ยุคที่สาม. ความเป็นทาสและผลที่ติดตามมา
อิสลามในปัจจุบัน
โดย อบุล อะลา เมาดูดี/บรรจง บินกาซัน แปล
ขอให้เราผ่านมายังยุคที่สามและดูสถานการณ์ที่เราได้ผ่านมาตลอดจนช่วงเวลาในยุคดังกล่าว ซึ่งเราไ ม่จำเป็นที่จะมาพูดกันถึงรายละเอียดอีกเพราะว่ายุคนั้นเพิ่งจะผ่านไปหยก ๆ เมื่อไม่กี่ปีมานี้เองและคิดว่าพวกเราทุกคนก็ยังจำได้ดีอยู่
ในอานุทวีปแห่งนี้ก็เช่นเดียวกับประเทศมุสลิมอื่น พวกผู้ปกครองต่างด้าวได้กดขี่ข่มเหงประชาชนทุกรูปแบบ พวกตะวันตกได้อาณาจักรมุสลิมอันเก่าแก่ ย่ำยีความเชื่อในศาสนา เหยีดหยามศักดิ์ศรี และทำลาย?ทรัพย์สินของมุสลิม แต่ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นสำหรับมุสลิมก็คือ การทำลายระบบการศึกษาเก่าของเราและนำเอาระบบการศึกษาใหม่ที่มีพื้นฐาน คุณค่าทางจริยธรรมและมาตราฐานทางวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากของเราเข้ามาแทนที่ด้วยเครื่องมือทางปัญญาชิ้นใหม่นี่เอง
พวกตะวันตกได้หาทางที่จะกันประชาชนมุสลิมในอนาคตให้พ้นไปจากอดีตของตัวเองให้มีความรู้สึกอับอายต่อประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของตนเองให้ดูถูกวัฒนธรรมของตนเองว่าล้าสมัยและถอยหลังเข้าคลอง และต่อต้านระบบของตัวเองว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ ในอีกด้านหนึ่งพวกตะวันตกก็ใช้การศึกษาแผนใหม่กระตุ้นคนมุสลิมรุ่นใหม่ให้เชื่อว่า ความรู้ วัฒนธรรมและจริยธรรมทุกอย่างนั้นเป็นของชาวตะวันตก
นี่เป็นอาชญากรรมอันเลวร้ายที่สุดที่นายต่างด้าวกระทำต่อมุสลิมบนผืนแผ่นดินนี้ ความจริงแล้วระบบการศึกษาแบบเก่าของเราสามารถที่จะทำให้เรายังคงรักษาสายใยของเรากับอดีตเอาไว้ได้ นอกจากนั้นแล้วยังสามารถทำให้เรายังคงตั้งมั่นอยู่ในศาสนาของเราได้
ตลอดจนสามารถทำให้ชุมชนรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามเอาไว้ได้อีกด้วย ส่วนระบบการศึกษาใหม่นั้นได้เข้ามาทำลายระบบการศึกษาเก่าของเรา และทำให้มันหมดค่าไปเมื่อมองจากทัศนะทางเศรษฐกิจ
บรรดามุสลิมที่ใฝ่ฝันความก้าวหน้าและความสำเร็จในชีวิตได้ละทิ้งระบบการศึกษาเก่าและรับเอาระบบของพวกต่างด้าวเข้ามาใช้แทน การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงระบบการศึกษานี้มีผลต่อชีวิตของประชาชนอย่างกว้างขวาง ภายใต้พลังของสถานการณ์เช่นนี้ถ้าทุกอย่างที่มีค่าในสังคมอันได้แก่บรรดาปัญญาชนคนมีการศึกษา และการเอางานเอาการ ซึ่งได้รับการฝึกมาอย่างดีได้หันไปสู่ระบบการศึกษาใหม่ซึ่งทำให้พวกเขาเสื่อมคลาย และดูถูกศาสนาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของพวกเขาเองมีมากขึ้นทุกที
