อารยธรรมกรีก อารยธรรมกรีก-โรมัน ประวัติศาสตร์ที่น่าศึกษา ข้อมูลเชิงวิชาการ


13,650 ผู้ชม


อารยธรรมกรีก-โรมัน

อารยธรรมกรีกเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว เป็นอารยธรรมเก่าตอนใต้ของแหลมอิตาลี เจริญขึ้นบนแผ่นดินกรีกในทวีปยุโรป และบริเวณชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้านเอเชียไมเนอร์ หรือโบราณเรียกว่า ไอโอเนีย ถือเป็นแม่แบบของอารยธรรมตะวันตกและอารยธรรมสมัยใหม่ อารยธรรมที่เจริญขึ้นในนครรัฐกรีกมีศูนย์กลางสำคัญที่นครรัฐเอเธนส์ และนครรัฐสปาร์ตา 

นครรัฐเอเธนส์ เจริญด้านการปกครอง (โดยเฉพาะเมื่อประชาชนมีสิทธิมีเสียง นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมการเมืองอันสำคัญที่นำสู่การพัฒนาเป็นระบอบประชาธิปไตย) เศรษฐกิจ การคมนาคม (สภาพภูมิประเทศที่เป็นอ่าวใหญ่เล็กมากมาย ส่งเสริมให้มีการเดินเรือออกไปไกลๆ นับเป็นพวกแรกในยุโรปที่ติดต่อกับชาวตะวันออก) สังคม ศิลปวิทยาการ รวมทั้งปรัชญา ส่วนนครรัฐสปาร์ตาเป็นรัฐทหารในรูปเผด็จการ แข็งแกร่งและเกรียงไกร

ชาวกรีกเรียกตัวเองว่า เฮลีนส์ เรียกบ้านเมืองตนว่า เฮลัส และเรียกอารยธรรมตนว่า อารยธรรมเฮเลนิก และเพราะตำแหน่งที่ตั้งถิ่นฐานเป็นจุดบรรจบของทวีปยุโรป เอเชีย และแอฟริกา กรีกจึงรับอิทธิพลความเจริญโดยตรงจากทั้งอียิปต์และเอเชียมาพัฒนาอารยธรรมของตนขึ้นกระทั่งเป็นเอกลักษณ์ ชาวกรีกถือตนเองเป็นผู้มีคุณลักษณะพิเศษผิดกับชนชาติอื่นที่พวกเขารวมเรียกว่า บาเบเรียน หมายความว่าผู้ที่ใช้ภาษาผิดไปจากภาษาของพวกกรีก

อารยธรรมโรมัน สืบเนื่องมาจากอารยธรรมกรีก โดยชาวอิทรัสกันซึ่งอยู่ในเอเชียไมเนอร์อพยพเข้าสู่แหลมอิตาลี นำเอาความเชื่อและศิลปวัฒนธรรมของกรีกเข้าไปด้วย ต่อมาบรรพบุรุษของชาวโรมันคือ ละติน จากตอนใต้ของแม่น้ำไทเบอร์ ขับไล่กษัตริย์อิทรัสกันแล้วรวมตัวเป็นชุมนุมในบริเวณที่เรียกว่า ฟอรัม เป็นศูนย์กลางเมือง และจุดเริ่มต้นของกรุงโรมในเวลาต่อมา โดยรับเอาอารยธรรมกรีกจากชาวอิทรัสกันมาเป็นต้นแบบอารยธรรมตนด้วย

ที่ตั้งของกรุงโรมอยู่ห่างจากทะเล 15 ไมล์ เหมาะกับการทำการค้าทางทะเล ชัยภูมิกรุงโรมยังอยู่ในทำเลเหมาะสมทางยุทธศาสตร์ สามารถใช้แม่น้ำเป็นเส้นทางคมนาคม มีภูเขาและหนองน้ำกีดขวางผู้บุกรุก ปัจจัยที่สนับสนุนการเรืองอำนาจเหนือดินแดนโดยรอบทะเลเมดเตอร์เรเนียนของอาณาจักรโรมันคือการสร้างถนนที่มั่นคงถาวรไปยังดินแดนที่ยึดครอง ทำให้เกิดความคล่องตัว การขยายกองทัพและการคมนาคมขนส่ง

จักรวรรดิโรมันปกครองคาบสมุทรอิตาลีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ ก่อกำเนิดอารยธรรมด้านต่างๆ มากมาย ด้านการปกครอง จักรพรรดิมีอำนาจสูงสุด ด้านการคมนาคม มีการสร้างถนนเชื่อมต่อเมืองต่างๆ ด้านกฎหมาย เกิดหลักกฎหมาย "All free men are equal before the law" ด้านเศรษฐกิจ แปรผันตามการเกษตรกรรม ด้านสังคม แบ่งชนชั้นผู้ถูกปกครองและผู้ปกครอง ด้านปรัชญา ประกาศปรัชญาของสโตอิกส์และเอปิคิวเรียน ด้านสถาปัตยกรรม รับอิทธิพลจากกรีกเฮเลนิก เน้นความแข็งแรงใหญ่โต

::.อารยธรรมกรีกโบราณ (Civilization of Ancient Greece)

