เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553


1,741 ผู้ชม


เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553

ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ วิชาการดอทคอม
www.nstda.or.th


ผลทดสอบจีที200 ประสิทธิภาพไม่ต่างกับการเดาสุ่ม
เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553           เ ป็ น ที่ ถ ก เ ถี ย ง ใ น สั ง ค ม อ ย่ า ง ก ว้ า ง ข ว า ง ถึ ง ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200 จนในที่สุด ครม.มีมติให้แต่งตั้ง คณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที200 ขึ้น โดยมีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเจ้าภาพ มี ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพณิช รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นประธาน ทั้งนี้สถานที่ที่ใช้ในการทดสอบคือ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
          ขั้นตอนการทดสอบเริ่มจากประธานการทดสอบ(ปลัดกระทรวงวิทย์ฯ) นำสารวัตถุตัวย่างสี่ชิ้นที่มีขนาดและน้ำหนักเท่ากัน (เป็นระเบิด C4 ของจริงหนึ่งชิ้น และของปลอมสามชิ้น) มาสุ่มหมายเลขเพื่อกำหนดไว้ที่วัตถุตัวอย่างทั้งสี่ชิ้น แล้วใส่ลงกล่อง (ประธานเป็นผู้เดียวที่รู้ว่ากล่องไหนคือระเบิดของจริง) จากนั้นมอบกล่องตัวอย่างทั้งสี่ให้ทีมซ่อนวัตถุซึ่งนำโดย ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ด้านทีมซ่อนก็จะสุ่มจับหมายเลขเพื่อระบุไว้บนหน้ากล่อง
เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553
          ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร เจ้าหน้าที่จะนำกล่องเปล่ากล่องใหญ่ ไปวางไว้ยังตำแหน่งมุมห้อง(สถานี)ทั้งสี่ที่ระบุไว้ตายตัว จากนั้นทีมซ่อนสุ่มจับลูกปิงปองสี่รอบว่าได้หมายเลขใด ก็นำกล่องตัวอย่างตามหมายเลขที่สุ่มจับได้นั้น ไปวางไว้ในกล่องประจำสถานีต่างๆ ตามลำดับ จากสถานีที่ 1-4 แล้วปิดเก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์กล่องให้เรียบร้อย และเดินออกไปจากห้อง
          กรรมการเรียกทีมค้นหาให้เข้ามาค้นหาวัตถุระเบิดว่าบรรจุไว้ในกล่องใด ด้วยเครื่องจีที 200 แล้วบันทึกผลไว้ ทั้งนี้ห้ามเข้าไปในเขตที่กำหนดการวางกล่องตัวอย่างไว้เด็ดขาด เสร็จแล้วออกไปจากห้องแล้วกรรมการก็จะเรียกทีมซ่อนวัตถุระเบิดเข้ามา แล้วสุ่มหาตำแหน่งในการวางกล่องตัวอย่างใหม่โดยทำเหมือนครั้งแรก แล้วให้ทีมค้นหาเข้ามาหาใหม่ ทำซ้ำเช่นนี้รวมทั้งหมด 20 ครั้ง แล้วดูว่าผลการค้นหาเป็นอย่างไร


เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553


          ผลปรากฏออกมาคือ เครื่องจีที 200 สามารถชี้เป้าหรือค้นหากล่องที่มีวัตถุระเบิดได้ถูกต้องเพียง 4 ครั้ง จาก 20 ครั้ง เท่านั้น ซึ่งในทางคณิตศาสตร์ เรื่อง “ความน่าจะเป็น (probability)” แล้ว ถือว่าไม่ต่างอะไรกับการเดาสุ่มโดยไม่ใช้เครื่องมือใดๆ เลย ซึ่งในกรณีนี้โอกาส (ความน่าจะเป็น) ที่จะเดาถูก 5 ครั้ง มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด ส่วนการจะเดาถูกมากครั้งกว่านี้ โอกาสก็จะลดลงไป (ดูตาราง)(รายละเอียดเรื่องการคำนวณอ่านได้จากบทความเรื่อง “กรณี GT200: คณิตศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังการทดสอบ” โดย ดร.บัญชา ธนบุญ สมบัติ นักวิชาการ MTEC และที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการ ThaiSMC ที่เว็บ https://gotoknow.org/blog/science/336972) ดังนั้น จึงถือได้ว่าเครื่องจีที 200 ทำงานไม่มีประสิทธิภาพตามที่บริษัทขายกล่าวอ้างไว้ เป็นผลให้รัฐบาลงดสั่งซื้องวดใหม่ทันทีวิทยาศาสตร์ยังเป็นที่พึ่งของสังคมได้
พบฟอสซิลไดโนเสาร์กินพืชอายุ 150 ล้านปีที่กาฬสินธุ์
เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553           เป็นข่าวดังอีกแล้วกับการขุดพบฟอสซิลไดโนเสาร์ชนิดกินพืชหรือซอโรพอตขนาดใหญ่ มีอายุถึง 150 ล้านปีจัดอยู่ในยุคจูราสสิคตอนปลาย นักธรณีวิทยาเชื่อว่าอาจจะเป็นไดโนเสาร์สกุลใหม่ของโลกด้วย
          จากการเปิดหลุมขุดใหม่และพบฟอสซิลไดโนเสาร์ดังกล่าวนี้ พบที่บริเวณภูน้อยในเขต อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ มีความเก่าแก่กว่าฟอสซิลไดโนเสาร์ที่เคยพบก่อนหน้านี้ที่ ภูกุ้มข้าว อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ถึง 20 ล้านปี โดยครั้งล่าสุดนี้ พบกระดูกไดโนเสาร์มากถึง 15 ชิ้น ประกอบด้วย กระดูกสะโพกขนาดความยาว 150 ซม. กว้าง 50 ซม. กระดูกขาหน้าขนาด120 ซม. กระดูกหน้าแข้ง ขนาด 80 ซม.กระดูกซี่โครงจำนวน 5 ชิ้น กระดูกนิ้วเท้าจำนวน 4 ชิ้น และกระดูกสันหลังจำนวน 2 ชิ้น นับว่าเป็นกระดูกไดโนเสาร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยขุดพบในประเทศไทย ซึ่งคงต้องพิสูจน์ต่อไปว่าเคยมีการขุดพบกระดูกไดโนเสาร์ลักษณะเช่นนี้ที่ไหนมาก่อนหรือไม่ ซึ่งนักธรณีวิทยาของไทยเชื่อว่าฟอสซิลที่พบนี้ อาจจะเป็นไดโนเสาร์สายพันธุ์ซอโรพอตสกุลใหม่ของโลกก็เป็นได้
          แดนดินถิ่นอีสานของไทยเรายังเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยฟอสซิลไดโนเสาร์จริงๆ
          อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติมได้ที่
https://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000023951
https://www.thaipost.net/x-cite/190210/18153 

