VOIP ยกระดับบริการค่าย Virgin


630 ผู้ชม


เวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ กรุ๊ป ไม่ได้เป็นธุรกิจหน้าใหม่ จึงไม่น่าแปลกใจที่บริษัทนี้กำลังเริ่มดำเนินการควบรวมเครือข่ายไอพี เพื่อสร้างความรู้สึกที่ดีขึ้นในการช้อปปิ้งของลูกค้า รวมไปถึงการส่งข้อมูลและเสียงให้กับลูกค้าด้วย

พื้นที่โฆษณา  
สนใจลงโฆษณา ติดต่อ โทร.0-2642-3400 ต่อ 4613

ในปีแรกที่การดิพลอยเสร็จสิ้นสมบูรณ์นั้น บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ถึง 700,000 ดอลลาร์จากเครือข่ายที่ลงทุนไป 330,000 ดอลลาร์ และเจ้าหน้าที่ของเวอร์จิ้นได้ประมาณการว่าอินฟราสตรัคเจอร์ไอพีจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของบริษัทลงได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อปีเลยทีเดียว
เวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ กรุ๊ป ตั้งอยู่ในอเมริกาเหนือ โดยเป็นสำนักงานสาขาของเวอร์จิ้น กรุ๊ปในลอนดอนภายใต้การดำเนินงานของริชาร์ด บรานสัน ทั้งนี้ เวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ที่ตั้งอยู่ที่ลอส แองเจลิสเป็นผู้ดูแลเวอร์จิ้น เมกะสโตร์จำนวน 14 แห่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งร้านที่มีขนาดใหญ่นั้นจะมีปริมาณสินค้าที่เป็นซีดีประมาณ 250,000 แผ่น ดีวีดี 11,000 แผ่น และเกมส์อีก 7,000 แผ่น นอกจากนี้ บริษัทยังควบคุมดูแลเว็บไซต์ของเวอร์จิ้น เมกะสโตร์ (www.virginmega.com) ที่เป็นการดำเนินงานร่วมกับ Amazon.com ที่เป็นหุ้นส่วนอีกด้วย
เวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมน์มีพนักงานมากกว่า 1,500 คน และมียอดจัดจำหน่ายถึง 200 ล้านดอลลาร์ในปี 2005
สองปีต่อมา เวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ได้ดำเนินการระบบตู้โทรศัพท์สาขาแบบอนาล็อกในร้านค้าของบริษัทและที่สำนักงานใหญ่ โดยในขณะนั้นพนักงานในบริษัททุกสาขากำลังใช้ระบบบนเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณกันอยู่ จึงส่งผลให้เกิดข้อจำกัดในความสามารถด้านวอยซ์เมล์ และเสียค่าโทรศัพท์ทางไกลในอัตราที่สูงมาก
นอกจากนี้ เวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ยังขาดแคลนผู้ดูแลอินฟราสตรัคเจอร์ภายในที่ใช้ระบบตู้โทรศัพท์สาขาในร้านค้าของบริษัทอีกด้วย และทุกครั้งมีปัญหาเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มไดเรคทอรีของพนักงาน การย้ายหรือเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ ทางเวอร์จิ้นก็จะต้องโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือไปยังบริษัทที่ให้บริการส่วนท้องถิ่น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฟอร์ทและคณะทำงานของเขาจึงตัดสินใจที่จะมองหาตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า และในขณะเดียวกันนั้นเอง ฟอร์ทก็กำลังพิจาณาที่จะปรับเปลี่ยนผู้ให้บริการข้อมูลอยู่ด้วย
และในที่สุดฟอร์ทก็มองเห็นทางออก นั่นคือการควบรวมทราฟิกของเสียงและข้อมูลเข้าด้วยกันในหนึ่งเครือข่ายไอพี ซึ่งเขาก็วาดโครงการไว้ว่า เขาจะสามารถประหยัดงบประมาณในการบริหารและการบริการของระบบโทรศัพท์ได้จากแนวทางที่เขามองไว้
เท่านั้นไม่พอเขายังตั้งเป้าหมายไว้อีกด้วยว่า ในอนาคตเขาสามารถที่จะลงทุนเพิ่มเติมด้วยการใช้เครือข่าย WAN ของบริษัทในการสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับลูกค้าในเวอร์จิ้น เมกะสโตร์ ด้วยการส่งคอนเทนต์แบบดิจิตอลไปยังคีย์ออส และส่งคอนเทนต์มัลติมีเดียไปยังหน้าดิสเพลย์ของร้านอีกต่างหาก