บทนำ

         อารยธรรมกรีกโบราณได้แก่อารยธรรมนครรัฐกรีก คำว่า กรีก เป็นคำที่พวกโรมันใช้เป็นครั้งแรก โดยใช้เรียกอารยธรรมเก่าตอนใต้ของแหลมอิตาลี ซึ่งเจริญขึ้นบนแผ่นดินกรีกในทวีปยุโรป และบริเวณชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้านเอเซียไมเนอร์ ซึ่งในสมัยโบราณเรียกว่า ไอโอเนีย (Ionia) อารยธรรมที่เจริญขึ้นในนครรัฐกรีกมีศูนย์กลางสำคัญที่นครรัฐเอเธนส์ และนครรัฐ สปาร์ต้า นครรัฐเอเธนส์ เป็นแหล่งความเจริญในด้านต่างๆ ทั้งด้านการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ศิลป วิทยาการด้านต่างๆ รวมทั้งปรัชญา ส่วนนครรัฐสปาร์ตาเจริญในลักษณะที่เป็นรัฐทหารในรูปเผด็จการ มีความแข็งแกร่งและเกรียงไกร เป็นผู้นำของรัฐอื่นๆ ในแง่ของความมีระเบียบวินัย กล้าหาญ และเด็ดเดี่ยว การศึกษาเกี่ยวกับอารยธรรมกรีกโบราณ จึงเป็นการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับนครรัฐเอเธนส์ และนครรัฐสปาร์ตาชาวกรีกเรียกตัวเองว่า เฮลีนส์ (Hellenes) เรียกบ้านเมืองของตนว่า เฮลัส (Hellas) และเรียกอารยธรรมของตนว่าอารยธรรมเฮเลนิค (Hellenic Civilization)(1) ชาวกรีกโบราณเป็นชาวอินโด-ยูโรเปียน ชาวกรีกตั้งบ้านเรือนของตนเองอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตรงปลายสุดของทวีปยุโรป ตรงตำแหน่งที่มาบรรจบกันของทวีปยุโรป เอเซีย และแอฟริกา เป็นต้นเหตุให้กรีกโบราณได้รับอิทธิพลความเจริญโดยตรงจากทั้งอียิปต์และเอเซีย กรีกได้อาศัยอิทธิพลดังกล่าวพัฒนาอารยธรรมของตนขึ้น โดยคงไว้ซึ่งลักษณะที่เป็นของตนเอง ชาวกรีกสมัยโบราณถือว่าตนเองมีคุณลักษณะพิเศษบางอย่างที่ผิดกับชนชาติอื่น และมักจะเรียกชนชาติว่าบาเบเรียน ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ใช้ภาษาผิดไปจากภาษาของพวกกรีก

ที่ตั้งและลักษณะภูมิประเทศ
        กรีกในสมัยโบราณ อยู่ทางด้านตะวันออกสุดของยุโรปภาคใต้ ประกอบด้วยดินแดนกรีกบนผืนแผ่นดินหมู่เกาะต่างๆ ในทะเลเอเจียน หรือฝั่งตะวันตกของเอเซียไมเนอร์ ซึ่งนิยมเรียกว่านครรัฐ ไอโอเนียน (Ionian Cities)(2) รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 5 หมื่นตารางไมล์ ในจำนวนนี้ดินแดนส่วนใหญ่ คือ ประมาณ 4 ใน 5 คือ ดินแดนกรีกบนผืนแผ่นดินใหญ่ในทวีปยุโรปดินแดนตอนนี้แบ่งออกเป็นภาคใหญ่ๆ ได้ 3 ภาค คือ
        1. กรีกภาคเหนือ อันได้แก่ แคว้นมาซีโดเนีย (Macedonia) เทสซาลี (Thessaly) เอไพรัส (Epirus) รวมอาณาบริเวณประมาณครึ่งของดินแดนกรีกบนผืนแผ่นดินใหญ่ ในสมัยคลาสสิค ไม่นิยมรวมมาซีโดเนียเป็นส่วนหนึ่งของกรีก
        2. กรีกภาคกลาง ได้แก่ บริเวณซึ่งเป็นเนินเขาสูง ระหว่างกรีกภาคกลาง และอ่าวคอรินธ์ บริเวณนี้มีสถานที่สำคัญๆในประวัติศาสตร์กรีกอยู่หลายแห่ง เช่น นครเทบีส นครเลฟิ เทอร์มอปิเล (thermopylae) และยอดเขาพาร์นาซุด (Parnasus) อันเป็นที่สิงสถิตของแอโปโล (Apollo) สุริยเทพ ตรงปลายสุดด้านตะวันออกของบริเวณนี้คือแคว้นอันติก (Attica) อันมีเมืองหลวงคือนครรัฐเอเธนส์ ที่กำเนิดของศิลปวิทยาการ ปรัชญาและระบอบการปกครองอันมีชื่อเสียง        3. เพลอปปอนเนซุส (Peloponnesus) ได้แก่ บริเวณคาบสมุทร ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของ อ่าวคอรินธ์ บริเวณนี้เชื่อมติดกับภาคกลาง และภาคเหนือด้วยคอคอดคอรินธ์ ซึ่งมีความกว้างประมาณ 30 ไมล์ใต้บริเวณคอคอดนี้ลงมาคือที่ตั้งของเมืองอาร์กอลิส (Argolis) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอารยธรรม กรีกที่ได้เจริญขึ้นเป็นครั้งแรก ใจกลางของคาบสมุทรแห่งนี้เป็นที่ตั้งของนครรัฐสปาร์ตา (Sparta) ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการรบและการทหาร เมืองโอลิมเปีย (Olympia) ที่สิงสถิตของบรรดาเทพเจ้ากรีกอยู่ชิดกับฝั่งทะเลไอโอเนีย ด้านตะวันตกของคาบสมุทรเพลอปปอนเนซุส
