ความร่วมมือของคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯที่ออกไปช่วยทำความสะอาดใจกลางเมืองแถบสี่แยกราชประสงค์และบริเวณใกล้เคียง ต่อจากนี้คงต้องเป็นเรื่องของกระบวนการเยียวยา และการช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายย่อยที่โอกาสและทางเลือกจะน้อยกว่ารายใหญ่ รัฐบาลต้องเร่งรีบจัดมาตรการที่ทำให้เขาเหล่านั้นมีที่ทำมาหากิน กลับมายืนบนขาตัวเองได้ ระหว่างที่รอการซ่อมแซมอาคารห้างร้านที่ถูกเผาทำลายไป
หน้าที่ 1 - ฟื้นฟูกรุงเทพ
ฟื้นฟูกรุงเทพ
เหตุการณ์ความรุนแรงระดับ “เผาบ้านเผาเมือง” ที่เกิดขึ้นภายหลังการยุติการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) อันเป็นผลจากปฏิบัติการ “กระชับพื้นที่” ของรัฐบาล ส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนกรุงเทพฯและคนไทยทุกคนอย่างมาก
และก็ดีใจที่เห็นความร่วมมือของคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯที่ออกไปช่วยทำความสะอาดใจกลางเมืองแถบสี่แยกราชประสงค์และบริเวณใกล้เคียง ต่อจากนี้คงต้องเป็นเรื่องของกระบวนการเยียวยา และการช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายย่อยที่โอกาสและทางเลือกจะน้อยกว่ารายใหญ่ รัฐบาลต้องเร่งรีบจัดมาตรการที่ทำให้เขาเหล่านั้นมีที่ทำมาหากิน กลับมายืนบนขาตัวเองได้ ระหว่างที่รอการซ่อมแซมอาคารห้างร้านที่ถูกเผาทำลายไป
เชื่อว่าในเวลาอันสั้น ตึกรามอาคารห้างสรรพสินค้าจะฟื้นกลับมาดังเดิม แถมใหม่และสวยงามกว่าเก่า รวมถึงจิตใจของ “คนกรุงเทพฯ” ที่อกสั่นขวัญหาย เมื่อการค้าขายเริ่มต้น โรงเรียนเริ่มเปิด ชีวิตปกติของคนกรุงดำเนินต่อได้ “ขวัญ” นั้นก็จะกลับมาด้วย พร้อมกับความลืมเลือนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ที่น่าห่วงมากกว่า คือ ตึกอาคารที่พังพินาศ สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ชีวิตของคนที่สูญเสียไป ไม่สามารถเรียกคืนมาได้!!
ในช่วง 2 เดือนแห่งการชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” มีเหตุการณ์รุนแรงในวันที่ 10 เมษายน และระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม ที่ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตถึง 85 คน และผู้บาดเจ็บอีกนับร้อย ซึ่งปัจจุบันท่าทีของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังคง “เหมารวม” ว่าทั้งหมดนั้นเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่ “ต่อสู้” กับเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ
ถึงแม้ว่า นายอภิสิทธิ์ จะเพิ่มเรื่องการ “ฟื้นฟูจิตใจ” ไว้ในแผนปรองดอง 5 ข้อไว้ แต่ดูเหมือนจะเน้นฟื้นฟูจิตใจของคนที่สูญเสียทรัพย์สิน มากกว่าผู้ทีสูญเสียลูกหลาน สามีหรือภรรยา ครอบครัวญาติมิตร ซึ่งทำให้เป็นเรื่องที่ “ฝังใจ” ผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมที่มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ และผู้ที่เห็นเพื่อนและผู้ร่วมประท้วงที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ถูกยิงร่วงลงไปต่อหน้าต่อตา
และจากคำบอกเล่าก็มีความชัดเจนว่ากระสุนที่กระทบนั้นมาจากมุม “สูง” และมาจากมุม “แนวราบ” แต่ทั้งสองมุมมาจากฝากที่ทหารตั้งกองกำลังอยู่!!
แน่นอนว่า หากมีผู้กระทำผิดกฎหมายในหมู่ผู้ประท้วง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้อาวุธสงคราม การใช้ความรุนแรง การทำลายทรัพย์สิน จุดไฟเผาอาคารสถานที่ต่างๆ ต้องจับกุมและดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุดไม่มีข้อยกเว้น แต่ไม่ว่าจะกระทำผิดอย่างไร ความพยายามแรกต้องเป็นการเข้าจับกุมเพื่อดำเนินคดี ไม่ใช่ให้อำนาจสั่งยิงใครตามอำเภอใจ ยกเว้นจวนตัวต้องป้องกันตนเองในคำจำกัดความที่แคบที่สุด เพื่อไม่ให้มีการ “ฆาตกรรม”
โดยต้องคำนึงเสมอว่า “ทุกชีวิตมีค่า แม้ชีวิตเดียวก็ไม่ควรให้สูญเสีย” ดังนั้นจึงต้องมีการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงถึงสาเหตุการเสียชีวิตของแต่ละคน ทุกชีวิตที่เสียไปต้องมคำอธิบาย รัฐบาลและคนไทยทุกคนจะปล่อยให้มีแต่การฟื้นฟู “หน้าฉาก” ซ่อมแซมอาคารที่ถูกเผาไหม้เสร็จ แต่ “ปัด” ปัญหาไว้ “ใต้พรม” ไม่ได้
เราจะเพียง “ซ่อม” กรุงเทพฯ แล้ว “ซ่อน” ปัญหาของคนชนบทรากหญ้าไม่ได้!!
การ “ซ่อม” และ “ฟื้นฟู” จิตใจของประชาชนที่เป็น “คนเสื้อแดง” ต้องเข้าใจ “จิตใจ” และ “แนวคิด” ของคนเหล่านั้น ของแต่ละคนที่มาร่วมประท้วง เหตุที่มาเสี่ยงชีวิต เหตุที่ทิ้งบ้านช่อง และอย่าตอบเพียงเพราะเชื่อว่าพวกนี้ “รับจ้าง” มา เพราะไม่มีใครในโลกนี้ที่ “รับจ้างมาตาย” หรอกครับ ที่สำคัญคืออย่าคิดมาตรการฟื้นฟูที่ใช้ “เงินฟาดหัว” ในทำนองว่า “ให้แล้ว ช่วยแล้ว จะมาเอาอะไรอีก” หากเป็นเช่นนั้นจะไม่ใช่การปรองดอง ไม่ใช่การฟื้นฟู แต่จะเป็นการสร้างความเจ็บแค้นรอแต่วันที่จะปะทุขึ้นมาอีก ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากกว่าที่ผ่านมา
ก้าวย่างของรัฐบาลจึงไม่ควรเป็นท่าทีของการ “ไล่ล่า” และ “กวาดล้าง” แต่ต้องเป็นท่าทีของการลดโทนลดภาษาที่นำไปสู่การเผชิญหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งต้องไม่ใช้อำนาจของ พรก.ฉุกเฉินเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เลิกการปิดกั้นสื่อและการ “บล็อก” อินเตอร์เน็ตเว็บไซด์ ตลอดจนการแสดงความรับผิดชอบและการเสียสละ ยอมรับปัญหาและร่วมกับทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น แบบ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา”
และเร่งนำกลไกประชาธิปไตยให้กลับมา ไม่ใช่พึ่งอำนาจ พรก. ฉุกเฉิน ที่นับวันจะยิ่งสร้างความแตกแยกในสังคมไทย!!