ทำอย่างไรดี เมื่อลูกสอบตก


868 ผู้ชม


ทำอย่างไรดี เมื่อลูกสอบตก

    ที่มาของบทความ: สรายุทธ เอื้ออวยชัย
    เหมาะสำหรับ: ผู้ปกครอง

    หมายเหตุ: ใครที่ต้องการก๊อปปี้ไปแปะที่อื่น ขอบอกว่า "ยินดี" แต่ช่วยให้เครดิตด้วย นะครับ

    บทความนี้มีแรงบันดาลใจ มาจากผู้แต่งได้รับคำถามมากมาย มาจากผู้ปกครองหลายๆท่าน ที่มักจะเข้ามาขอคำปริกษา ถึงประเด็นว่า ทำไมลูกของตน จึงสอบตก วิธีการแก้ปัญหา สาเหตุต่างๆ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีปัญหาแตกต่างกันออกไป แต่ในภาพรวมคือ ลูกของตน สอบตก หรือไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง
    ก่อนที่จะมาวิเคราะห์กันในแง่มุมต่างๆ ผมจะขอแบ่งภาพรวมของประเด็นของสาเหตุ รวมถึงปัจจัยต่างๆ (เมื่อรู้สาเหตุ จะรู้ถึงวิธีการแก้) โดยแบ่งได้ออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ ปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ นั่นคือ ปัจจัยของตัวเด็กเอง รวมถึงปัจจัยของผู้ปกครอง กับสาเหตุของปัญหา ที่ควบคุมไม่ได้เป็นปัจจัยภายนอก ได้แก่ สาเหตุของครูผู้สอน หลักสูตร รวมถึงลักษณะของข้อสอบ

    ก่อนที่จะเข้าถึงประเด็นของสาเหตุต่างๆ ต้องทำความเข้าใจในตอนแรกก่อนว่า อย่างไรถึงเรียกว่าสอบตก อย่างไรถึงเรียกว่าสอบผ่าน ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะกะเอาจาก เกณฑ์ของคะแนน เช่น คะแนนวิชาภาษาอังกฤษ เต็ม 100 ลูกสอบได้ 40 ถือว่าสอบตก หรือ ไม่ก็เรียนได้เกรดศูนย์ถือว่าสอบตก ซึ่งผมขอบอกว่าเกณฑ์การดูจากคะแนนนั้น เป็นเกณฑ์ที่เอาไว้ดูคร่าวๆเท่านั้น ไม่เป็นการบอกได้อย่างแท้จริง นั่นหมายถึง ผมอยากจะบอกว่า เราคงต้องเปลี่ยนมุมมองกันใหม่ ก่อนที่จะเริ่มเนื้อหาจริงๆของบทความนี้ นั่นคือ

    สมมุติว่า ลูกของผมสอบวิชาภาษาอังกฤษกับวิชาคณิตศาสตร์ จากคะแนนเต็ม 20 โดยผลปรากฎว่า ลูกผมสอบได้ 9 คะแนน ในขณะที่เด็กส่วนใหญ่ในห้อง ได้คะแนนอยู่ระหว่าง 0-6 คะแนน ผมกำลังจะมองว่า ลูกของผมสอบผ่านครับ ในขณะที่การหากผลสอบวิชาคณิตศาสตร์ลูกของผมได้ 11 คะแนน ในขณะที่เด็กในห้องส่วนใหญ่ได้ 15-20 คะแนน ผมกำลังจะมองว่า ลูกของผมสอบตกครับ ใช่ครับ ผมกำลังจะบอกว่า การจะดูว่าสอบตกหรือสอบผ่านนั้น จะต้องดูที่คะแนนที่จะต้องเทียบกับคนส่วนใหญ่ในห้อง หรือว่าในระดับชั้น นั่นเอง ดังนั้นผู้ปกครอง อย่าไปเครียดเลยครับ กับการสอบที่นักเรียนทั้งชั้นตก (รวมถึงลูกคุณด้วย) ที่ต้องมานั่งกลุ้มใจน่าจะเป็นกรณีที่ ลูกเราได้คะแนนน้อย กว่าเพื่อนๆเกือบทุกคนในชั้นเสียมากกว่าครับ


    สาเหตุที่ลูกสอบตก หรือ สอบไม่ได้อย่างที่หวังไว้ (สาเหตุที่ควบคุมได้)


