ยุคที่สอง. ระบบกษัตริย์และผลลัพธ์ทางวัฒนธรรม


763 ผู้ชม


ยุคที่สอง. ระบบกษัตริย์และผลลัพธ์ทางวัฒนธรรม

อิสลามในปัจจุบัน
โดย อบุล อะลา เมาดูดี/บรรจง บินกาซัน แปล

    ขอให้เราพูดถึงยุคที่สองประวัติศาสตร์ของเราต่อไป    ยุคนี้เริ่มต้นด้วยการที่อิสลามแผ่ขยายออกไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลกอย่างกว้างขวาง และรวดเร็ว    ทำให้จำนวนคนที่หันเข้ามารับอิสลามมากขึ้นจนกระทั่งการให้การศึกษาอบรมกลายเป็นปัญหาที่สร้างความยุ่งยากขึ้นมา   

    แม้กระนั้นก็ตาม อาณาจักรของอิสลามก็ยังมีบุคคลที่ยึดมั่น    และเคร่งครัดในคำสอนของอิสลามเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาบุคคลเหล่านี้จะเป็นศูนย์รวมของคนโดยทั่วไปแต่อย่างไรก็ตาม    คนเหล่านี้ก็ไม่สามารถจะถ่ายทอดอิสลามให้แก่คนจำนวนล้าน ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนกับคนมุสลิมในสมัยต้น ๆ  

ผลที่ตามมาก็คือ อัตราคนมุสลิมที่มีความเข้าใจหลักการอิสลามจริง ๆ  และปฏิบัติตามด้วยความศรัทธาก็เริ่มน้อยลงในขณะเดียวกันอัตราคนที่หันเข้ามายอมรับอิสลามมีมากขึ้น    แต่คนพวกนี้ไม่มีความเข้าใจในอิสลาม ดังนั้น    คนเหล่านี้จึงไม่สามารถที่จะหล่อหลอมชีวิตของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์เหมือนกันด้วยหลักการและคำสอนแห่งความศรัทธา   ในที่สุดสภาพเช่นนี้ก็ได้ก่อให้เกิดการพัฒนาทางการเมืองที่มีส่วนทำลายสถาบันการปกครองแบบคอลีฟะฮฺ    และก่อให้เกิดระบบกษัตริย์ขึ้นมาแทน
 
สาเหตุที่ทำให้ระบบกษัตริย์ประสบความสำเร็จ 

      นักเขียนและนักคิดต่าง ๆ ได้อ้างเหตุผลถึงสาเหตุที่ทำให้ระบบกษัตริย์เข้ามาแทนระบบการปกครองแบบคอลีฟะฮฺไว้ต่าง ๆ กัน    แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ดูเหมือน   ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลมาจากความจริงที่ว่า    มุสลิมที่เข้าใจในหลักการอิสลามที่แท้จริงนั้นลดลงอย่างรวดเร็ว  

      ในขณะที่มุสลิมที่ไม่มีความเข้าใจในหลักการอิสลามกลับเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย    จนกลายเป็นเรื่องยากที่จะทำให้มุสลิมรอดพ้นจากผลของความโง่เขลาเบาปัญญา    และความอ่อนแอทางศีลธรรมของพวกเขาได้ ผลที่ตามมาก็คือ รัฐคอลีฟะฮฺต้องเปิดทางให้ระบบกษัตริย์เข้ามาแทนที่    และประวัติศาสตร์ของเรายุคนี้ก็กินเวลาหลายศตวรรษ ดังนั้นการพูดสั้น ๆ  ของข้าพเจ้าในครั้งนี้จึงไม่สามารถที่จะบรรยายถึงรายละเอียดของสาเหตุทั้งหมดในช่วงประวัติศาสตร์ของเราในยุคนั้น    และวิเคราะห์ถึงปัจจัยเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวได้

       ดังนั้นข้าพเจ้าจะขอพูดถึงผลลัพธ์ที่สำคัญ ๆ  ของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่งยังคงเห็นได้ในสภาพของมุสลิมจนถึงทุกวันนี้หรือถ้าจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ    “ปัจจุบัน”     ของเรานั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจาก “อดีต” ของเรานั่นเอง
 
การแตกแยกในหมู่ผู้นำ

     ผลร้ายที่สุดประการแรกที่ทำให้ระบบกษัตริย์ก่อกำเนิดขึ้นมาก็คือ    ความเป็นผู้นำในแนวทางศาสนาของมุสลิมแตกออกเป็นสองส่วน

      ในระหว่างสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัดและคอลีฟะฮฺ-อุรรอซิดีน    หรือคอลีฟะฮฺทั้ง 4 นั้น ความเป็นผู้นำของประชาคมมุสลิมรวมศูนย์อยู่ ณ ที่แห่งเดียวกัน กิจการทุกอย่างในชีวิตไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจ ศีลธรรม  วัฒนธรรม  การเมือง    หรือปรัชญาการบริหารรัฐกิจ ตลอดจนวินัยการทำศึก ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ล้วนถูกบริหารและถูกสั่งตรงมาจากส่วนกลางทั้งสิ้น    และบุคคลที่ทำหน้าที่ควบคุมกิจการเหล่านี้ก็เป็นผู้นำทางด้านจิตใจ    และด้านศีลธรรมของประชาคมด้วย หมายความว่าความเป็นผู้นำของ อุมมะฮฺ    (ประชาชาติอิสลาม)    นั้นรวมศูนย์อยู่ ณ ที่หนึ่ง   