        4. ภูเขา ในประเทศกรีกเต็มไปด้วยภูเขา ภูเขาเหล่านี้แบ่งกรีกออกเป็นที่ราบในหุบเขาเล็ก แยกออกจากกันมากมาย ภูเขาเป็นอุปสรรคสำคัญในการติดต่อคมนาคมระหว่างคนที่อาศัยตามที่ราบในหุบเขาดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ หมู่บ้านตามหุบเขาเหล่านี้จึงมักปกครองตนเองเป็นอิสระต่อกัน คนที่อาศัยอยู่ตามแต่ละหมู่บ้านก็เป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน บางครั้งเกิดการสงสัยอิจฉาริษยากัน จนกระทั่งเกิดการทะเลาะวิวาทกลายเป็นสงคราม พวกที่อาศัยอยู่ตามเกาะต่างๆในทะเลเอเจียนก็มีลักษณะแยกกันอยู่เช่นเดียวกัน
        5. สภาพพื้นดิน สภาพพื้นดินส่วนใหญ่ของกรีกขาดความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนั้นสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงและเนินเขา ทำให้กรีกขาดดินที่จะเก็บเกี่ยว หว่าน ไถได้ถึง 1 ใน 3 พื้นดิน ที่เหลืออีก 2 ส่วน ถึงแม้จะพอทำการเพาะปลูกได้ ก็ต้องอาศัยแรงงานอย่างมากมาย กรีกมีทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์อยู่บ้าง แต่ก็เป็นทุ่งหญ้าที่เหมาะแก่การเลี้ยงแพะและแกะเท่านั้น ไม่เหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์จำพวกวัวควายหรือม้า บริเวณที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของกรีก ได้แก่ที่ราบระหว่างหุบเขา ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบ กับความอุดมสมบูรณ์ของที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์ หรือแม่น้ำไทกรีส และยูเฟรตีสแล้วก็ด้อยกว่ามาก
        แม่น้ำในกรีกเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ ไหลเชี่ยวในฤดูที่มีฝนตกมาก กระแสน้ำจะพัดพาเอาดินอุดมตามเชิงเขาไป ส่วนในฤดูแล้งน้ำไม่มีการถ่ายเท แม่น้ำจึงกลายเป็นแหล่งเพาะยุง ด้วยสภาพพื้นดินดังกล่าว เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น พลเมืองเพิ่มขึ้น อาหารก็ไม่พอเพียงกับจำนวนพลเมือง ระดับการครองชีพในกรีก จึงค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตามชาวกรีกสมัยโบราณได้ปรับปรุงตนเองในการมีชีวิตอยู่ในสภาพที่ขาดแคลนได้เป็นอย่างดีและได้สร้างสมอารยธรรมอยู่บนรากฐานของเศรษฐกิจที่มั่นคงพอสมควร
        6. ทะเลกรีกจัดเป็นประเทศที่มีความสะดวกสบายในทางออกทะเล ส่วนใหญ่ของแผ่นดินมีลักษณะคล้ายแหลมยื่นไปในทะเล และส่วนที่ลึกเข้าไปในแผ่นดินไม่ไกลจากทะเลมากนัก ชาวกรีกมีโอกาสมองเห็นทะเลได้จากเกือบทุกๆ ส่วนของประเทศ ประกอบกับพื้นดินแห้งแล้งและขาดความอุดมสมบูรณ์ ชาวกรีกจึงหันเหความสนใจไปสู่ทะเล อนึ่ง ชายฝั่งทะเลกรีกก็มักเว้าๆ แหว่งๆ ใช้เป็นอ่าวธรรมชาติสำหรับจอดเรือกำบังคลื่นลมได้เป็นอย่างดี และบรรดาเกาะเล็กเกาะน้อยในทะเลเอเจียนก็เป็นเครื่องส่งเสริมให้ชาวกรีกแล่นเรือออกไปไกลๆ ไปสู่เอเซียไมเนอร์และดินแดนตะวันออก