ลูกชิ้นปลาเรืองแสง
เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553           ข่าวการพบลูกชิ้นปลาเรืองแสง เมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำเอาประชาชนผวากับการรับประทานลูกชิ้นปลากันไปพอสมควร สืบเนื่องจากผู้บริโภครายหนึ่งได้ไปซื้อลูกชิ้นปลามาจากตลาดแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี แต่พอกลับมาถึงบ้าน สังเกตพบว่าลูกชิ้นปลาเกิดการเรืองแสงได้เมื่ออยู่ในที่มืด จนเกิดเป็นข่าวขึ้นมา ทำให้กระทรวงสาธารณสุขต้องมาเก็บตัวอย่างลูกชิ้นปลาดังกล่าวเพื่อไปตรวจพิสูจน์หาสาเหตุ ซึ่งผลการตรวจโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบสาเหตุของการเรืองแสงนั้นมาจากเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มลูมิเนสเซนซ์(Luminescence) ที่พบได้ในน้ำทะเล สัตว์ทะเลตามธรรมชาติเมื่อแบคทีเรียดังกล่าวมาพบกับโปรตีนลูซิเฟอริน เป็นผลให้เกิดการเรืองแสงได้ แต่ไม่พบว่ามีอันตรายในคน คาดว่าการปนเปื้อนที่เกิดขึ้นมาจากขั้นตอนกระบวนการผลิตที่อาจมาจากเครื่องมือ หรือมือของพนักงานในการบรรจุถุง และแม้ว่าจะไม่พบอันตรายร้ายแรงก็ไม่ควรประมาท ประชาชนที่จะบริโภคควรจะนำลูกชิ้นมาต้มให้สุกก่อนการบริโภคอาหาร และควรบริโภคภายใน 1-2 วันหลังจากที่ซื้อมา
          บ้านเราก็มักจะมีอะไรแปลกๆ เรื่องอย่างนี้ถ้าผู้บริโภคไม่สังเกตก็คงไม่รู้ ต้องขอชมแม่บ้านท่านนี้ เพราะถือว่าเป็นคนที่มีความเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ในตัวด้วย นั่นก็คือมีทักษะเรื่อง “การสังเกต” นั่นเอง
          อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติมได้ที่
https://www.moph.go.th/show_hotnew.php?idHot_new=30890
https://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=419&contentID=48714 

เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553 หวัด 2009 เกิดการดื้อยาในทารก
          มันกลับมาอีกแล้ว ไข้หวัดใหญ่ 2009 ซึ่งล่าสุดพบเด็กอายุ 3เดือน เป็นหวัด 2009 และสงสัยว่าจะเกิดการดื้อต่อยาโอเซลทามิเวียร์ ซึ่งแพทย์ใช้ในการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 อยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตามจากอัตราที่เกิดก็ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำมาก คือร้อยละ 1.61 ซึ่งตอนนี้แพทย์ได้ให้การรักษาโดยการให้ยาซานามิเวียร์ซึ่งเป็นยาชนิดพ่นแทนแล้ว
          อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติมได้ที่
https://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000020623 

วัคซีนหวัด 2009 ทำให้ทารกตายในครรภ์?


เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553


          ข่าวพาดหัวข้างบนนี้คงสร้างความกังวลใจให้กับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และต้องเข้ารับบริการการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 ไม่น้อย เนื่องจากมีข่าวว่า ทารกเกิดการเสียชีวิตในครรภ์มารดาหลังจากที่ผู้เป็นแม่เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ 8 ราย ในเบื้องต้นคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญสรุปว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009
          อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงสาธารณสุขก็ยังยืนยันว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่2009 ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศและนำมาฉีดให้นี้มีความปลอดภัย และยังคงเดินหน้าให้บริการแก่กลุ่มเสี่ยงต่อไป ซึ่งมีจำนวนราวสองล้านคน โดยข้อมูล ณ วันที่ 11 ก.พ.53 มีผู้ฉีดวัคซีนแล้ว 291,302 ราย คิดเป็นจำนวนร้อยละ 14 ของจำนวนผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงทั้งหมดซึ่งแบ่งเป็น 5 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ (ฉีดวัคซีนแล้ว 152,523 ราย) กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (107,454 ราย) หญิงตั้งครรภ์ (18,532 ราย) คนอ้วน (8,541 ราย)และผู้พิการ (3,321 ราย)
          ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมมีจำนวน 209 ราย (ข้อมูลถึงวันที่ 23 ก.พ. 53)
          อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bangkokbiznews.com/2010/02/23/news_30389697.php?news_id=30389697
https://www.bangkokbiznews.com/2010/02/16/news_30344453.php?news_id=30344453 

