โลกอันกว้างใหญ่ เรามันแค่ใคร !!!
ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของ
สถาบันนวัตกรรมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ และ วิชาการดอทคอม
www.il.mahidol.ac.th
โลกอันกว้างใหญ่ เรามันแค่ใคร
เรื่อง โดย กาญจนิดา กิตติสุบรรณ
หลายคนคงเคยได้ยินนิทานเรื่อง เศรษฐีกับสีเขียว กันมาบ้างแล้ว วันนี้คงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ท่านทั้งหลายที่เคยคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่เหลือเกิน ได้เปลี่ยนความคิด เพราะตัวท่านเองก็เป็นแค่ใครคนหนึ่งบนโลก โลกที่ช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนเจ้าอารมณ์ และมักจะปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งเขาได้ประกาศว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่คนที่สามารถรักษาอาการปวดศีรษะของเขาได้ มีหลายๆ คน รวมทั้งหมอที่เชี่ยวชาญต่างก็มาและเสนอแนะวิธีรักษาโรคปวดศีรษะของเศรษฐีผู้นี้ แต่ไม่มีใครสามารถทำให้เขาดีขึ้นได้
อยู่มาวันหนึ่ง มีฤาษีคนหนึ่งมาเยี่ยมท่านเศรษฐี เศรษฐีได้บอกเกี่ยวกับโรคประจำตัวของเขาให้ฤาษีทราบ
ฤาษีบอกท่านเศรษฐีว่า
“โธ่เอ๊ย! วิธีรักษาอาการปวดหัวของเจ้ามันง่ายนิดเดียว นั่นก็คือเจ้าจะต้องมองทุกอย่างให้เป็นสีเขียวตลอดเวลา แล้วอาการโรคของเจ้าจะหายไป” เศรษฐีดีใจมากและคิดว่าสิ่งที่ฤาษีแนะนำเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก
วันรุ่งขึ้น ท่านเศรษฐีจึงจ้างช่างทาสี หลายร้อยคนมาช่วยกันทาสีของหมู่บ้านให้เป็นสีเขียวทั้งหมด นอกจากนี้ด้วยความที่รวยมาก ยังซื้อเสื้อผ้า ให้กับคนในหมู่บ้านทุกคนใส่ ในตอนนี้ไม่ว่าท่านเศรษฐีมองไปทางใด ก็จะเป็นสีเขียวตลอดเวลา ตามคำแนะนำของฤาษี อาการปวดหัวของเขาก็เริ่มดีขึ้นๆ เขาเริ่มเป็นคนยิ้มง่าย และมีความสุขมากขึ้น
สองสามเดือนถัดมา ท่านฤาษีได้กลับมาเยี่ยมเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง แต่ต้องเผชิญกับช่างทาสีคนหนึ่ง ซึ่งร้องตะโกนว่า “หยุด หยุด ท่านเข้ามาในหมู่บ้านนี้ในชุดชุดนี้ไม่ได้ เดี๋ยวผมจะทาสีท่านให้เป็นสีเขียวก่อน”
ฤาษีก็รีบวิ่งและหนีเข้าไปในบ้านของเศรษฐีได้ในที่สุด ฤาษีได้พบกับเศรษฐีในบ้านและตำหนิว่า “ทำไมเจ้าถึงเสียเงินทองและเวลามากมายเพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆ รอบตัวเจ้าเล่า เราไม่ได้บอกให้เจ้าไปเที่ยวทาสีทุกอย่างให้เป็นสีเขียวเลย เจ้าเพียงสวมแว่นตาสีเขียวเท่านั้น เจ้าก็จะมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเป็นสีเขียวแล้ว”
จากนิทานเรื่องนี้ ท่านเศรษฐีพยายามเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมทุกอย่างบนโลก โดยลืมมองไปว่า โลกกว้างใหญ่เกินกว่าที่เศรษฐีจะเปลี่ยนแปลงได้หมด เพียงแค่ท่านเศรษฐี ซึ่งเป็นมนุษย์คนหนึ่งในโลก
เริ่มเปลี่ยนแปลงที่ตัวเอง เพียงเท่านี้ ท่านเศรษฐีก็สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้
เราเองก็เช่นกัน อย่าไปมัวคิดแต่จะเปลี่ยนแปลงโลก เพราะเพียงแค่เราเปลี่ยนความคิดของตัวเอง ครอบครัวของเราก็จะเปลี่ยน สังคมของเราก็จะเปลี่ยน และในที่สุดโลกก็จะเปลี่ยน เปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือร้ายได้ โดยที่เราไม่ต้องคอยโทษคนอื่นว่าไม่ดี
บางครั้งก็อาจพิพากษาคนอื่นว่าโง่เง่า ยามที่เขาคิดไม่เหมือนกับเรา คนทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ในความเป็นมนุษย์ มนุษย์คนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในโลกใบเดียวกัน ไม่มีใครสามารถเหยียบย้ำศักดิ์ศรีของคนอื่นได้ ถ้าเขาคนนั้นยังเห็นคุณค่าในตัวเองอยู่
ในบางครั้งเราอาจรู้สึกโกรธและตำหนิคนอื่นที่เขาทำไม่เป็นดังใจเราต้องการ เราใช้ตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางเพื่อวัดว่าทุกคนต้องเข้าใจเรา และต้องทำตามในสิ่งที่เราเห็นว่าถูกว่าควร เราลืมไปว่าคนอื่นก็มีเหตุผลของเขา และคิดทำในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูกว่าควรแล้วเช่นกัน ซึ่งความเห็นนั้นอาจสวนทางกับเรา บางครั้งเราจึงคิดอยากจะแก้ไขคนอื่น แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ทางที่ดีเราควรคิดปรับปรุงแก้ไขตนเองดีกว่าอย่างน้อยก็เปลี่ยนวิธีคิดของเราใหม่ ไม่ให้คาดหวังและคิดเปลี่ยนแปลงคนอื่นหรือสิ่งอื่น
บางเรื่องก็ต้องทำใจยอมรับสิ่งที่มันเป็น มิเช่นนั้นคงมีเรื่องราวอีกนับหมื่นพันที่เราต้องตามไปแก้ไขเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเรา
ดังนั้น เมื่อปัญหาเกิดขึ้นกับเรา เราจึงต้องแก้ปัญหาหรือมองที่ตัวเราก่อน
มิใช่คิดแต่จะไปแก้ไขที่คนอื่น แก้ไขสังคมหรือโลก
เพราะเราเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง อนุภาคเล็กๆ บนโลกเท่านั้น