นครรัฐ 
        กรีกโบราณมีรูปแบบการเมืองการปกครองเป็นนครรัฐ ไม่ได้รวมเป็นอาณาจักรที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างเช่นอียิปต์ นครรัฐกรีกเป็นหน่วยทางการเมืองที่มีอธิปไตยอย่างสมบูรณ์ แต่ละหน่วยคือ รัฐอิสระที่ดำเนินนโยบายและตัดสินเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง กรีกเรียกหน่วยเหล่านี้ว่า โปลิส(1) กรีกประกอบด้วยโปลิสจำนวนมากมาย แต่โปลิสที่สำคัญและมีบทบาทมากในอารยธรรมยุคโบราณ ได้แก่ เอเธนส์และสปาร์ตา        สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้กรีกแบ่งแยกอำนาจจากกันมากมาย ภูเขาเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการติดต่อระหว่างคนที่อาศัยอยู่ตามที่ราบในหุบเขาดังกล่าว ดังนั้นหมู่บ้านตามหุบเขาเหล่านี้จึงปกครองตนเองเป็นอิสระ คนในแต่ละท้องที่จะจงรักภักดีแต่เฉพาะในเขตของตน เนื่องจากนครรัฐนี้ การปกครองได้มีประชาชนเข้าร่วมด้วยอย่างใกล้ชิด ยังมุ่งจัดการศึกษาเพื่ออบรมจิตใจ สติปัญญา ให้เฉลียวฉลาดทุกด้าน นอกจากนี้ก็มีการอบรมเกี่ยวกับทหาร เด็กผู้ชายชาวเอเธนส์เมื่ออายุ 7 ปี จะต้องไปเข้าโรงเรียน เวลาไปโรงเรียน มีพี่เลี้ยงคอยดูแล พี่เลี้ยงโดยมากเป็นทาส พวกทาสที่เป็นพี่เลี้ยงพาเด็กไปโรงเรียน เรียกว่า เพดาก๊อจ (pedogoge) นอกจากนี้ พ่อแม่ยังมอบอำนาจให้ควบคุมดูแลความประพฤติของเด็กและลงโทษเด็กได้ด้วย คำว่า เพดาก๊อจ ต่อมากลายเป็นคำศัพท์ว่า เพดากอดี้ (pedagogy) ซึ่งแปลว่าวิชาครู ปัจจุบันใช้ว่า education (2)
        นครรัฐของกรีกกำเนิดขึ้นเพราะความจำเป็นต้องร่วมกันในการป้องกันภัยจากศัตรู การค้าขยายตัวและประการสุดท้ายธรรมชาติมนุษย์ที่นิยมอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ใหญ่ ในขั้นต้นมนุษย์อยู่รวมกันเป็นหมู่เล็กๆ เป็นหมู่ของครอบครัวที่สืบมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน เรียกว่าโคตร ตระกูล เมื่อหลายโคตรตระกูลมารวมกันเข้ากลายเป็นหมู่ใหญ่เรียกว่า วงศ์วาน และเมื่อมีหลายวงศ์วานเข้าก็รวมกันเป็นเผ่าพันธุ์ และเผ่าพันธุ์เหล่านี้เข้ามารวมกันอยู่ในนครรัฐ ส่วนการปกครองภายในนครรัฐนั้น ในขั้นต้นราษฎรเลือกหัวหน้าหมู่ขึ้นปกครองดำรงตำแหน่งกษัตริย์ และมีคณะขุนนางอันได้แก่ ราษฎรชั้นสูงเป็นที่ปรึกษา ภายหลังพวกขุนนางก็ชิงอำนาจการปกครองมาไว้ในคณะของตน ครั้นนานวันเข้าเมื่อราษฎรไม่พอใจในการปกครองของขุนนาง ก็ได้ชิงอำนาจปกครองมาอยู่ที่ตนเอง มีลักษณะเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ราษฎรทุกคนมีส่วนในการปกครองนั้น บางนครรัฐก็มิได้วิวัฒนาการการปกครองในรูปประชาธิปไตย แต่มีการปกครองในรูปอื่น เช่น การปกครองแบบคณาธิปไตยหรือโดยชนหมู่น้อย (Oligarchy) การปกครองโดยชนชั้นสูงผู้ดีหรืออภิชน (Aristocracy) และปกครองโดยอำนาจปกครองอยู่ในมือคนคนเดียวคือปกครองแบบทรราชย์ (Tyranny)
        สภาวะทางการเมืองและสังคมแบบนครรัฐไม่ส่งเสริมความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ชาว กรีกทั้งมวลพัฒนาการที่จะนำไปสู่ความเป็นอาณาจักรเดียวกันจึงเป็นได้ยาก อีกทั้งไม่เกื้อกูลในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในกรณีที่มีการคุกคามจากภายนอก นครรัฐกรีกทั้งปวงแตกต่างกันในการพัฒนาความก้าวหน้า บางนครรัฐอาจเจริญก้าวไปไกลกว่านครรัฐอื่นๆ นครรัฐที่มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งที่สุด คือนครรัฐสปาร์ตา แต่นครรัฐที่เจริญที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดต่อโลกสมัยต่อมาคือ นครรัฐเอเธนส์
นครรัฐเอเธนส์