การเปลี่ยนผู้นำ
ด้วยการนำเอาระบบการศึกษาแบบใหม่เข้ามาใช้ บรรดาผู้ปกครองต่างด้าวได้บีบหนทางก้าวหน้าของผู้ที่ได้รับการศึกษาในระบบอิสลามให้แคบลง นี่เป็นนโยบายที่มุ่งมาดปรารถนาที่จะบีบบังคับมุสลิมให้ปล่อยลูกหลานมาสู่ระบบการศึกษาใหม่และให้ระบบการศึกษานั้นหันเหลูกหลานของพวกเขาออกจากศาสนาและวัฒนธรรมของพวกเขา พวกตะวันตกได้ดำเนินนโยบายนี้อย่างขนานใหญ่ในประเทศมุสลิมทุกประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองของพวกตน
แผนการร้ายที่อยู่เบื้องหลังนโยบายนี้ก็คือพวกตะวันตกต้องการทำให้มุสลิมคิดว่ายิ่งตัวเองหันเหออกจากอดีตและตัดขาดจากวัฒนธรรมของตัวเองได้มากเท่าไร มันก็เป็นการง่ายที่จะยกฐานะตำแหน่งของตัวเองในวงการบริหารให้สูงได้มากขึ้นเท่านั้น แน่นอน นโยบายนี้ยังไม่เคยลดหายไปแม้แต่น้อย และความจริงแล้ว มันยังถูกทำให้เป็นส่วนหนึ่งของสูตรสำเร็จในการปกครองอีกด้วย
ดังนั้น ในระยะเวลาไม่นานนักมุสลิมประเภท ดังกล่าวก็ได้เข้าไปครองตำแหน่งที่สำคัญ ๆ ทางการบริหารตลอดจนทางสังคมเศรษฐกิจเอาไว้หมด
ขบวนการปลดแอก
ต่อมา การศึกษางานวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ของตะวันตกอีกนั่นแหละที่เร่งเร้าให้คนมุสลิมที่ได้รับการศึกษาจากระบบใหม่มีความต้องการเสรีภาพทางการเมืองมากขึ้น และไม่นานนักความเร่งเร้านั้นก็ได้ก่อตัวขึ้นเป็นขบวนการปลดแอกที่มีการจัดองค์กรในประเทศมุสลิมทุกประเทศ แต่ความเป็นผู้นำของขบวนการเหล่านี้ได้ตกไปอยู่ในมือของผู้ที่ได้รับการศึกษาในระบบใหม่ซึ่งรู้เรื่องเกี่ยวกับการเมือง การปกครองเป็นอย่างดี ประกอบกับสถานการณ์ ในตอนนั้นก็ต้องการผู้นำเช่นนั้นด้วย คนในสังคมจึงไม่มีทางอื่นให้เลือกเลย
ขณะเดียวกันโรงเรียนสอนศาสนาแบบเก้าไม่สามารถที่จะนำมุสลิมที่กำลังอยู่ใมนระยะหัวเลี้ยวหัวต่อได้นั้น สังคมจึงต้องยอมรับความเป็นผู้นำของชนชั้นที่ได้รับการศึกษาแบบใหม่โดยไม่มีทางเลือก ส่วนบรรดาผู้นำใหม่ของสังคมมุสลิมในเวลานั้นก็ไม่ได้มีความเสียสละต่ออิสลามอย่างแท้จริง พวกผู้นำประเภทนี้แทบทั้งหมดได้อาศัยความรู้สึกที่มีต่อศาสนาและจุดอ่อนของมุสลิมมาใช้ประโยชน์ในการสร้างเกียรติยศ และค้ำจุนฐานะการปกครองของพวกตัวเองเท่านั้น ในทุกประเทศผู้นำใหม่เหล่านี้จะเรียกร้องมุสลิมให้มีความศรัทธา คนพวกนี้จะอ้างว่า
