วันก่อน นิติภูมิเขียนรับใช้ถึงการส่งเสริมให้มีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติเข้ามาประเทศไทยในจำนวนมาก
สำนักข่าวมุสลิมไทย
พฤหัสบดี ๑๖ กันยายน ๒๕๕๓
นายพงศ์ภัทร์ นิธิศภธรพงศ์ นายกเทศมนตรีตำบลร้องกวาง ประธานสันนิบาตเทศบาลจังหวัดแพร่ ชวนนิติภูมิพูด “สถานการณ์อดีต ปัจจุบัน อนาคต การเมืองไทยและประเทศในกลุ่มอาเซียน” รับใช้ผู้บริหาร สมาชิกสภาฯ และพนักงานเทศบาล ๓๕๐ คน เวลา ๑๓.๐๐-๑๗.๐๐ น. ของพฤหัสบดีวันนี้ ที่หอประชุม ม. แม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระเกียรติ จ. แพร่
วันก่อน นิติภูมิเขียนรับใช้ถึงการส่งเสริมให้มีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติเข้ามาประเทศไทยในจำนวนมาก ทว่าผมได้วงเล็บไว้ในเรื่องความมั่นคงของประเทศด้วย ที่ต้องเรียนอย่างนั้น เพราะปัจจุบันทุกวันนี้ มีหลายประเทศกำลังเจอปัญหาที่แก้ไม่ตกจากกรณีที่นักท่องเที่ยวหายตัว หลังจากที่วีซ่าท่องเที่ยวหมดอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วีซ่าประเภทยื่นขอเมื่อเดินทางมาถึง หรือ Visa on arrival (VOA)
ประเทศที่กำลังปวดหัวอยู่ตอนนี้นี่ก็คือ มาเลเซีย เพราะระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๕๒ ทางการมาเลเซียออกวีซ่าประเภทยื่นขอเมื่อเดินทางมาถึง (VOA) ทั้งหมด ๒๗๑,๓๙๑ คน ปรากฏว่ามีผู้อยู่เกินกำหนด ๗๕,๔๖๒ คน และที่หายไปเลย โดยไม่รู้ว่าไปเป็นตายร้ายดียังไง อยู่ที่ไหน ก็เป็นคนสัญชาติอินเดียซะ ๓๙,๐๔๖ คน
เมื่อตรวจสอบภูมิหลังของคนอินเดียที่สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยในแผ่นดินของตนเอง ทางการมาเลเซียก็เจอข้อมูลที่น่าสนใจ เพราะคนอินเดียผู้สูญหายส่วนใหญ่มาจากมหานครเชนไน เมืองเอกของรัฐทมิฬนาฑู ที่อยู่ตอนใต้ของอินเดีย
หลายคนสนใจว่า อ้า คนพวกนี้หายไปไหน บางคนหันไปศึกษาข้อมูลที่ว่า กลุ่มแนวร่วมเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชาวฮินดูเริ่มเพิ่มกิจกรรมและกระดิกพลิกตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้อ่านท่านที่เคารพก็คงจะทราบดีอยู่แล้วนะครับว่า มาเลเซียนั้นมีคนกลุ่มน้อยเป็นชาวจีนที่นับถือศาสนาพุทธ และชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู อยู่ด้วย
ความประสงค์จะโกยเงินจากด้านการท่องเที่ยวอย่างรีบเร่ง ทำให้มาเลเซียพลาดรับคนต่างชาติที่ไม่ดีเข้ามาเยอะเหมือนกัน นักท่องเที่ยวเน่าๆ เมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่พ้นประกอบอาชญากรรม ผู้อ่านท่านครับ ปีที่แล้ว พ.ศ. ๒๕๕๒ มาเลเซียมีนักโทษต่างชาติที่รัฐบาลต้องดูแลเรื่องอาหารการกินในคุกมากถึง ๘๑,๓๙๖ คน ถ้าคิดเป็นร้อยละ ก็เท่ากับร้อยละ ๔๐ ของนักโทษในคุกของมาเลเซียทั้งหมด
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๙ – ๒๕๕๒ มีคนต่างชาติถูกจับกุมและคุมขังอยู่ที่ศูนย์คนหลบหนี้เข้าเมืองของมาเลเซียทั่วประเทศมีมากถึง ๔๐๘,๙๗๙ คน
ผู้อ่านท่านลองหลับตานึกถึงงบประมาณด้านค่าอาหารที่รัฐบาลมาเลเซียต้องจ่ายให้คนพวกนี้กินในแต่ละปีซีครับ ว่ามีมากมายมโหฬารขนาดไหน
นอกจากนั้น ยังต้องมีงบประมาณผลักดันชาวต่างชาติพวกนี้ออกนอกประเทศอีก ถามว่า คุ้มกันไหมครับ กับการที่เร่งรับคนเข้าประเทศแบบมั่วซั่ว?
รูปจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อข่าว
มนุษย์ประเภทหนึ่งซึ่งรัฐบาลมาเลเซียกำลังปวดเศียรเวียนเกล้ามากอยู่ในขณะนี้ก็คือพวก Pondan Siam อ้า ถ้าแปลเป็นไทยภาษาของเรา ก็น่าจะได้ว่า ‘ประเทืองไทย’ หรือ ‘กะเทยไทย’ ที่เดี๋ยวนี้เข้าไปทำมาหากินขายบริการทางเพศกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันในดินแดนมาเลเซีย
นิติภูมิไม่เคยไปใช้บริการดอก แต่อ่านจากข่าวพบว่า ราคากระเทศไทยแพงกว่ากะเทยท้องถิ่นซึ่งส่วนใหญ่ให้บริการกันครั้งละ ๒๐ ริงกิต (๒๐๐ บาท)
ทว่า ถ้าเป็นกะเทยไทย ซึ่งถือว่าเป็นกะเทยนอก ผู้ใช้บริการจะต้องใช้จ่ายให้ค่าบริการมากถึง ๖๐ ริงกิต หรือประมาณ ๖๐๐ บาท
ที่ราคาค่าบริการของประเทืองไทยแพงกว่าราคากะเทยมาเลย์ เพราะกะเทยมาเลย์มักจะมีสถานะเป็น นายเอาซียะห์ เพียงอย่างเดียว ส่วนกระเทยไทยหลายคนผ่านการแปลงชื่อเป็น นายมีรูนะห์ เรียบร้อยแล้ว
นิติภูมิหมายถึงกะเทยไทยเหล่านี้มีการทำศัลยกรรมแปลงเพศแล้ว ราคาจึงอภิพญามหาแพงกว่ากะเทยท้องถิ่นอย่างนายเอาซียะห์มากถึง ๓ เท่า
ผู้อ่านท่านที่เคารพ มาเลเซียเริ่มหันมาสนใจในการเข้าออกประเทศของผู้คนอย่างจริงจัง ทั้งคนสัญชาติมาเลเซียเองและชาวต่างชาติ
คนมาเลเซียที่ไม่แสดงแจงภาษีรายได้ ไม่คืนเงินกู้เพื่อการศึกษา ไม่จ่ายค่าภาษีนำเข้าสินค้า ผู้ถูกประกาศว่าเป็นบุคคลล้มละลาย รวมทั้งไอ้อีที่ถูกทางราชการต้องการตัว เพราะประกอบอาชญากรรม ฯลฯ คนพวกนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งปัจจุบันนี้มีอยู่ในบัญชีดำประมาณ ๓ แสนคน
ขณะเป็นนักศึกษาไปกู้เงินเพื่อการศึกษา มาใช้จ่ายในการเล่าเรียน แต่ยังไม่ใช้คืนตามเงื่อนไขที่กำหนด เมื่อประสงค์จะเดินทางออกนอกประเทศ ก็จะต้องไปขอใบรับรองจากกองทุนอุดมศึกษาแห่งชาติมาให้ ตม.ดูซะก่อน
หลายท่านแสดงแถลงความเห็นว่า งานตรวจคนเข้าเมืองไม่จำเป็นจะต้องขึ้นอยู่กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อันนี้ นิติภูมิของท่านผู้อ่านขอค้านครับ เรื่องของคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในประเทศของเรา เราจำเป็นต้องรู้เรื่องราวของพวกเขาบ้างพอสมควร ว่าเข้ามาทำอะไร ขณะนี้อยู่ที่ไหน เครือข่ายของหน่วยงานที่มีครอบคลุมทั่วประเทศ และมีศักยภาพติดตามชาวต่างชาติได้ลึกและดีที่สุดก็คือ ตำรวจ
สองสิ่งนี้นี่ สำคัญพอกัน คือ ๑. การออกไปทำตลาดให้นักลงทุนและนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทยให้มากๆ และ ๒. ขณะเดียวกัน ต้องมีมาตรการที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่า คนเหล่านั้นเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพที่จะเข้ามาใช้เงินกันจริงๆ
ไม่ใช่นักท่องเที่ยวผู้เข้ามาก่อปัญหา หรือเข้ามาขุดทอง
ไม่ว่าทองคำ หรือทองดำ ถ้าเข้ามาสร้างปัญหา เราไม่เอาดีกว่า!
Source: https://www.nitipoom.com