        นครรัฐเอเธนส์ประกอบด้วยบริเวณที่สำคัญ 2 บริเวณ คือ อโครโปลิส (Acropolis) และ อกอรา (Agora) อโครโปลิสเป็นเนินเขาสูงเป็นที่ประดิษฐานวัดวาอารามและสถานที่สำคัญทางราชการ เนินนี้อาจดัดแปลงเป็นป้องที่ให้ผู้คนพลเมืองเข้ามาลี้ภัย และตั้งรับศัตรูได้ในยามที่ถูกรุกราน ใต้บริเวณอโครโปลิส ลงมาเป็นร้านรวงและที่อยู่อาศัยของพลเมืองเรียกว่าอกอรา
        นครรัฐเอเธนส์เป็นนครรัฐเล็ก มีพลเมืองเพียง 50,000 คน นอกนั้น ได้แก่พวกทาสและชนต่างถิ่น ซึ่งรวมด้วยกันทั้งสิ้นประมาณ 130,000 คน เอเธนส์ได้วิวัฒนาการการปกครอง เป็นสาธารณรัฐปกครองในรูปประชาธิปไตย โดยเจ้าหน้าที่ซึ่งเลือกมาจากพลเมือง 50,000 คน รูปการปกครองแบบประชาธิปไตยของเอเธนส์แตกต่างจากประชาธิปไตยที่เข้าใจในสมัยปัจจุบันแต่ก็เป็นรูปการปกครองที่ให้สิทธิเสรีภาพมากที่สุดในสมัยโบราณ ที่แตกต่างจากประชาธิปไตยในปัจจุบันคือ
        1. สิทธิในการปกครอง สงวนไว้สำหรับประชากรเพียง 1/6 เท่านั้น
        2. สตรีไม่มีหน้าที่หรือสิทธิใดๆ นอกครัวเรือน
        3. พลเมืองแต่ละคนใช้สิทธิในระบอบประชาธิปไตยของตนโดยตรง ไม่ต้องเลือกผู้แทนเข้าไปใช้สิทธิดังกล่าวจำนวนพลเมืองมีสิทธิไม่มาก จึงไม่จำเป็นต้องมีผู้แทน พลเมืองทุกคนจะร่วมประชุมสภาราษฎรและถกเถียงในปัญหาต่างๆ ได้อย่างอิสระ การโต้กันในสภาราษฎร อาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างอาคารใหม่ วิธีการเกษตรแบบใหม่หรือการลงมตินำรัฐเข้าสู่สงคราม พลเมืองทุกคนมีสิทธิพูดและลงคะแนนเสียงเห็นด้วยหรือโต้แย้งญัตติใดๆ ด้วยตนเอง วิธีดังกล่าวเมื่อนำมาใช้กับรัฐปัจจุบันที่มีพลเมืองมากมายย่อมไม่เป็นผล ด้วยเหตุนี้ประชาธิปไตยปัจจุบันจึงดัดแปลงด้วยการเลือกผู้แทนขึ้นพูดและลงคะแนนเสียงในญัตติต่างๆ
        พลเมืองชาวเอเธนส์มีสิทธิที่จะเข้าร่วมในคณะลูกขุนซึ่งพิจารณาคดีต่างๆ โดยใจสมัคร ในการพิจารณาคดี ผู้พิพากษาจะนั่งเป็นประธานเท่านั้น ส่วนการชี้ว่าผิดหรือถูก เป็นหน้าที่ของคณะลูกขุน ซึ่งประกอบด้วยพลเมือง มติต่างๆ ของสภาผู้แทนราษฎร จะมีคณะเจ้าหน้าที่บริหารเป็นผู้ดำเนินการ เจ้าหน้าที่บริหารเหล่านี้อาจเลือกขึ้นมาหรือจับฉลาก ได้รับเงินเดือนเพียงเล็กน้อย แต่ถือว่าเป็นเกียรติยศชื่อเสียง ชาวเอเธนส์ที่ได้รับตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารจะทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อรักษาเกียรติยศที่ตนได้รับชาวเอเธนส์รักนครรัฐของตนเป็นชีวิตจิตใจ ข้าวของเงินทองที่หามาได้ใช้บำรุงนครรัฐของตนให้สวยงาม น่าอยู่ ชาวกรีกไม่นิยมความหรูหราฟุ่มเฟือยและดูถูกคนที่ใช้จ่ายเงินทองซื้อเพชรนิลจินดาเสื้อผ้าแพรพรรณ บ้านช่องที่โอ่อ่าหรูหราพร้อมด้วยสมบัติส่วนตัว คนกรีกมีความเห็นว่าคนเหล่านั้นหยาบกระด้างและยังไม่ได้ขัดเกลา เขานิยมคนที่ใช้เงินทองเพื่อของส่วนรวม เช่น การก่อสร้างสาธารณสถาน หรือวัดวาอารามต่างๆ ชีวิตในนครรัฐเอเธนส์เป็นชีวิตที่แจ่มใสและน่าอยู่ นครรัฐตั้งอยู่ติดกับทะเลและมีเนินเขาย่อมๆ อากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนกำลังสบายไม่หนาวเกินไปหรือร้อนเกินไป ท้องฟ้าและทะเลเป็นสีฟ้าครามตลอดทั้งปี ข้าวปลาอาหาร ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ก็เพียงพอเลี้ยงพลเมือง ผู้คนพลเมืองมีจิตใจกล้าหาญเป็นนักรบ แต่ในยามสงบแล้วรักสันติและรักการสนทนาโต้ตอบแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ชาวกรีกรักการสนทนาโต้แย้งฉันท์มิตร เพราะเป็นหนทางที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง การโต้แย้งกันในทางวิวาทชาวกรีกถือว่าเป็นของต่ำ และแสดงความโง่เขลาเบาปัญญา ชาวกรีกถกเถียงกันในปัญหาทุกเรื่องอย่างสงบและโดยปราศจากอคติ ทุกคนต่างเคารพสิทธิของผู้อื่นในการแสดงความคิดเห็น และถึงแม้ผู้อื่นจะไม่เห็นพ้องกับความคิดของตนหรือตนไม่เห็นด้วยกับความคิดของผู้อื่นก็ไม่ถือว่าคนทั้งสองเป็นศัตรูต่อกัน


