ตัวอย่าง คำฟ้องบัตรเครดิต
ข้อ ๑. โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร รายละเอียดปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือรับรองนิติบุคคล เอกสารท้ายคำฟ้อง ๑
โจทก์มอบอำนาจให้ นาย/นาง/นางสาว ....................................................... เป็นผู้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแทน และมอบอำนาจช่วงให้บุคคลอื่นดำเนินคดีแทนได้ รายละเอียดปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายคำฟ้อง ๒
คดีนี้ ผู้รับมอบอำนาจได้มอบให้บุคคลผู้มีรายชื่อตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ เป็นผู้รับมอบอำนาจช่วง ในการฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์ รายละเอียดปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจช่วง เอกสารท้ายคำฟ้อง ๓
ข้อ ๒. โจทก์ประกอบธุรกิจเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อประเภทบัตรเครดิตแก่บุคคลทั่วไป โดยเป็นผู้ออกบัตรเครดิต เรียกว่า “บัตรสินเชื่อ ........................................................” ให้แก่ผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกกับโจทก์ เมื่อสมาชิกมีความประสงค์จะซื้อสินค้า หรือใช้บริการอื่นใด สมาชิกสามารถนำบัตรดังกล่าวไปแสดงต่อบุคคล นิติบุคคล หรือร้านค้าต่างๆ ซึ่งตกลงรับบัตรที่โจทก์ออกให้ โดยไม่ต้องชำระค่าซื้อสินค้า หรือค่าใช้บริการอื่นใด เป็นเงินสด ซึ่งโจทก์จะเป็นผู้ชำระแทนสมาชิก และจะเรียกเก็บจากสมาชิกในภายหลังเป็นรายเดือน โดยส่งใบแจ้งยอดบัญชีซึ่งแสดงว่าสมาชิกได้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการในแต่ละครั้งไปด้วย นอกจากนี้สมาชิกยังนำบัตรไปแสดงเพื่อขอรับเงินสดจากสาขาของโจทก์ในต่างประเทศและนำไปถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ ที่ ธนาคาร.................................... โดยผ่านเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ ซึ่งสมาชิกจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการถอนเงินสดจากธนาคารครั้งละ .................................... บาท ต่อการถอนเงินไม่เกิน.................................... บาท
ข้อ ๓. เมื่อวันที่ ..................................จำเลยได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกกับโจทก์ โดยตกลงจะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในคำฟ้องข้อ ๒. รวมทั้งระเบียบ ข้อบังคับ และเงื่อนไขอื่นๆที่โจทก์ได้ออกเกี่ยวกับการใช้บัตรและข้อตกลงด้วยว่า เมื่อโจทก์ออกเงินเพื่อชำระหนี้แทนจำเลยไปแล้ว จำเลยจะต้องชำระเงินคืนแก่โจทก์ภายในวันที่ระบุไว้ในใบแจ้งยอดบัญชีรายเดือน หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ ในกรณีที่มีวงเงินคลับเพย์เม้นท์ จำเลยยอมชำระเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ ๒.๓ ต่อเดือนของยอดหนี้ที่มีอยู่ในวงเงิน แต่ถ้าในกรณีที่ไม่มีวงเงินคลับเพย์เม้นท์ และหรือจำเลยใช้บัตรเกินวงเงินที่ได้รับอนุมัติ จำเลยยอมชำระเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ ๕ ต่อเดือน ของยอดหนี้ค้างชำระทั้งหมดหรือยอดหนี้ส่วนที่เกินวงเงิน ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยจะคิดคำนวณนับถัดจากวันครบกำหนดที่จะต้องชำระตามใบแจ้งยอดบัญชีเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ รายละเอียดปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายใบสมัครและกฎระเบียบข้อบังคับการเป็นสมาชิก เอกสารท้ายคำฟ้อง ๔ และ ๕ ตามลำดับ ซึ่งโจทก์ได้ตกลงรับจำเลยเข้าเป็นสมาชิก ณ สถานที่ตั้งของสำนักงานโจทก์ โดยออกบัตรหมายเลข ……………………….. ให้กับโจทก์
ข้อ ๔. เมื่อจำเลยได้เข้าเป็นสมาชิกกับโจทก์แล้ว จำเลยได้นำบัตรที่โจทก์ออกให้ไปใช้ตามข้อตกลงหลายครั้ง และโจทก์ได้ชำระเงินแทนจำเลยทุกครั้ง หลังจากนั้นจึงได้ออกใบแจ้งหนี้ให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยบิดพลิ้วไม่จัดการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้โดยครบถ้วน ซึ่งโจทก์ได้ติดต่อทวงถามจากจำเลยแล้ว แต่จำเลยกลับเพิกเฉยไม่ยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนมีหนี้ค้างชำระเฉพาะที่นำมาฟ้องเป็นคดีนี้ ตั้งแต่เดือน ......................... ถึงเดือน................................ ปรากฏ ณ วันที่ .............................. เป็นเงินรวมยอดหนี้ทั้งสิ้น ........................ บาท แยกเป็นเงินต้นจำนวน ........................... บาท และเป็นเบี้ยปรับจำนวน ............................ บาท ซึ่งมีกำหนดชำระภายในวันที่ ............................................ ดังรายละเอียดปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายใบแจ้งยอดบัญชี เอกสารท้ายคำฟ้อง ๖
การที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ทีค้างชำระตามใบแจ้งยอดบัญชีเป็นเงินจำนวน ............................ บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมทั้งชดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ในต้นเงิน ............................... บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ครบกำหนดชำระหนี้ครั้งสุดท้ายคือวันที่ .................................. คิดคำนวณถึงวันฟ้องเป็นจำนวนเงิน ..................... บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ............................... บาท ซึ่งโจทก์ไม่สามารถจะบังคับจำเลยได้ จึงต้องฟ้องเป็นคดีนี้
อนึ่ง การรับสมัครสมาชิกบัตรเครดิตและการรับชำระหนี้จากจำเลย อันถือเป็นมูลเหตุแห่งคดีนี้นั้น เกิดขึ้น ณ ที่ตั้งสำนักงานของโจทก์ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลนี้
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด