ชีวิตฉันคือข้าว เสาวนา ปิยะพิสุทธิ์ พยาบาลชำนาญการ 8 ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี [email protected]
ชีวิตฉันเป็นธัญพืชถูกขนานนามว่า “ข้าว” ซึ่งเจริญเติบโตจากต้นกล้าเล็ก ๆ กลายเป็นต้นข้าวใบสีเขียวสดใส มองคล้ายผืนพรมสีเขียวอ่อนปูลาดตามพื้นนา ใต้ท้องฟ้าอันสดใส และพลิ้วสะบัดใบเคลื่อนไหวไปมาเล่นล้อกับสายลม แสงแดด ด้วยความอ่อนโยนและนุ่มนวล สร้างสุนทรียอารมณ์ และทัศนียภาพอันสวยงามยากที่จะวาดให้เหมือนจริง นาบางแห่งจะมีรูป “หุ่นไล่กา” ยืนตระหง่านอยู่ในทุ่งนาฤดูข้าวออกรวง ซึ่งชาวนาช่วยกันประดิษฐ์รูปคนยืนกางแขนโดยใช้ไม้และฟางข้าวทำเป็นโครงศีรษะ ลำตัว แขนขา และใบหน้า ใช้ผ้าขาวม้าคาดพุง ใส่งอบเหมือนชาวนาจริง อันแสดงถึงความฉลาดทางภูมิปัญญาไทยสมัยโบราณ สมัยนี้ต้องเรียกว่า “นวัตกรรมแห่งศิลป์” ชาวนาสร้างหุ่นไล่กาขึ้นเพื่อหลอกฝูงนกกาให้เห็นว่ามีคนอยู่ในท้องนาจริงจึงไม่กล้าบินลงจิกรวงข้าวของฉันให้เกิดความเสียหาย |
|
ระยะผ่านไปประมาณ 4 เดือน ฉันเจริญเติบโตแข็งแรง เริ่มออกรวงสีเหลืองอร่ามทั่วท้องทุ่งนา ทำให้คิดถึงบทกลอนของคุณวาณิช จรุงกิจอนันต์ ซี่งเป็นบทกลอนคู่ชีวิตจิตใจฉันเสมอมา “ทุกรวง ทุกเม็ดเรียง จึงแลเหลืองอร่ามราย ทุกข์สร้าง ทุกข์แรงกาย ที่สร้างทุ่งเป็นสีทอง” นั้นหมายถึงฉันสามารถสร้างเมล็ดข้าวจากความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดิน ความบากบั่นพยายาม ความอดทน เหนื่อยยาก และความเอาใจใส่ของชาวนาอย่างได้สมบูรณ์พร้อมที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ เมื่อถึงฤดูเกี่ยวข้าวสมัยโบราณจะมีประเพณีที่เรียกว่า “ลงแขก” ชาวบ้านหมู่บ้านละแวก เดียวกันสร้างความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ข้าวในนาของใครสุกก่อนก็จะรวมกลุ่มช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าวไว้ในยุ้งฉาง โดยไม่ต้องเสียค่าแรงงาน แต่สมัยนี้ฉันกลับรู้สึกเหงาไปมากเหมือนถูกทอดทิ้งให้ว้าเหว่ ชาวนาเริ่มใช้เครื่องจักรกลแทนแรงงาน ฉันจึงพบความจริงว่าหากความเจริญด้านเทคโนโลยีเข้าสู่หมู่บ้านใด วัฒนธรรม ประเพณี และจิตวิญญาณของคนในหมู่บ้านจะน้อยลงหรือถูกทำลายไป ซึ่งฉันกำลังค้นหาคำตอบให้กับตนเองจนกระทั่งถึงทุกวันนี้... พ้นจากฤดูเก็บเกี่ยว ชาวนาจะนวดข้าวเปลือกให้หลุดออกจากรวง และนำเมล็ดข้าวเปลือกตำในครก เปลือกข้าวปริแตกกะเทาะออกจากเมล็ด จากนั้นนำเมล็ดข้าวใส่กระด้งฟัดข้าวโยนตัวฉันให้สูงลอยจากกระด้ง เปลือกข้าวสีเหลืองสุกถูกปลิวร่อนล่องลอยตามแรงฟัดและกระแสลม เหลือแต่เมล็ดข้าวสารสีขาวปนเหลืองอ่อนในกระด้งที่เรียกว่า “ข้าวกล้อง” อันเป็นข้าวที่มีคุณประโยชน์เพราะจมูกข้าวยังติดกับเมล็ดข้าวและมีวิตามินบีสูง ใช้รักษาโรคเหน็บชา |