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ฟอร์ทได้เสนอแผนการทางธุรกิจของเขาต่อคณะกรรมการเวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ และแน่นอนว่าแผนดังกล่าวได้รับการอนุมัติ เขาบอกว่า “กุญแจสำคัญในการพิจารณาอนุมัติคือ การประมาณการณ์ของเขาที่ชี้แจงว่า ในอนาคตงบประมาณที่บริษัทประหยัดได้จากโครงการนี้สามารถนำมาใช้จ่ายสำหรับการดิพลอยเมนต์ได้ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการดิพลอยด้วยต้นทุนของตัวเอง”
ต่อจากนั้น ฟอร์ทและคณะทำงานของเขาก็เริ่มก้าวเข้าสู่กระบวนการคำนวณราคาผลิตภัณฑ์ด้วยเงื่อนไขเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น เขาต้องการผู้ให้บริการที่สามารถโต้ตอบกันได้อย่างรวดเร็ว และมีบริการในระดับที่เหนือกว่าผู้ให้บริการในปัจจุบัน และโซลูชันต้องบริหารจัดการง่าย เป็นต้น
ขั้นตอนต่อมา ฟอร์ทก็ได้พิจารณาโครงสร้างการดิพลอยเมนต์ทั้งหมดสามรูปแบบคือ โมเดล Self-contained สำหรับคณะทำงานฝ่ายไอทีของเวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนต์จะเป็นผู้รับผิดชอบ สองคือโซลูชัน Hybrid ที่ซึ่งเวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนท์จะเก็บฮาร์ดแวร์ตู้โทรศัพท์สาขาที่มีอยู่ไว้ และแปลงสัญญาณโทรศัพท์จากอนาล็อกไปเป็นสัญญาณดิจิตอลเนื่องจากเป็นการวิ่งผ่านเครือข่าย และสุดท้ายคือโมเดล Hosed ที่จะใช้ในการควบคุมไปยังผู้ให้บริการเซอร์วิส
และเนื่องจากจุดหลักของโครงการคือการแทนที่ระบบตู้โทรศัพท์สาขาของเวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนต์ โซลูชัน Hybrid จึงไม่เหมาะสมเท่าใดนัก และด้วยราคาสำหรับโมเดล Host ที่ค่อนข้างสูง ฟอร์ทจึงตัดสินใจใช้โซลูชัน Self-contained
ด้วยความที่เป็นลูกค้าของซิสโก้ ซิสเต็มส์อยู่แล้ว ฟอร์ทจึงตัดสินใจโละสวิตช์และเราเตอร์ชุดเก่ามาใช้อุปกรณ์จากซิสโก้แทน นอกจากนี้เขายังเลือกที่จะโยกย้ายเครือข่ายข้อมูลของเขาไปยัง SBC Communication และร่วมดำเนินการดิพลอยเมนต์ร่วมกับ SBC และคู่ค้าของ SBC
โครงการซึ่งเริ่มต้นในเดือนกันยายน 2005 มีกำหนดเวลาสิ้นสุดโครงการที่แน่นอน เพราะด้วยความที่เป็นบริษัทค้าปลีก เวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนท์จึงไม่สามารถเสี่ยงกับปัญหาของเครือข่ายในระหว่างฤดูการซื้อขายช่วงวันหยุดได้
เพราะฉะนั้นช่วงแรกของการดำเนินโครงการซึ่งเป็นการอิมพลีเมนต์ระบบที่ร้านในฮอลลีวู้ด และร้านไทม์ส สแควร์ในนิวยอร์ค รวมถึงการเปลี่ยนระบบศูนย์กลางเครือข่ายจากแอตแลนต้าไปยังเมืองเออวินนั้น จะต้องกระทำให้แล้วเสร็จภายในเวลาห้าสัปดาห์
ช่วงต่อมาของโครงการซึ่งเป็นการดิพลอยเมนต์ให้กับร้านค้าของบริษัทที่เหลืออยู่อีก 12 แห่งนั้น ได้เริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2006 และโครงการก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในเดือนกันยายน
ความสะดวกสบายของเวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนต์ในเมืองเออวินที่ได้รับนั้นคือ ศูนย์ปฏิบัติการโทรศัทพ์สำหรับร้านค้าทั้ง 14 แห่งของบริษัท เพราะโทรศัพท์ระบบใหม่ที่ทำงานบนอุปกรณ์ของ MCS-7835 Unified CallManager ของซิสโก้นั้นใช้ IP Contact Center Express ของซิสโก้ในการหาเส้นทางการโทรศัพท์อัตโนมัติ รวมถึงการตรวจติดตาม และมีระบบควบคุมความสมดุลของโหลด และมีความรีดันแดนซ์ในการบริหารจัดการอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ผู้บริหารไอทีได้ตัดสินใจติดตั้งอุปกรณ์แบ็คอัพให้กับระบบโทรศัพท์ของบริษัท และใช้เราเตอร์จากซิสโก้ รุ่น 2811 เป็นเกตเวย์ต่อไปยังสวิตช์เครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ ตามด้วยเราเตอร์ซิสโก้ รุ่น 1760 โดยต่อเข้ากับเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ นอกจากนี้ยังใช้เราเตอร์ระยะไกลรัน Survivable Remote Site Telephony gป็นตัวบริหารการแบ็คอัพอีกด้วย