  นครรัฐสปาร์ตา
        นครรัฐสปาร์ตา เป็นนครที่ใหญ่ที่สุดและทรงอำนาจแข็งแกร่งที่สุดในบรรดานครรัฐกรีกทั้งหลาย เป็นผู้นำทางด้านการทหาร เนื่องจากมีกองทัพที่มีระเบียบวินัยและเกรียงไกรที่สุด(1) ประกอบขึ้นด้วยทหารที่มีความเสียสละอดทนและอุทิศชีวิตเพื่อความยิ่งใหญ่ของนครรัฐ
        ประชาชนในนครรัฐสปาร์ตาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
        1. สปาร์เตียตส์ (Spartites) เป็นพวกดอเรียนส์ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในสปาร์ตา ถือเป็นชาว สปาร์ตาโดยแท้ พวกนี้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในนครรัฐ ทำหน้าที่เป็นทหารรัฐ
        2. เปริโอซิ ((Perioeci) คำนี้ภาษากรีกแปลว่า ผู้ที่อาศัยอยู่โดยรอบ ได้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านโดยรอบนครรัฐสปาร์ตา เป็นชาวเลซีเดโมเนียนที่สืบเชื้อสายปะปนกันมา พวกนี้จัดเป็นเสรีชนและมีส่วนในกิจการต่างๆ ภายในหมู่บ้านของตน แต่ขาดสิทธิในทางการเมืองภายในนครรัฐ สปาร์ตา ขาดสิทธิในการสมรสกับหญิงสปาร์เตียตส์ มีหน้าที่ต่อรัฐคือรับราชการทหารและประกอบการ กสิกรรม
        3. เฮล็อต (Helot) พวกนี้เป็นชนพื้นเมืองเดิม ที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้มาก่อน เมื่อพวกเลซีเดโมเนียนเข้ามาตั้งบ้านเรือน ก็ได้ปกครองคนเหล่านี้ในฐานะเป็นทาสของรัฐ มีหน้าที่ทำงานในที่ดินของผู้ที่เป็นนายและแบ่งผลประโยชน์ที่ได้จากที่ดินให้แก่ผู้ที่เป็นนาย พวกเฮล็อตนั้นเป็นชาวกรีกโดยแท้และมีจิตใจรักอิสรภาพเช่นชาวกรีกทั้งหลาย เมื่อมาถูกจำกัดอิสรภาพและลดฐานะก็เกิดความไม่พอใจ และมักปักใจอยู่กับการก่อการปฏิวัติ พวกสปาร์เตียตส์ก็ตระหนักในเรื่องนี้ดี ดังนั้น เมื่อมีการสงสัยว่าเฮล็อต คนใดคิดการปฏิวัติ ผู้นั้นจะได้รับโทษถึงประหารชีวิตทันที
        ชาวกรีกโบราณมีคุณลักษณะพิเศษที่น่าชื่นชมอยู่ 2 ประการ คือ
        1. เป็นผู้มีสติปัญญารอบรู้ สิ่งนี้เป็นผลมาจากความอยากรู้อยากเห็น และมีจิตใจเป็นผู้ชอบซักถามและมีวิจารณญาณที่ดี ชอบค้นคว้าแสวงหาเหตุผลของทุกๆ สิ่งที่อยู่รอบตัวและในชุมนุมชนที่อยู่ห่างไกลออกไป
        2. เป็นผู้มีความรู้สึกละเอียดอ่อนละมุนละไมในความงดงามและมีพลังความสามารถที่จะสร้างสิ่งที่งดงามด้วยคุณลักษณะ 2 ประการดังกล่าว ชาวกรีกโบราณได้ประสบผลสำเร็จในการสร้างสมอารยธรรมอันเป็นมรดกตกทอดมาสู่โลกตะวันตกจนถึงปัจจุบัน
        สาเหตุที่สปาร์ต้าไม่เป็นผู้นำในอารยธรรมกรีก
        ในสมัยศตวรรษที่ 7 ที่หลักฐานเชื่อถือได้ว่าสปาร์ต้าเป็นผู้นำในอารยธรรมกรีก กวีเอกชาวกรีก ได้เขียนไว้ในโคลงของเขาบรรยายถึงการดำเนินชีวิตอย่างสุขสบายเต็มไปด้วยความสุขสงบ ความรักและความเพลิดเพลินในชีวิตของสปาร์ตาในสมัยศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาลนี้ เครื่องปั้นดินเผาที่ขุดพบก็แสดงถึงอารยธรรมที่สูงส่งของชาวสปาร์ต้า และชาวสปาร์ต้าก็มิได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่ก็มีการติดต่อกับพวกเอเซียติคกรีก (Asiatic Greek) ในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล สปาร์ต้าเริ่มไม่สนใจกับศิลปวิทยาการ และสูญเสียฐานะผู้นำทางอารยธรรมไปให้กับเอเธนส์ในที่สุด ซึ่งสาเหตุที่สปาร์ตาไม่เป็นผู้นำในอารยธรรมกรีกนั้น พอจะสรุปได้ดังนี้
        1. สปาร์ตาตั้งอยู่บนคาบสมุทรเพลอปปอนเนซุส ซึ่งเกือบจะถูกตัดขาดจากผืนแผ่นดินใหญ่มีเพียงคอคอดรินธ์ ์เชื่อมต่อกับกรีกตอนกลางล้อมรอบด้วยภูเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตก ขาดท่าเรือดีๆ ที่จะติดต่อกับโลกภายนอก การรับถ่ายทอดอารยธรรมหรือการเผยแพร่อารยธรรมเป็นไปได้โดยลำบาก
        2. หวาดเกรงพวกเฮล็อตซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในความดูแลของสปาร์ตาจะก่อการกบฎแย่งชิงอำนาจจากพวกตนซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนน้อยมาก สปาร์ตาเริ่มหวาดระแวงเกรงตนจะสูญเสียอำนาจ เร่งปรับปรุงทางด้านการทหารให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ไม่สนับสนุนการค้าหรือศิลปวิทยาการใดๆ ตัดการติดต่อกับโลกภายนอก ไม่ยอมรับแนวความคิดใหม่ๆ หรืออารยธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ความคิดเห็นส่วนบุคคลและความคิดสร้างสรรค์ก็ถูกขัดขวางมิให้แสดงออกทำให้ชาวสปาร์ตาล้าหลังกว่านครรัฐอื่นๆ ในด้านศิลปวิทยาการและความนึกคิด
        3. สปาร์ตาเชื่อว่าการหลงละเมออยู่ในความสุข ความสะดวกสบาย ความมั่งคั่งและศิลปวิทยาการจะทำให้สปาร์ตาสูญเสียอำนาจในการเป็นรัฐผู้นำในคาบสมุทรเพลอปปอนเนซุสประกอบกับความหวาดระแวงในศัตรูตัวฉกาจคือนครรัฐอาร์กอส (Argos) จะแย่งชิงอำนาจจากตน ทำให้สปาร์ตา ไม่สนใจในการทำนุบำรุงศิลปวิทยาการเช่นนครรัฐเอเธนส์