แพทย์ศิริราชประสบความสำเร็จเปลี่ยนลิ้นหัวใจวิธีแบบใหม่
          ข่าวความสำเร็จของวงการแพทย์ไทยของเรามีออกมาเป็นระยะๆ อย่างคราวนี้ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ประสบความสำเร็จเปลี่ยนลิ้นหัวใจด้วยวิธีแบบใหม่ โดยใส่ลิ้นหัวใจเทียมที่ออกแบบให้สามารถหด และขยายตัวได้ ใส่ผ่านสายสวนเข้าไปที่ลิ้นหัวใจเดิมที่เสื่อมสภาพ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง อีกทั้งผู้ป่วยยังสามารถฟื้นตัวได้เร็วอีกด้วย ซึ่งวิธีการเดิมนั้นต้องใช้วิธีการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ แม้เป็นการรักษาที่ได้ผลดี และผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตเพียงร้อยละ 1-2 เท่านั้น แต่ยังมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ไม่เหมาะกับการผ่าตัด เช่น ผู้ป่วยที่อายุมาก หรือเคยผ่านการผ่าตัดช่องอกมาก่อน รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวหลายโรค ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้มีโอกาสเสียชีวิตจากการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจสูงถึงร้อยละ 20
          อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การรักษาโดยการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมด้วยวิธีแบบใหม่นี้ ยังมีราคาแพง ฉะนั้นผู้ป่วยที่ไม่สามารถเสียค่าใช้จ่ายได้ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ได้จัดตั้ง “กองทุนรักษาลิ้นหัวใจด้วยสายสวนเพื่อผู้ป่วยสูงอายุ” ขึ้นมาช่วยเหลือ ทั้งนี้ ผู้มีจิตศรัทธาสามารถบริจาคเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อช่วยผู้ป่วยผู้ยากไร้ได้ทุกวันที่ ศิริราชมูลนิธิ ตึกมหิดลบำเพ็ญ ชั้น 1 โรงพยาบาลศิริราช โทร. 0 2419 7658 – 60 
          อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติมได้ที่
https://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=316&contentID=48191
https://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20100212/100083 

โครงงานวิทย์เด็กไทยไปอวกาศ
          สืบเนื่องจากที่ สวทช.ได้เชิญชวนให้เยาวชนไทยส่งโครงงานวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศเข้าประกวดภายใต้โครงการ Thailand Zero-Gravity Experiment เพื่อคัดเลือกผู้ชนะเลิศเพียงทีมเดียว ไปขึ้นเครื่องบินเที่ยวบินพาราโบลิกคือการบินลักษณะโค้งขึ้น-ลงเป็นรูปคลื่น ทำให้เกิดสภาวะไร้น้ำหนักประมาณ 20 วินาที เพื่อทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในสภาวะไร้น้ำหนัก และใช้กล้องวิดีโอบันทึกผลการทดลองไว้ จำนวน 8-10 ครั้งต่อ 1 เที่ยวบิน และจะทำการบิน จำนวน 2 เที่ยวบินที่ประเทศญี่ปุ่น โดยร่วมมือกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่นหรือ JAXA (Japan Aerospace Exploration Agency)


เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553



          ผลการคัดเลือก ปรากฏว่าโครงงานที่ชนะเลิศจากการประกวดในครั้งนี้ คือโครงงานเรื่อง “A Study of Water Drops Spreading in Textiles Under Microgravity Condition” หรือ การศึกษาการกระจายตัวของหยดน้ำบนผืนผ้าภายใต้สภาวะไรน้ำหนัก โดย นายวเรศ จันทร์เจริญ, นายจักรภพ วงศ์วิวัฒน์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและนายวศิน ตู้จินดา จากโรงเรียนดรุณสิกขาลัย โดยจะทดลองบนเนื้อผ้า 5 ชนิด ได้แก่ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าซาติน ผ้าเรยอน และผ้าไนล่อน
          จากการทดลองนี้จะทำให้เราเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการซึมของน้ำบนเนื้อผืนผ้าชนิดต่างๆ ในสภาวะไร้น้ำหนักมากขึ้น ซึ่งหากอนาคต มนุษย์เราต้องไปใช้ชีวิตในอวกาศ ก็สามารถนำความรู้ที่ได้จากการทดลองนี้ไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น ในเรื่องของการไหลของของเหลวในเครื่องมือแพทย์ภายใต้สภาวะไร้แรงโน้มถ่วง เป็นต้น อีกทั้งยังหวังที่จะให้นำการทดลองนี้ไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติในส่วนห้องแล็บอวกาศคิโบ (KIBO) ของประเทศญี่ปุ่นด้วย
          สำหรับน้องๆ นักเรียน นักศึกษา หากสนใจจะส่งโครงงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอวกาศเข้าร่วมคัดเลือกสำหรับโครงการในปีใหม่นี้ ขณะนี้ได้เปิดรับสมัครแล้ว สามารถส่งข้อเสนอโครงการทดลองได้ที่ สวทช. ได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคม 2553 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายสร้างความตระหนักทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. โทร. 0 2564 7000 ต่อ 1400, 1403 e-mail :
[email protected] หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ https://www.nstda.or.th/jaxa-thailand 