    เด็กขี้เกียจ – อันนี้ตรงตัว เป็นสาเหตุหลักที่สุด และน่ากลัวที่สุด เนื่องจากปัจจุบัน พ่อแม่หลายท่านเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ทำให้ลูกทุกอย่าง จนเด็กทำอะไรไม่เป็น แม่กับลูกเหมือนสลับกัน เด็กบางคนตวาดแม่ อยากจะได้เอานั่น อยากจะเอานี้ ไม่อยากเรียน ฉันจะไปเที่ยว ใครจะทำไม ประเด็นของเด็กขี้เกียจ กับประเด็นที่เด็กเอาแต่ใจ จะมีความคล้ายกัน นั่นคือ ลูกไม่เรียน ลูกไม่ทำการบ้าน พ่อแม่ ก็ไม่ว่า ประมาณว่า จะขี้เกียจ ก็ตามใจนะจ๊ะ จะเล่นเกมส์ก็ไม่เป็นไร จะ BB จะแชท ก็ได้นะลูก งานนี้จบข้าวครับ เมื่อพ่อแม่ตามใจ ลูกจึงขี้เกียจไปหมดทุกเรื่อง แม้แต่ข้าว ยังไปซื้อเองไม่เป็น ไปกินข้าวกับคนอื่น คดข้าวใส่จานเอง ยังขี้เกียจทำ ต้องให้คนอื่นทำให้ แล้วนับประสาอะไร กับการอ่านหนังสือ ที่แสนน่าเบื่อหน่าย ล่ะครับ วิธีการแก้ไข คงจะไม่ใช่ที่ตัวลูก แต่กลับกลายเป็น ต้องแก้ที่ผู้ปกครอง นั่นแหละ ตัวดีเลย นั่นคือ อย่าตามใจลูกมากเกินไป ต้องมีวินัยกับลูก พยายามที่จะจ้ำจี้ จำไชให้ลูก คิดด้วยตัวเอง การตามใจต้องมีขอบเขต ผมเข้าใจครับว่า ทุกคนรักลูก แต่ความรักที่ถูกต้อง และหวังดีจริงๆ นั่นคือ การที่จะต้องฝึกให้ ลูกสามารถเอาตัวรอด เองได้ เมื่อคุณจากพวกเขาไป เมื่อถึงเวลาอันควร การที่ลูกจะเอาตัวรอดได้ เมื่อคุณไม่อยู่ นั่นคือ จะต้องฝึกให้เค้า เป็นคนมีความรับผิดชอบ ขยัน และเป็นคนดีครับ

    ไม่สนใจเรียน – ค่อนข้างแตกต่างจาก ประเด็นของเด็กขี้เกียจ เพราะไม่ได้เป็นเด็กขี้เกียจ แต่ขยันที่จะทำอย่างอื่น มากกว่าจะสนใจเรียน เช่น ชอบเล่นเกมส์ เล่นกีฬา เล่นดนตรี เล่น BB หรืออ่านหนังสือก็จะอ่านแต่หนังสือการ์ตูน จริงๆแล้วประเด็นนี้ ไม่ค่อยน่าจะกังวลเท่าไหร่ เพราะเด็กก็มีความตั้งใจอยู่ในตัวเอง (เพียงแต่ชอบที่จะตั้งใจผิดเรื่อง) เพราะเด็กแบบนี้ หากมีเหตุผลกับเค้าเพียงพอ ก็พอที่จะปรับตัว ค่อยๆหันหน้ามาอ่านหนังสือ และแบ่งเวลาเข้าหาการเรียนได้ แต่ผู้ปกครองก็ต้อง พยายามที่จะ พูดด้วยเหตุผลกับเค้าเหล่านั้น และอาจจะต้องใช้เวลา พอสมควร ที่จะทำให้พวกเค้าค่อยๆปรับตัว เข้าหาการเรียน

    การคบเพื่อน – สิ่งสำคัญประเด็นหนึ่งที่ อาจจะทำให้ลูกหลาน เปลี่ยนได้จากหน้ามือ เป็นหลังเท้า นั่นคือการคบเพื่อน เพราะวัยรุ่นมักจะเป็น ไปตามเพื่อน เพื่อนนอน ข้าก็นอน เพื่อนโดด ข้าก็โดด เพื่อนลอก ข้าก็ลอก เพื่อนตก ข้าก็ตก (ตกไปไม่เป็นไรหรอก ข้ามีเพื่อน!!!) เป็นสาเหตุที่แก้ไขได้ยากมากที่สุด รองจากประเด็น ของเด็กขี้เกียจ เพราะ วัยรุ่นจะเป็นวัยที่ ตามเพื่อนมากกว่า ตามพ่อ การแก้ไขคงไม่มีนอก เสียจากการ เปลี่ยนโรงเรียน การเปลี่ยนห้อง การเปลี่ยนสังคมใหม่ๆ แน่นอนว่า แค่พูดนั้นง่ายว่าเอะอะ อะไรก็เปลี่ยนๆๆ และก็เปลี่ยน แต่ สิ่งที่ดีที่สุด คือการป้องกัน พยายามอบรม เมื่อลูกยังเด็กอยู่ (ระดับประถม อย่าให้เกินจากนี้) พยายามบอกว่า อะไรควร อะไรถูก อะไรผิด ชี้ให้เห็นถึง คนประเภทใด ควรคบ ควรเข้าหา ดังนั้น วิธีแก้ไม่มี มีแต่ป้องกัน เหมือนกับโรคเอดส์นั่นแหละครับ