ความเจริญของชนชาติกรีกโบราณ
        1. อารยธรรมดั้งเดิมแถบทะเลอีเจียนก่อนพวกกรีกอพยพลงมาดินแดนแถบฝั่งทะเลทางตะวันตกของเซียไมเนอร์ (Asia Miner) เกาะต่างๆ ในทะเลอีเจียน (Aegean Sea) และเมืองทางแห่งขุนแหลมกรีกเจริญก่อนที่พวกกรีกจะอพยพมาตั้งแต่ 3000 B.C. พร้อมๆ กันอียิปต์และแถบลุ่มแม่น้ำ 2 สาย ลงมาจนราว 1100 B.C. อารยธรรมแถบนี้รวมเรียกว่า Aegean Civilization
        1.1 แถบที่เจริญหน้าที่สุดได้แก่ที่เกาะ Cvete ซึ่งเจริญสูงสุดในระหว่าง 1700-1400 B.C. อารยธรรมที่แบ่งนี้มีชื่อเฉพาะลงไปอีกว่า Minoan Civilizationเมืองที่สำคัญที่เกาะ Crete ได้แก่ Cnassus Knossus ซึ่ง Sir. Arthur Evans ได้ทำการขุดค้นเมื่อราว ค.ศ. 1900 ปราสาทสูงหลายชั้น 3-4 ชั้น มีห้องจำนวนมากและมีห้องใต้ดิน ทางเข้าวกวนมีระบบการระบายน้ำเสีย การประปามีสถานที่สำหรับเล่นกีฬา มีการใช้ Bronze และทำเครื่องปั้นดินเผาแบบโอ่ง ไห ขนาดใหญ่จนถ้วยเล็กๆ ซึ่งมีลวดลายสวยงาม มีการใช้ทอง งาช้าง และเพชรนิลจินดาเป็นเครื่องประดับ มีการวาดภาพตามฝาผนัง มีตัวอักษรใช้เป็นรูปภาพ แบบ Symbolic ซึ่งมีสลักบนแผ่นดิน
        1.2 แถบที่เจริญบนแหลมกรีก เมือง Mycenacซึ่งเจริญต่อจากแถบ Crete ราว 1600-1100 B.C. ผู้ที่ทำการขุดค้นคือ Heinrica Schliemanr (1870) ปรากฎว่ามีความเจริญทางการก่อสร้างปราสาทมีหอคอยล้อมและมีกำแพงหน้าถึง 10 ฟุต หลุมฝังศพใช้หินก้องใหญ่ มีความร่ำรวยเห็นได้จากการใช้ทอง สัมฤทธิ์ ใช้เงิน ใช้ทองปิดหน้าศพด้วยน้ำทำด้วยทองและเงิน แหวนทอง ดาบ และมีดทำด้วยทองสัมฤทธิ์ พวกกรีกสาขา Achaeans ซึ่งเป็นพวกแรกที่อพยพลงมาจากทางเหนือจะมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ Mycenae นี้ และจะทำความเจริญให้จนผลที่สุดจะถูกพวก Darians เข้ามาคุกคามเมื่อ 1200-450 B.C.
        1.3 เมืองแถบฝั่ง Asia Miner-Trov เจริญในระยะแรกนี้เช่นเดียวกัน Heinrich Schlieman เป็นผู้ขุดค้นพบสถานที่แสดงว่าเคยเจริญมาจริงๆ ได้มีสงครามระหว่างพวกกรีก Myceneans กับ Troy เมื่อราว 1200 B.C. เรียกว่า Trojan Warสภาพภูมิศาสตร์
        แหลมกรีกเขตภายใต้ของแหลมบอลข่าน (Balkan) ซึ่งนับตั้งแต่แม่น้ำดานูบลงไปนับเป็นแหลมใหญ่ของยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิอากาศเป็นประเภทเมดิเตอร์เรเนียนอบอุ่นและมีแดดมากกว่าทางเหนือของยุโรป พืช ได้แก่องุ่น โอลิพ สินค้าที่มีมากแต่โบราณ คือน้ำมันมะกอก เหล้าองุ่น สัตว์ ได้แก่ แพะ แกะ หน้าร้อนไม่ร้อนจัดได้รับลมทะเลอยู่มากเพราะฝั่งทะเลเว้าแหว่ง
ภูมิประเทศมีภูเขาใหญ่น้อยมากมาย มีคอคอดชื่อ Corinth ทางใต้ของคอคอดเป็นแหลมที่มีชื่อแต่โบราณว่า Peloponnesus Morea ที่ราบมีน้อยแห่ง ที่กว้างขวางคือ Plain of Thessalia เหนือแม่น้ำมีขนาดสั้นและไหลเชี่ยวไม่สะดวกในการเดินเรือ แนวฝั่งทะเลเว้าแหว่งมาก และมีเกาะมากมายในทะเลทางตะวันออกซึ่งมีชื่อว่าทะเลอีเจียน Aegean Sea ไม่มีส่วนใดของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่จะมีเกาะแหลมและอ่าวมากเท่ากับแถบตะวันออกของแหลมกรีก
        ผลของสภาพภูมิศาสตร์ต่อความสามารถและการปกครองของชาวกรีกความเว้าแหว่งของฝั่งทะเลเป็นที่กำบังคลื่นลม เกาะต่างๆ ช่วยให้เดินเรือต่อออกไปได้ไกล ชาวกรีกแต่โบราณจึงมีความชำนาญในการเดินเรือยิ่งความสามารถนี้จะช่วยให้พวกกรีกรอดพ้นภยันตรายเมื่อถูกเปอร์เซียนรุกราน ภูเขาเป็นสิ่งกีดกั้นการติดต่อจึงทำให้แยกกันอยู่เป็นหมู่ๆ อย่างเป็นอิสระ แต่ละหน่วยของการปกครองของกรีก เรียกว่า Polis หรือ City state แต่ละหน่วยของการปกครองด้วยตัวเมืองและบริเวณรอบๆ ขนาดของAthens ว่า ราว 1,000 ตารางไมล์ Sparta ราว 100 ตารางไมล์ ส่วนสำคัญที่สุดของแต่ละนครรัฐ มักจะอยู่บนเนินเขาสูงของเมือง เรียกว่า Acropolis
        นครรัฐแต่ละแห่งปกครองตนเองมีกฎหมายของตนเองไม่ค่อยลงรอยกันแก่งแย่งชิงดีกัน แต่ในยามมีศึกจากภายนอกบรรดานครรัฐทั้งหลายก็ร่วมกันรบข้าศึกเมื่อขับไล่ศัตรูไปได้แล้วก็แยกกันดังเดิม