|
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าข้าวกล้องเป็นอาหารคนจน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชตรัสว่า “ใครเขาเข้าใจว่าข้าวกล้องเป็นอาหารคนจน เรากินข้าวกล้อง เราก็เป็นคนจน” พระองค์ท่านทรงมีพระประสงค์ให้คนไทยรับประทานข้าวกล้อง นอกจากนี้ข้าวยังมีคุณสมบัติเป็นยารักษาโรคด้วยน้ำข้าวอุ่น ๆ ดื่มแล้วชุ่มคอ แก้ร้อนในกระหายน้ำ อาเจียนเป็นเลือด ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร และน้ำข้าวสุกเย็นสามารถใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารเหลวเพื่อให้อาหารทางสายยางสำหรับผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี ส่วนน้ำซาวข้าวจะมีรสชุ่มเย็น บรรเทาความร้อนของร่างกาย กระวนกระวาย หรือกระหายน้ำ อาหารไม่ย่อยและแก้พิษได้ แต่ต้องมั่นใจเสียก่อนว่าข้าวสารนั้นปลอดภัย สะอาด ไม่มียาฆ่าแมลงตกค้าง ฉันมีหลายสายพันธุ์ ซึ่งชื่อต่างกันและชอบอากาศไม่เหมือนกัน ฉันจึงขอร้องให้โปรด ส่งเสริมการชลประทาน รักษาที่ดินผืนนาอันมีค่าให้เป็นมรดกตกทอดสู่รุ่นลูกหลานต่อไป ไม่เปลี่ยน แปลงที่ดินผืนนาเป็นทรัพย์สินอย่างอื่น และกำหนดวิธีการคืนผลกำไรให้กลับสู่ชาวนาด้วยความยุติธรรม เพื่อให้ฉันได้มีโอกาสเจริญเติบโตออกจากเมล็ด หยั่งรากลงผืนนา ผลิใบเป็นต้นกล้าอ่อนเพื่อชาวนานำไปดำปลูก พร้อมทั้งช่วยให้ชาวนามีอาชีพทำกินและเป็นกระดูกสันหลังของชาติ |
|
หากมนุษย์เกิดกระดูกสันหลังพิการแล้วจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขสบายได้อย่างไร ซึ่งนั้นย่อมหมายความว่าประเทศชาติขาดชาวนาไทยไม่ได้เหมือนกัน ทุกวันนี้ฉันรู้สึกเป็นเพื่อนแท้กับชาวนาเพราะฉันเกิดจากหยาดเหงื่อแรงงาน การไถ การหว่าน การดำปลูก และการทะนุถนอมให้ฉันเจริญเติบโตงอกงามบนแผ่นดินไทย มากกว่าถูกสั่งนำเข้าจากต่างประเทศ ฉันภาคภูมิใจในความเป็นข้าวไทย สินค้าออกอันดับหนึ่งของประเทศ ที่ทำให้ประเทศเจริญมั่นคง และยังหมายรวมถึงการรวมวัฒนธรรม ประเพณีและจิตวิญญาณของมนุษย์ไว้ในเมล็ดข้าวทุกเม็ด ฉันยังคงออกรวงสร้างเมล็ดข้าวหล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ตลอดไป และถึงแม้กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไปหลายร้อยหลายพันปี ฉันก็ยังมีชีวิต เป็น “ข้าว” ทำหน้าที่รับผิดชอบอย่างซื่อสัตย์ไม่มีการคอรัปชั่น ไม่รับซองใต้โต๊ะ และไม่ทำลายประเทศชาติอย่างแน่นอน รวงข้าวสั่นระริก พลิ้วพลิกรวงยามลมไหว หล่อเลี้ยงชีวิตไทย ทุกสมัยนิรันดร์กาล .............ชีวิตข้าว................ |