พวกดื่มน้ำน้อย โปรดระวัง
นิตยสารตั้งตัว (14,375 views) first post: Mon 17 May 2010 last update: Mon 17 May 2010
เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย คนส่วนใหญ่ก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะไม่มั่นใจในการเข้าห้องน้ำข้างนอกว่าจะสะอาดและปลอดภัยหรือไม่ เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำจะได้ไม่ต้องปัสสาวะพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ไม่ดี
หน้าที่ 1 - พวกดื่มน้ำน้อย โปรดระวัง
เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งลงบทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอกท่านหนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ
เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก เมนส์ไม่มา แถมเธอยังเข้า ใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้างแล้วแต่อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติขอผู้หญิง ซะอีก เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่แต่ในกองถ่ายจะหาห้องน้ำสะอาดๆยาก เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้หรือแก้โดยการไม่ ดื่มน้ำจะได้ไม่ต้องปัสสาวะ
พฤติกรรม ดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอกครับ มีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้
อาจจะเป็นเพราะภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกัน ท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว ไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกัน กลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี พอทำอย่างนี้ไปนานๆ เข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่าไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลย โดยร่างกายเข้าใจว่าวิธี การนี้ถูกต้อง
ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์
กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซนต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไปเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด เลือดเราจะข้นหนืดยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆของ ร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวายความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอเส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง
จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน
สังเกตุได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้ และก็ฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอให้เส้นเลือดอุดตันได้เลย เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใส ตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นอีกอยู่ดีเช่นเดียวกัน เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใสแค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออก ยังนอนก้นอยู่ในร่างกายเรา ดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือดเราอีก
เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้งไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้และลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีก
เลือดเราก็ยังสกปรกและข้นหนืดมากขึ้นไปอีกและลอง พิจารณาดูครับว่าเลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้น จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายเพียงใด ที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ 1-3 ครั้งทุกๆวัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่เราทานเข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา 1 ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุงร่างกายเราทั้งหมดหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่
การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมาๆหยุดๆ แล้วแต่อารมณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไปที่ถูก แล้วรอบเดือนจะช้าเร็วไม่ควรเกิน 7 วัน ถ้าผิดไปจากนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง ยกเว้นแต่ตั้งครรภ์ สำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ ตกและไม่ได้รับการผสมพันธุ์ เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติ ร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้ม ห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด
ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ
2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ
4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน
เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์ หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น สิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง
สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกาย พยายามขับออกมาทั้งนั้น ดังนั้นถ้าเรามีอาการ ดังที่กล่าวมาก็ขอให้เราจงเข้าใจด้วยว่าร่างกายเรามีของเน่าเสียอยู่ภาย ในแล้ว มันเป็นสัญญาณเตือนภัย ที่เราไม่ควรมองข้ามหรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออก เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษาหรือบำบัดโรคต่างๆให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อยๆ เหมือนรุกใต้ดินโดยที่เราไม่รู้สึกอะไรจะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว...
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากนิตยสารตั้งตัว