เท่านั้นไม่พอ เวอร์จิ้นยังดิพลอย Virgin Vault Kiosks จากไอบีเอ็มอีก 200 แห่ง ซึ่งคีย์ออสที่ถูกจัดตั้งไว้ในร้านที่ฮอลลีวูดและไทม์ส สแควร์จะใช้ซอฟแวร์ที่ทางบริษัทพัฒนาขึ้นเอง โดยคีย์ออสเหล่านี้จะอำนวยความสะดวกต่อลูกค้าในการทดลองเปิดเพลง ภาพยนตร์ และเกมส์ซึ่งจัดจำหน่ายที่เวอร์จิ้น เมกะสโตร์
ข้อมูลทั้งหมดสำหรับคีย์ออสจะถูกจัดเก็บไว้ที่สำนักงานใหญ่ของเวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ในลอส แองเจลิส ซึ่งข้อมูลที่ถูกส่งมาเก็บนี้จำเป็นต้องใช้สวิตซ์ซิสโก้ รุ่น 4507 Cisco Application และซอฟต์แวร์ Content Networking โดยจะจัดเก็บข้อมูลไว้ในแคชทุกวัน ซึ่งความสามารถของแคชเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถช่วยลดความต้องการแบนวิดธ์ในเครือข่ายและวงจรของเซิร์ฟเวอร์ได้มากทีเดียว
การเก็บแคชไม่ได้เป็นเพียงวิธีการเดียวที่เวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนท์นำมาใช้เพื่อประหยัดทรัพยากรระบบเท่านั้น แต่บริษัทลดค่าใช้จ่ายในการหาเส้นทางด้วยการใช้ CallManager อีกด้วย
ในส่วนของอีเมล์นั้น เวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ใช้เอ็กซ์เชนจ์ เซิร์ฟเวอร์ 2003 และเอาท์ลุคของไมโครซอฟท์ เนื่องจากบริษัทชื่นชอบคุณสมบัติด้านยูนิฟายด์ เมสเซสจิ้ง ซึ่งอีเมล์ข้อความเสียงจะปรากฏขึ้นมาเป็นข้อความในกล่องข้อความขาเข้าของเอาท์ลุค และอนุญาตให้ผู้ใช้ตรวจสอบอีเมล์ข้อความเสียงได้เมื่อพวกเขากำลังตรวจสอบอีเมล์อยู่ด้วย
อย่างไรก็ดี ฟอร์ทไม่สามารถประมาณการณ์ใช้ประโยชน์จากคีย์ออสที่ร้านไทม์ส สแควร์ได้เลย เขาบอกว่า ตอนแรกเขาคิดว่าจะมีการใช้คีย์ออสเพียงแค่ 30 % แต่เอาเข้าจริงกลับมีการใช้มากถึง 70 % เห็นได้ว่าฟอร์ทได้ประมาณความต้องการของแพ็คเกตในแต่ละทรานแซคชันได้อย่างถูกต้อง แต่เขาไม่สามารถประมาณจำนวนของทรานแซคชันได้เลย ฟอร์ท ย้ำให้ซีไอโอตรวจวัดปริมาณการโทรศัพท์อย่างรอบคอบ
ทั้งนี้ฟอร์ทบอกว่า เขาได้ติดตามผลการประมาณการประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีแรก ซึ่งสามารถประหยัดได้ถึง 700,000 ดอลลาร์ และเขาก็คาดหวังว่าจำนวนเงินนี้จะเพิ่มขึ้นโดยบริษัทจะสามารถประหยัดได้ถึง1 ล้านดอลลาร์ต่อปีในอนาคตอันใกล้นี้
ในขณะนี้ เวอร์จิ้น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ได้เจรจากับผู้จัดจำหน่าย Third-party เกี่ยวกับการพัฒนาแอพพลิเคชันสำหรับแฮนเซ็ตไอพีอยู่ ฟอร์ทบอกว่า เขาอาจจะใช้จอภาพบนแฮนเซ็ตไอพีของซิสโก้ในเวอร์จิ้น เมกะสโตร์ ในการแสดงข้อมูลรายละเอียดของเพลงหรือภาพยนตร์ล่าสุดสำหรับการจัดจำหน่าย เพื่อให้การดำเนินการขายสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวและส่งผ่านไปยังลูกค้าได้โดยง่าย
”แผนกลยุทธที่สำคัญของเราคือ การช่วยแก้ไขปัญหาการสื่อสารที่เกิดขึ้น” ฟอร์ด ชี้แจง “ถึงแม้ว่าการติดต่อสื่อสารที่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก แต่ถ้าพวกเขามีเครื่องมือที่ไม่เหมาะสม ก็จะเป็นการยากที่จะจัดการธุรกิจให้ดีได้ ซึ่งตอนนี้เราอยู่ในระหว่างขั้นตอนการระบุปัญหาที่เกิดขึ้น และวางแนวทางที่จะก้าวต่อไปในอนาคต”


eWEEK

ฉบับที่ 186 ปักษ์หลัง ตุลาคม 2549
อ่านบทความอื่นๆ >>

อัพเดทล่าสุด