          ส่งกันมาให้เยอะๆได้เลย เพราะถ้าได้ไปทดลองในเที่ยวบินพาราโบลิกดังกล่าวนี้ ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีจริงๆสำหรับประสบการณ์ชีวิตอันล้ำค่า
          อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติมได้ที่
https://www.nstda.or.th/index.php/news/1243 

ตำรวจจับกุมผู้ลักลอบบริการฉีดสารกลูตาไธโอน อวดอ้างลูกค้าทำให้ผิวขาว
เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553           ตราบใดที่คนเรายังมีกิเลสของความรักสวยรักงามจนบ่อยครั้งได้มองข้ามความปลอดภัยไป ดังกรณีของข่าวนี้ที่หนุ่มคนหนึ่งแอบลักลอบเปิดท้ายรถเก๋งรับบริการฉีดสารกลูตาไธโอนให้กับลูกค้าโดยเฉพาะสาวๆ โดยอวดอ้างว่าจะทำให้ผิวขาวได้ ทั้งๆ ที่การกระทำเช่นนี้ นอกจากจะเป็นเรื่องผิดกฎหมายฐานไม่มีใบประกอบโรคศิลป์แล้ว ก็ยังจะเป็นอันตรายแก่ผู้ใช้บริการด้วย เพราะการฉีดเข้าเส้นเช่นนี้ ในรายที่มีอาการแพ้รุนแรง จะเกิดอาการตัวบวม หลอดลมตีบหายใจติดขัด และเสียชีวิตได้ อีกทั้งขณะนี้ ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าทำให้ผิวขาว แต่เป็นเพียงการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินชั่วคราวเท่านั้น
         
สารรกลูตาไธโอนคืออะไร? เราไปทำความรู้จักกับมันหน่อยดีมั้ย
          จากเว็บไซต์มติชนออนไลน์ ได้อ้างถึงบทความเรื่อง “สารกลูตาไธโอน ช่วยให้ขาวได้จริงหรือ?” ตีพิมพ์ในนิตยสารฉลาดซื้อ ฉบับที่ 83 เดือนมกราคม 2551 เขียนโดย รศ.ดร.พิมลพรรณพิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล นำเสนอไว้ว่า สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่เซลล์ในร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งมีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย... สารกลูตาไธโอนยังมีหน้าที่สำคัญอีกมากมายในร่างกาย เช่น สังเคราะห์โปรตีน ช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง ช่วยเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง
การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์

          สารกลูตาไธโอนมีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยามามากกว่า 30 ปี การรักษามักจะให้โดยการฉีดเข้าเส้นหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ อาการข้างเคียงของยาดังกล่าวตอนนี้ยังไม่พบ แต่อย่างไรก็ตามพบว่า สารกลูตาไธโอนมีผลข้างเคียงในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ผลข้างเคียงนี้จึงทำให้มีการแตกตื่นและนำกลูตาไธโอนมาเตรียมเป็นยาเม็ดเพื่อใช้เป็นอาหารเสริม เพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู…
          กลูตาไธโอนในธรรมชาติ พบมากในผลไม้ ได้แก่ แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวกาโด ส่วนในผักพบมากในหน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบได้ใน ปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ดังนั้น ควรเลือกรับประทานจากธรรมชาติดีกว่าที่จะหลงไปใช้สารนี้อย่างผิดๆ และขาดความเข้าใจ
          ทราบอย่างนี้แล้วก็เลือกวิถีทางธรรมชาติก็น่าจะดีกว่า
          อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติมได้ที่
https://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1265325373&grpid=03&catid=04
https://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1265183978&grpid=03&catid=00 


หน้าที่ 2 - กิจกรรมศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย

ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ วิชาการดอทคอม
www.nstda.or.th


เสวนา“ปัญหาก๊าซรั่ว ขยะสารเคมี และมลพิษในนิคมอุตสาหกรรม ...จะแก้ปัญหาอย่างไร”
เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553           จัดเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2553 โดย โครงการสมองไหลกลับสวทช. ร่วมกับ ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย ณ ห้องประชุม 110 ส่วนงานกลาง อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. จ.ปทุมธานี วิทยากรประกอบด้วย ศ.ดร.เมธี เวชารัตนา คณะวิศวกรรมโยธาและวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม สถาบันเทคโนโลยีแห่งนิวเจอร์ซี่ สหรัฐอเมริกา นายสุเมธา วิเชียรเพช ผู้อำนวยการส่วนปฏิบัติการฉุกเฉินและฟื้นฟู กรมควบคุมมลพิษ และ คุณจิตติมา บ้านสร้าง รองประธานชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อมสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ดำเนินรายการโดย ดร.นพวรรณ ตันพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.
          สาระสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีการลงทุนและเติบโตในภาคอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก ซึ่งปัญหาใหญ่ที่ตามมาปัญหาหนึ่งนั่นก็คือ ปัญหาการเกิดก๊าซรั่วในโรงงานอุตสาหกรรม ปัญหาการลักลอบทิ้งขยะสารเคมี หรือปัญหามลพิษต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรม จนก่อให้เกิดปัญหาต่อประชาชนที่อยู่ในพื้นที่รอบข้าง และปัญหาสิ่งแวดล้อม เวทีเสวนานี้ วิทยากรผู้เชี่ยวชาญได้ช่วยกันแจงปัญหารวมทั้งการเสนอแนวทางแก้ไข
ชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาบางส่วนเก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553
          นับเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยเรามีโอกาสได้ชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาอีกครั้ง เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2553 ที่ผ่านมาโดยการเกิดสุริยุปราคาคราวนี้เป็น “สุริยุปราคาวงแหวน” มีจุดเริ่มต้นที่ทวีปแอฟริกา แล้วผ่านเข้าเอเชีย โดยประเทศไทยอยู่ในบริเวณที่เงามัวของดวงจันทร์พาดผ่าน ทำให้สังเกตเห็นปรากฏการณ์ครั้งนี้เป็นสุริยุปราคาแบบบางส่วน ซึ่งช่วงเวลาในการเกิดคือ ประมาณ 14.00– 17.00 น. โดยจะเห็นดวงอาทิตย์ถูกดวงจันทร์บดบังมากที่สุดที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน คิดเป็นร้อยละ 77.0 ส่วนกรุงเทพฯ เห็นดวงอาทิตย์ถูกดวงจันทร์บดบังมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 57.3
          ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อการศึกษาการเกิดปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ครั้งนี้ จึงได้จัดกิจกรรมชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาครั้งนี้ขึ้น ณ บริเวณด้านหน้าบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยได้เชิญโรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ มาร่วมชมด้วย เพื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนของชาติ สนใจที่จะศึกษาด้านดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ มีคณะนักเรียนครู และบุคลากรภายใน สวทช.มาร่วมกิจกรรมกว่า 200 คน
          งานนี้ยังมีพันธมิตรที่ร่วมจัดงานและสนับสนุนอุปกรณ์ในการชมปรากฏการณ์ครั้งนี้ด้วย ได้แก่ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา รังสิต สนับสนุนกล้องโทรทัศน์และวิทยากรมาช่วยให้ความรู้ และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ อภินันทนาการแว่นตาชมสุริยุปราคา ทางเราต้องขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย
เสวนา “ร้อนปนฝน เกิดอะไรขึ้นกับฤดูหนาวของไทยในปี 2553”
เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553           จัดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ผ่านมา โดย ศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (ศรภอ.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย และคณะวิทยาศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องประชุม 217 อาคารเคมี 2 คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยวิทยากร ประกอบด้วย ดร.สมชาย ใบม่วง รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา, ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ, ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ดร.อัศมน ลิ่มสกุล กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ ศรภอ.เวทีเสวนาได้ร่วมกันวิเคราะห์และให้ข้อมูลเกี่ยวกับความแปรปรวนของสภาพอากาศ ข้อสรุปของเนื้อหาการเสวนานั้น ทางเราได้ส่งให้สมาชิกแล้ว
วทท.เพื่อเยาวชน ครั้งที่ 5
เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553            ขอเชิญชวนสมาชิก ThaiSMC เยาวชน นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจทุกท่านร่วม งานประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเยาวชน ครั้งที่ 5 วันที่19-20 มีนาคม 2553 ณ ศูนย์การประชุมและนิทรรศการไบเทค บางนา วัตถุประสงค์ของการจัดงานนี้ ก็เพื่อให้นิสิต นักศึกษา ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 4 ที่เรียนคณะวิทยาศาสตร์ของสถาบันต่างๆ ในระดับอุดมศึกษา รวมถึงบัณฑิตศึกษาอีกส่วนหนึ่ง ได้มีโอกาสนำผลงานวิจัยของตัวเองมานำเสนอทั้งในรูปแบบการบรรยาย และแบบโปสเตอร์ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหมู่นักศึกษาด้วยกัน และเผยแพร่ผลงานวิจัยแก่สาธารณชนทั่วไป
           สำหรับหัวข้อหรือ theme หลักของงานในปีนี้คือ “รวมพลังต้นกล้าวิทย์ สร้างแนวคิดแห่งปัญญา”งานนี้จัดโดย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) สนใจรายละเอียดของงานเพิ่มเติม เข้าไปอ่านได้ที่เว็บไซต์ของ สสวท.คือ
https://www3.ipst.ac.th