ตนเองกำลังทำสงครามกับพวกที่รุกรานอิสลามและเรียกร้องมุสลิมให้มาร่วมกับเขาในการต่อสู้ และพลีชีพเพื่อยิ่งใหญ่ของอิสลาม
เล่ห์เหลี่ยมนี้ถูกนำมาใช้ในประเทศมุสลิมทุกประเทศ
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นล่าสุด ได้แก่ประเทศอัลยีเรีย จากการที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัวกับผู้นำอัลยีเรียในอียิปต์ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าในอัลยีเรียนั้นก็มีการนำอิสลามไปใช้ในการต่อสู้เพื่อเอกราชเช่นเดียวกับประเทศอิสลามอื่น ๆ ผู้นำอัลยีเรียได้สารภาพกับข้าพเจ้าว่า ถ้าหากเราไม่บอกประชาชนว่าพวกเขากำลังอยู่ในสงครามระหว่างพวกมุสลิมกับพวกนอกศาสนาแล้ว ก็จะไม่มีประชาชนคนหนึ่งคนใดเข้ามาร่วม ทำสงครามด้วย หรือกล่าวอย่างสั้น ๆ ก็คือประชาชนเข้ามาร่วมกับ เขาในนามของอิสลามนั่นเอง และจากอิสลามนี่เองที่ทำคนมุสลิมแสดงความกล้าหาญฟันฝ่าอุปสรรคความยากลำบากในระหว่างที่พวกของต่อสู้เพื่อเอกราชอย่างทรหดอดทน
ทำนองเดียวกัน เมื่อคราวที่กรีกรุกรานเอเชียไมเนอร์หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
มุสตาฟา เคลมาล เดินเข้าไปในแถวทหารพร้อมกับถือคัมภีร์อยู่ในมือ และปลอบพวกทหาร ถ้าหากพวกทหารเหล่านั้นไม่ร่วมกับเขาในสงครามต่อต้านกรีกแล้วคัมภีร์กุรอานก็จะถูกทำลายหมดสิ้นไปจากตุรกี ด้วยคำชักชวนในนามของอิสลามนี่เองที่ปลุกเร้าชาวเตอร์กให้ลุกขึ้นจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับกรีก แม้อาวุธจะน้อยและกรีกได้รับความช่วยเหลือจากตะวันตกอย่างเหลือเฟือ แต่ด้วยการต่อสู้ภายใต้ร่มธงอิสลามในที่สุดพวกเตอร์กก็ได้รับชัยชนะและขับไล่ผู้รุกรานที่มีกำลังเหนือกว่าออกไปจากตุรกีได้
ประวัติศาสตร์ทำนองนี้เกิดขึ้นในทุกประเทศมุสลิม ที่มีการต่อสู้เพื่อเอกราชแต่ผู้นำส่วนมากมักไม่มีความรู้และไม่เอาใจใส่ในอิสลาม ตัวผู้นำเหล่านี้ไม่มีเจตนารมณ์ที่จะนำบทบัญญัติของอิสลามมาใช้ในแผ่นดิน หรือแม้แต่จะหล่อหลอมชีวิตของตัวเองตามหลักการเสียด้วยซ้ำ พวกเขาเติบโตภายใต้อารยธรรม วัฒนธรรมและค่านิยมใหม่ ๆ และเปลี่ยนไปตามอิทธิพลของสิ่งดังกล่าวเหล่านั้น
แต่ประชาชนมุสลิมกลับถูกหลอกให้ไว้วางใจในผู้ปกครองซึ่งเรียกร้องชาวมุสลิมให้มีความรู้สึกทางศาสนา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจให้แก่ตัวเอง ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าที่ใดก็ตามที่มุสลิมชนะสงครามปลดแอกแห่งชาติ การเรียกร้องสู่อิสลามล้วนมีบทบาทสำคัญต่อผลแห่งชัยชนะนั้นทั้งสิ้น