    ระดับสติปัญญา – ตรงตัวเลย แต่จัดเป็นส่วนน้อย ต้องยอมรับ และพยายามทำความเข้าใจ ปัจจุบันการแพทย์ก้าวหน้าขึ้นมาก เด้กที่ตอนคลอดออกมา ที่ค่อนข้างอ่อนแอ ก็สามารถทำให้ รอดชีวิตได้มากขึ้น แต่เด้กที่โตขึ้นมา จะมีปัญหาด้าน IQ เป็นเด็กที่มีพัฒนาการค่อนข้างช้า อย่างไรก้ตาม วิธีการแก้ไข สามารถทำได้แต่เพียง การจัดการเรียนเพิ่มเติม (เรียนพิเศษเพิ่มมากขึ้น) แต่ก็ต้องมีการจัดการ การพักผ่อนที่ดี สนับสนุนลูกไปใน ด้านที่เค้าถนัด และเค้าชอบ การเรียนพิเศษ อาจจะทำให้ทรงๆ ไม่ให้แย่หนัก สิ่งที่อยากจะแนะนำคือ พยายามฝึก EQ ของเค้าให้มากๆ เพราะถึงแม้ว่าลูก อาจจะหัวไม่ดี แต่ถ้าฝึกให้เค้ามี ความรับผิดชอบ เป็นคนที่รู้จักหน้าที่ รู้จักการควบคุมอารมณ์ ก็ไม่น่าจะเป็นห่วง มากนัก เพราะเมื่อเค้าโตขึ้น อาจจะเรียนไม่เก่ง แต่ก็มีโอกาสมากที่จะ ประสบความสำเร็จในการทำงาน เป็นที่รักของเพื่อนฝูง เอาชีวิตรอดแน่นอน

    สาเหตุที่ลูกสอบตก หรือ สอบไม่ได้อย่างที่หวังไว้ (สาเหตุที่ควบคุมไม่ได้)

    ครูผู้สอน – สอนไม่รู้เรื่อง หรืออาจจะไม่ค่อยได้สอน มัวแต่นั่งเล่าปัญหาทางบ้านให้กับนักเรียนฟัง จนหมดเวลา ครูบางท่าน (บางท่านเท่านั้นนะ) เก็บไว้สอนพิเศษเองข้างนอก ครูบางคนก็สอนเก่ง สอนดี แต่ไม่มีความเป็นครูเท่าที่ควร สมัยก่อน ครูจะมีอาชีพเสริมเช่น ขายประกัน ขายตรง แต่ในปัจจุบัน เน้นสอนพิเศษแล้วเก็บเงินเด็ก ง่ายกว่า เร็วกว่า สอนในห้องให้งงๆเข้าไว้ เพื่อเด้กจะได้มาเรียนกับ ตนเอง เด็กคนนั้นก็จะได้เกรดดี พอเพื่อนๆเห็นว่าได้เกรดดี ก็แห่กันมาเรียน หาเงินกันเป็นกอบเป็นกำ บางครั้งเลวร้ายมาก เพราะปกติก็สอนไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว แต่จูงใจผู้ที่มาเรียน โดยการนำข้อสอบที่ตนเองออก มาสอนพิเศษแทน สำหรับมุมมองของผม ผมเห็นว่า การสอนพิเศษ ไม่ได้ผิดอะไร (คนทุกคนต้องใช้เงินกินข้าว) หากแต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ การตั้งใจสอนในห้อง ให้เหมือนกับการออกมาสอนพิเศษข้างนอก การแก้ไขนั้น เป็นไปได้ยาก เพราะ เป็นปัจจัยภายนอก ที่ควบคุมจากตัวเด็ก หรือผู้ปกครองไม่ได้เลย สิ่งที่พอจะแนะนำได้ ก็คือ การอ่านหนังสือ ทำความเข้าใจด้วยตนเอง เมื่อคิดว่าเรียน ไม่รู้เรื่อง หรือ อาจจะต้องมาติว เรียนเพิ่มเติม เอาจากข้างนอก

