ่านครั้งที่ 2 เพราะคราวก่อน นายอดิศัยหนีการฟังคำพิพากษา และถูกออกหมายจับแล้ว ขณะเดียวกันมีตำรวจนครบาล นำโดย พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษไชชาญ ผกก.สน.ชนะสงคราม พร้อมกำลังตำรวจหน่วยปะฉะดะ ในชุดเคลื่อนที่เร็วรถจักรยานยนต์ช็อปเปอร์ ร่วม 100 คนมารักษาการ พร้อมมีกำลังจาก อส. สังกัดกระทรวงมหาดไทยในชุดซาฟารีนับสิบคน โดยมีกลุ่มผู้สนับสนุนนายเนวิน ชิดชอบ เดินทางมานับร้อยคน แต่ไม่กล้าส่งเสียงเออะโวยวายเพราะทางศาลมีป้ายเตือนไว้ ที่ข้างตึกมีรถตู้สีขาวติดไซเรน ของเรือนจำกลางกรุงเทพ มาจอดรอรับผู้โดยสาร หากมีคำพิพากษาจำคุก จนเวลา 13.30 น.บรรดาจำเลยที่เป็นนักการเมือง ได้เดินทางมาศาลทุกคน ยกเว้นนายอดิศัย โพธารามิก และ มีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กับพวก เดินทางมาให้กำลังใจ อาทิ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม นายสนธยา คุณปลื้ม นายยรรยง พวงราช เป็นต้น ส่วนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ พร้อมอาวุธได้รออยู่ด้านล่างของอาคาร ต่อมาเวลา 14.15 น. ศาลได้เริ่มอ่านคำพิพากษา และเรียกชื่อจำเลยเรียงคน เมื่อจำเลยรายตัวครบยกเว้น นายอดิศัย ส่วนทนายผู้ร้องทนายจำเลยมาศาล ศาลจึงเริ่มอ่านคำพิพากษา ว่า โจทก์ฟ้องว่าเมื่อเดือน ก.ค.2546 จำเลยกระทำผิดหลายข้อหา หลายกรรม โดยจัดทำโครงการกล้ายาง 90 ล้านต้น และมีมติคชก. ขัดต่อระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการพัสดุ และขัดต่อกฎหมาย มีผลประโยชน์ เอื้อประโยชน์ให้เอกชนผู้เสนอราคา จำเลยปฏิเสธฟ้อง และต่อสู้มาหลายประเด็น จึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และทำให้จำเลยหลงต่อสู้หรือไม่ เห็นว่าฟ้องโจทก์บรรยายการกระทำของจำเลยถึงลักษณะการกระทำ ว่าจำเลยคนใด กระทำผิดกับใคร ซึ่งทำให้จำเลยเข้าใจได้ดี ฟ้องโจทก์ จึงไม่ขัด ป.วิอาญา มาตรา 158 มีประเด็นพิจารณาอีกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ฟ้องมาเป็นคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นการกระทำของเจ้าพนักงาน และเอกชนที่ร่วมกระทำผิด ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณา แม้อัยการสูงสุดมีความเห็นต่างกับ คตส. และ คตส.โดย ป.ป.ช. ขอยื่นคำร้องคดีนี้เอง โดยมีกรรมการ คตส. ลงนามในฟ้องเกินกว่ากึ่งหนึ่ง จึงชอบแล้ว และโจทก์ฟ้องภายในอายุความ การสอบสวนการแจ้งข้อกล่าวหา ของ คตส. ก็ชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ซึ่งตั้งขึ้นตามคำสั่ง คมช.ฉบับที่ 30 ข้อ 11 ลงวันที่ 12 ก.ย. 49 คตส. จึงมีอำนาจตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบและไต่สวนพยาน จึงไม่ต้องเอาพยานมาไต่สวนซ้ำซ้อน และ ป.ป.ช.มีอำนาจเข้าเป็นคู่ความในคดีนี้แทน คตส. ที่หมดอายุลงได้ ป.ป.ช.มีอำนาจฟ้องคดีนี้ มีประเด็นต้องพิจารณาว่า จำเลยที่ 4 กับ 19 กระทำผิดหรือไม่ เห็นว่าโครงการเป็นนโยบายของรัฐ ตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร ไม่ใช่โครงการของจำเลยที่ 4 กับ 19 โดยลำพัง จำเลยต่อสู้ว่า ต้องหาแหล่งเงินจาก คชก.คือ ค่าธรรมเนียมส่งออกยาง มาทำโครงการ และคิดว่าสามารถนำเงินใช้ได้ ไม่ต้องรองบประมาณเพราะจะล่าช้า จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 4 กับ 19 ปกปิดการนำเงินของค่าธรรมเนียมส่งออกยางมาใช้แต่อย่างใด เมื่อ คชก. เห็นว่ามีความจำเป็นต้องช่วยเหลือเกษตรกรภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ หากอยู่ในระเบียบราชการ ก็สามารถทำได้ พื้นที่ปลูกยางมี 1 ล้านไร่ ราคายางกำลังปรับตัวสูง หากช่วยเกษตรกรปลูกยางจะทำให้มีรายได้เข้าประเทศมากขึ้น ดังนั้น จึงมีเหตุสมควรที่จะทำไปโดยยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ห้ามเอาเงินกองทุนรวมไปทำโครงการ การทำกล้ายางจึงอยู่ในวัตถุประสงค์ของรัฐ ที่ว่ามติ คชก. ที่เอาเงินค่าธรรมเนียมส่งออกยางมาใช้ทำได้หรือไม่ พยานเบิกความว่า สามารถทำได้ เป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้แล้วเอามาคืนในกำหนด ไม่ใช่เอาเงินที่มีอยู่ในปัจจุบันไปใช้ ไม่ขัดระเบียบสำนักนายกฯ จึงไม่ขัดกฎหมาย จำเลยกลุ่มที่ที่เป็นกรรมการคชก.จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง มีประเด็นต้องพิจารณาว่า จำเลยที่ 19 มอบให้จำเลยที่ 20 ถึง24 ไปดำเนินการผิดกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าเงื่อนไขของผู้ประกวดราคา ผู้เสนอราคาต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามระเบียบ เป็นการเปิดกว้างให้แข่งขันอย่างเสรี ผู้ที่เสนอราคาต้องมีเงินประกัน 72 ล้านบาท และมีต้นยาง 90 ล้านต้น การกำหนดเงื่อนไขนี้ไม่ได้ทำให้รัฐต้องเสียเปรียบ จำเลยที่ 20-24 แก้ไขรายละเอียดการประกวดราคาไม่ขัดระเบียบประกาศสำนักนายกฯ จึงไม่เป็นความผิดตาม พรบ.เสนอราคากับหน่วยงานของรัฐแต่อย่างใด ฟังไม่ได้ว่ากลุ่มจำเลยที่ 19,20-24 เอื้อประโยชน์ให้จำเลยที่ 30-32 แต่อย่างใด ศาลพิจารณาต่อไปว่า การกระทำของจำเลยที่ 20,22,25,26 ซึ่งเป็นข้าราชการระดับบริหาร เป็นความผิดที่ไม่ตรวจสอบคุณสมบัติของจำเลยที่ 30-32 หรือไม่ เห็นว่ากรมวิชาการเกษตร ตั้งคุณสมบัติให้ผู้เสนอราคาต้องมีต้นยางมีที่ดินเพาะต้นกล้าไม่น้อยกว่า 1 พันไร่ มีกิ่งตายางพันธุ์ดี 200 ไร่ กว่า 1 แสนต้น ครบถ้วน ผู้เสนอที่ไม่มีคุณสมบัติได้ถูกตัดไป เหลือเพียงจำเลยที่ 30-32 แสดงว่าจำเลยได้ตรวจคุณสมบัติผู้เสนอราคาไปแล้ว จำเลยไม่ได้ละเลยตรวจสอบผลประโยชน์ร่วมกันเชิงบริหารเชิงทุนของผู้เสนอราคา และส่งข้อหาให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจตามระเบียบ จำเลยกลุ่มนี้จึงไม่มีความผิด คดีมีประเด็นต้องพิจารณาว่า จำเลยกลุ่มผู้เสนอราคา คือ 30-32 กระทำผิดหรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ 30-32 มีคุณสมบัติและประสบการณ์ตามระเบียบ และไม่ได้กีดกันผู้ประกอบการรายอื่น และไม่พบว่าได้ประโยชน์ทางทรัพย์สินจากกรมวิชาการเกษตร และไม่มีการร่วมกันเสนอราคาไม่เป็นธรรม จึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง ส่วนจำเลยที่ 27 ถึง 44 ซึ่งเป็นผู้กระทำการแทนบริษัทผู้เสนอราคาทั้งสามแห่ง มีความผิดตาม พรบ.เสนอราคาฯหรือฮั้วกันหรือไม่ เห็นว่า โจทก์อ้างว่าจำเลย มีการถือหุ้นไขว้กันและมีผลประโยชน์ร่วมกันในการเสนอราคา ข้อเท็จจริงกลับฟังว่า พวกจำเลยไม่ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจและไม่ได้ถือหุ้นบริษัทจำเลย จึงไม่มีอำนาจไปบริหารจัดการอะไรได้ ที่จะไปเสนอราคาฮั้วกันได้ ไม่พบว่ามีการเอากล้ายางของอีกแห่งไปให้อีกแห่ง พยานฟังไม่ได้ว่าจำเลยแกล้งยื่นซองประกวดราคา เพื่อฝ่าฝืนกฎหมาย และมีประเด็นสุดท้ายว่าจำเลยกลุ่มนี้มีความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่ เห็นว่า จำเลยไม่ทราบว่าเกษตรกรบางรายใช้เอกสารปลอมในการเสนอส่งต้นกล้ายาง จำเลยมีพื้นที่พร้อมปลูกกล้ายางจริง จึงขาดเจตนาทุจริต และไม่ต้องับผิดชอบใช้ค่าเสียหายแก่กองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง เมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้ง 44 กระทำผิดตามฟ้อง จึงพิพากษาว่า จำเลยไม่มีความผิดตามฟ้องพิพากษายกฟ้อง ส่วน นายอดิศัยไม่มาศาล ถือว่ารับทราบคำพิพากษาแล้ว ด้าน นายเนวิน เปิดเผยหลังฟังคำพิพากษาว่า คดีเป็นไปตามคำพิพากษา นายเนวิน เริ่มเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหล และ กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเน้นย้ำว่า ต่อไปนี้อีก 2 ปี ต้นยางนับล้านต้นจะเติบโต สร้างรายได้แก่พี่น้องเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ และนำรายได้สู่ประเทศชาติ ตนเอง นับแต่นี้ไปจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ จนกว่าชีวิตจะสิ้น ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งมีสีหน้าดีใจ ผู้สื่อข่าวขอสัมภาษณ์นายสมคิด ก็ได้แต่ดีใจจนพูดไม่ออก แต่โบกมือให้สื่อมวลชนแทน ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/pol/34535 |