สมัยต่างๆ ในประวัติศาสตร์กรีก
        กรีกสมัย Iliad และ Obysocy หมายถึง สมัยเริ่มตั้งประเทศราว 1300 B.C. - 600 B.C. Obysocy ซึ่งเป็นบทประพันธ์แบบมหากาพย์ของ Homer-Homeric Epics สันนิษฐานว่าเขียนราว 900-800 B.C. Homer เป็นนักประพันธ์ตาบอดมีถิ่นฐานอยู่แถบเกาะ Chios มีผู้ตั้งแนวคิดว่ามหากาพย์ทั้ง 2 เรื่องนี้ไม่ใช่ฝีปากของ Homer งานเดิมของ Homer สั้นกว่านี้ แต่มีนักประพันธ์อื่นมาช่วยกันแต่งต่อเติมIIiad มาจากชื่อ Ilium, Ilion ซึ่งเป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของ Troy มุ่งกล่าวถึงวีรบุรุษในสงครามระหว่างชาวกรีกและชาวทรอย (Trojan War) วีรบุรุษคนสำคัญชื่อ Achilles 
         มูลเหตุของสงครามเกี่ยวเนื่องกับเทพเจ้าของกรีกในงานเลี้ยงระหว่างเทพเจ้าเนื่องในการสมรส Eris ไม่ได้รับเชิญแต่ก็มาปรากฏตัวในงานพร้อมด้วยนำแอปเปิลทองคำมาประกาศให้แก่ผู้ที่งามที่สุด Hera, Athena และ Aphroldite ซึ่งมีอีกชื่อว่า Juno, Minerva และ Venus ตามลำดับ เป็นผู้ที่มุ่งเข้าแข่งขันกันจะเป็นเจ้าของแอปเปิลทองคำตกลงกันไปให้ Paris เป็นผู้ตัดสินแต่ละองค์ก็พยายามให้รางวัล อำนาจ ความรู้ หญิงงามที่สุด ต่อมา Paris ได้พบกับ Helen มเหสีของ King Menelaus ของ Spurta ซึ่งเป็นหญิงงามที่สุดในขณะนั้น และได้ลักพากลับ Troy โดยมี Aphrodite เป็นผู้ช่วย พวกกรีกทั้งหลายพากันยกทัพตามมาเพื่อนำ Helen กลับคืน ในบรรดาแม่ทัพมี Aganmemnon อนุชาของ Menelaus ผู้เป็นกษัตริย์ของ Mycenae เป็นหัวหน้าสำคัญอยู่ด้วยคนหนึ่ง การรบติดพันอยู่ถึง 10 ปี ไม่แพ้ชนะกันอย่างเด็ดขาด จนกระทั่งมีการคิดอุบายทิ้งม้าไม้ไว้แล้วทำเป็นคอยทัพกลับจึงสามารถตี Troy ได้สำเร็จObysocy เป็นเรื่องของ Obysscus (Ulysses) กษัตริย์แห่ง Ithaca ซึ่งต้องเร่ร่อนอยู่ถึง 10 ปี จึงสามารถเดินทางกลับบ้านเมือง และกลับไปพบ Penelope มเหสีผู้จงรักภักดีได้ Obysseus ถูกลงโทษจากเทพเจ้าที่เข้าข้าง Troy เพราะเป็นผู้คิดอุบายสร้างม้าไม้
        จากทั้งสองเรื่องนี้ ช่วยให้เราเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับเทพเจ้าของกรีกว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับมนุษย์ แต่มีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่า ยังมีอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลงและมีความสนใจลงมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ สิงสถิตย์อยู่ที่ภูเขาโอลิมปัส (Olumpus) ซึ่งมีหิมะปกคลุมอยู่เสมอ มีการยกย่องวีรบุรุษจนเป็นเสมือนกึ่งเทพเจ้า มีเรื่องราวของคนธรรมดา การค้าขาย การหาเลี้ยงชีพ การทำไร่ไถนา ลักษณะความเป็นไปของพระเจ้าแผ่นดินของกรีกโบราณด้วย
         กรีกสมัยแสวงหาอาณานิคม ราว 800-600 B.C. หลังจากตั้งถิ่นฐานมั่นคงแล้ว แถบช่องแคบ Hellespaont Dardanelles ปัจจุบันเข้าไปยังทะเล Marmara ผ่าน Bospours ออกไปยังทะเลดำ (Black Sea) แถบทางใต้ของอิตาลีและเกาะชิลี ชาวกรีกอพยพไปตั้งถิ่นฐานกันมากมาย จนมีชื่อเรียกว่า Great Greece Magna Graecia เมืองหลายเมืองมีชื่อมาจากชื่อกรีกเช่น Naples มาจาก Neapotis แถบทางใต้ของฝรั่งเศส และตะวันออกของสเปนมีเมืองซึ่งมีชื่อสืบเนื่องมาจากกรีก เช่น Nice มาจาก Nike
        สรุปเกี่ยวกับการออกแสวงหาดินแดน คือ มีนิสัยชอบท่องเที่ยวผจญภัย เนื่องจากความไม่อุดมสมบูรณ์ของที่ดิน เครื่องอุปโภคอาจไม่เพียงพอ จำนวนพลเมืองเพิ่มมากขึ้น หลังจากตั้งถิ่นฐานเรียบร้อยแล้ว จึงต้องหาทางระบายพลเมือง หลังจากนี้การค้าขายเจริญขึ้น พวกเจ้าของที่ดินพยายามหาทางปรับปรุงการเพาะปลูก ผู้ที่มีเงินทุนและรู้จักวิธีปรับปรุงก็ร่ำรวยขึ้น พวกที่ทุนน้อย การเพาะปลูกไม่ได้ผลก็ยากจนลงต้องขายที่ดินไปทำอาชีพรับจ้าง สังคมจะซับซ้อนยิ่งขึ้น

อัพเดทล่าสุด