    หลักสูตรของแต่ละโรงเรียน – ต้องการมาตรฐานสูง โดยการออกข้อสอบให้ยากๆ คือ ยากเกินเกณฑ์เฉลี่ยของโรงเรียนทั่วไป ทางโรงเรียนไปเชิญ อาจารย์หรือผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ออกข้อสอบโอลิมปิค หรือโครงการ สสวท มาเป็นคนออกข้อสอบ ส่วนใหญ่แล้ว หากนักเรียนเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ สิ่งที่สังเกตได้คือ มักจะสอบตกกันยกชั้น หรือนักเรียนกว่าร้อยละ 80 จะตกเกือบทั้งหมด เมื่อผู้ปกครองพบกับ เหตุการณ์ลักษณะนี้ ขอให้ตั้งสติ ควรจะให้กำลังใจลูก มากกว่าการว่ากล่าว อีกสาเหตุที่มักจะเจอได้บ่อยๆ คือ กดคะแนนนักเรียน เพื่อไม่ต้องการให้เด็กไปสอบโรงเรียนอื่น อันนี้จะตรงข้ามกับมาตรฐานสูง เนื่องจากผู้ปกครองทุกคน ก็อยากจะให้ลูกหลานของตน ไปเข้าโรงเรียนที่ดีๆ ดังนั้นทางโรงเรียนจะให้วิธี กดคะแนนเด้ก หรือให้ผู้ปกครองรู้สึกว่า ลูกเรียนไม่เก่ง หัวปานกลาง เรียนอยู่โรงเรียนเดิมก็ดีแล้ว เพราะหากไปสอบ ก็คงสู้กับโรงเรียนอื่นไม่ได้

    วิธีการแก้ไข อันที่จริงแล้ว การแก้ไขผมได้กล่าวไว้แล้วในสาเหตุในแง่มุมต่างๆ แต่พอจะสรุปได้ดังต่อไปนี้

    เด็กขี้เกียจ รวมถึงเด็กที่ไม่สนใจเรียน การแก้ไขอยู่ที่การว่ากล่าวตักเตือนอย่างมีเหตุผล สร้างวินัยหน้าที่ให้กับเด็กตั้งแต่ ยังเด็กอยู่ (ไม่ควรเกินระดับประถม) สร้างความรับผิดชอบให้กับ บุตรหลานของตนเอง ผู้ปกครองจะต้องอย่าตามใจเกินไป ปล่อยให้เค้าลำบากบ้าง คิดเองบ้าง อาจจะต้องมีการจ้ำจี้จำไชบ้าง การคุยด้วยเหตุผล และผู้ปกครองลงมือปฎิบัติ อย่างเป็นรูปธรรม (ปรับให้ตึงขึ้น) เป็นทางออกที่ดีที่สุด

    การคบเพื่อน แก้ไขไม่ได้ แต่ป้องกันได้ โดยการชี้แนะ แยกแยะลักษณะคนแบบต่างๆ ให้เค้าฟัง ให้เค้าคิดแยกแยะตั้งแต่ยังเด็ก

    หัวไม่ดี แก้ไขไม่ได้ แต่ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป ส่งเสริมไปด้านที่เค้าชอบ ฝึกความรับผิดชอบ ฝึก EQ ให้เป็นคนใจเย็น และเป็นคนอารมณ์ดี เรียนพิเศษเพิ่มเติม และมีกิจกรรมให้พักผ่อน อย่างเพียงพอ

    สำหรับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ครูผู้สอนขาดจรรยาบรรณ หรือโรงเรียนที่กดเกรด สิ่งที่ผู้ปกครองทำได้คือ การให้กำลังใจ ทำความเข้าใจกับลูกหลาน อย่างไรเสีย สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือการฝึกความมีเหตุผล การมองโลกในแง่ดี รวมถึง อาจจะเรียนเพิ่มเติมเอาจากข้างนอก หรือฝึกให้ลูกหลานอ่านหนังสือเอง ซึ่งถึงแม้ว่าจะ เหนื่อยกว่าคนอื่นซักหน่อย แต่ความขยัน ก็สามารถทำให้สอบเข้ามหาวิทยาลัย ได้อย่างที่หวังเช่นกัน
    สรุปสุดท้าย การปรับความเข้าใจ ระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง ทั้งสองฝ่ายสำคัญที่สุด บางครั้งหย่อนไป ปรับให้ตึง (เด็กขี้เกียจ) การสั่งสอนอบรม ในขณะที่เค้ายังเด็กอยู่จะดีมาก แสดงตัวอย่างที่ดีด้วยตัวคุณเอง ในบางครั้งอย่าไปคาดหวัง กับผลการสอบมากนัก สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือ การฝึกให้ลูกหลาน เป็นคนมีความรับผิดชอบ และเป็นคนดี เพราะนั่นหมายถึง แม้ว่าถึงแม้ว่า เค้าจะสอบไม่ได้ แต่เค้าจะประสบความสำเร็จ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ทางด้านหน้าที่การงาน ทางด้านครอบครัว อย่างแน่นอน


www.acknowledge-centre.com

อัพเดทล่าสุด