งาน NAC 2010
เก็บตกข่าวดังวิทยาศาสตร์ เดือนมีนาคม 2553            ขอเชิญชวน สมาชิก ThaiSMC ทุกท่าน และผู้สนใจทั่วไปร่วม งานประชุมวิชาการประจำปีของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หรืองาน NAC 2010 ในวันที่ 29 –31 มีนาคม 2553 ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ปทุมธานี โดยในวันอาทิตย์ที่28 มีนาคม 2552 เวลา 17.30 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดนิทรรศการ “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย” และชมนิทรรศการภายในงานด้วย
           สำหรับหัวข้อหรือ theme หลักของงานในปีนี้คือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสังคมและโลก (Science and Technology for our Society and Planet) โดยมุ่งเน้นไปที่เรื่องของโลกร้อน มีการนำเสนอผลงานวิจัยของสวทช. มากมายที่มีส่วนสนับสนุนการลดโลกร้อน รวมทั้งเวทีการสัมมนาและนิทรรศการ ที่ให้ความรู้ในประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับโลกร้อน ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์เพื่อโลกสีเขียว โลกเย็นด้วยมือเรา ผลกระทบโลกร้อนต่อความหลากหลายชีวภาพ เป็นต้น
           ด่วน! ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมฟังการสัมมนาในหัวข้อต่างๆ ของงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เว็บไซต์
www.nstda.or.th/nac2010





อัพเดทล่าสุด