     แต่เมื่อเกิดมีระบบกษัตริย์ขึ้นมาก็ทำให้ความเป็นผู้นำแตกออกเป็นสองส่วน    กล่าวคือ    การบังคับควบคุมทางการเมืองได้ตกไปอยู่ในมือของผู้ปกครอง ส่วนความเป็นผู้นำทางด้านจิตใจ ด้านศีลธรรมกลับตกไปอยู่กับนักการศาสนา นักกฎหมาย และพวกซูฟีพวกนักกฎหมายได้กลายมาเป็นผู้นำทางด้านศาสนา    ด้านศีลธรรมและด้านจิตใจ   

     ส่วนกษัตริย์ก็ได้ตั้งตัวเองเป็นผู้นำทางการเมืองของสังคม    การแตกแยกในความเป็นผู้นำนี้เองที่ส่งผลให้เกิดความวิบัติหายนะแก่สังคม    แต่สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่าเดิมอีกก็คือ ผู้นำทางการเมืองได้พยายามหาทางที่จะเข้ามาควบคุมและกำหนดแนวทางแห่งชีวิตของสังคมในทุก ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นด้านศาสนา    หรือศีลธรรมและอื่น ๆ เป็นต้น   

    ขณะเดียวกันปราชญ์ทางศาสนา บรรดานักกฎหมายและพวกซูฟีก็ไม่ได้มีการเตรียมตัวป้องกันการแทรกแซงทางด้านจริยธรรม    และศาสนาจากอำนาจรัฐเลย    ดังนั้นจึงเท่ากับเป็นการปล่อยให้ชีวิตทางด้านศาสนาและศีลธรรมของประชาชนเสื่อมทรามลง    ความขัดแย้งระหว่างความเป็นผู้นำทางศาสนา และผู้นำทางการเมืองนี้ยังผลให้เกิดความ
เหินห่างและความเป็นศัตรูซึ่งกันและกันตราบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

      แน่นอนระบบกษัตริย์ในรัฐมุสลิมดังกล่าว    ได้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความชั่วร้ายเลวทรามต่าง ๆ ขึ้น    แต่ในระหว่างสมัยนั้นมุสลิมยังทำอะไรดีกว่าในสมัยนี้มากมาย    มุสลิมยังมีกษัตริย์ที่กลัวเกรงพระผู้เป็นเจ้ามากกว่าที่ประชาคมอื่นใดสามารถทำได้    แต่ในเวลาเดียวกันขณะที่คนหนึ่งสรรเสริญถึงคุณงามความดีของกษัตริย์ที่มีคุณธรรมอยู่นั้น ระบบดังกล่าวก็เป็นภัยต่อผลประโยชน์ของอิสลามและมุสลิมในเวลาเดียวกัน   

     ผลร้ายอย่างหนึ่งของอาณาจักรมุสลิมที่ใช้ระบบกษัตริย์เริ่มหลีกเลี่ยงหน้าที่ผู้ค้ำจุนแนวทางอิสลามและพยายามที่จะเข้าครอบครองแผ่นดินใหม่    ขณะเดียวกันก็ต้องการคำสรรเสริญเยินยอจากประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองของตน   

     ในที่สุดภาพดังกล่าวก็เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดความหายนะและความเจ็บปวดอันยาวนานแก่มุสลิมในส่วนต่าง ๆ ของโลกตัวอย่างเช่นในอนุทวีปเป็นต้น   เราจะเห็นว่ามุสลิมจำนวนมากต้องอพยพหลบภัยไปยังปากีสถานจากดินแดนซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมมาเป็นเวลานานถึงแปดร้อยปี    เช่น    เดลฮีและพื้นที่รอบ ๆ ปัญจาบตะวันออก และเดคคา    ถ้าหากผู้ปกครองมุสลิมในเขตแดนนี้ในระหว่างสมัยกลางทำหน้าที่ตามอิสลาม และเผยแพร่ความศรัทธาแล้ว คนมุสลิมในอินเดียก็ไม่มีวันที่จะต้องถูกบังคับให้ละทิ้งมาตุภูมิของตนโดยเด็ดขาด 


 อย่างไรก็ตามการที่อิสลามยังคงแผ่ขยายอยู่ได้ในระหว่างที่อินเดียอยู่ภายใต้การปกครองของระบบกษัตริย์ก็เพราะความพยายามของพวกกนักศาสนาและพวกซูฟีนั่นเอง พวกผู้ปกครองนั้นนอกจากจะไม่ให้ความช่วยเหลือในการเผยแพร่อิสลามแล้ว    ยังทำตนให้เป็นอุปสรรคกีดขวางการแผ่ขยายของศาสนาอีกด้วย    กล่าวคือโดยการปกครองแบบทรราชย์และนโยบายที่กดขี่ข่มเหง และโดยความประพฤติที่ไร้ศีลธรรม ผู้ปกครองเหล่านั้นกลับทำให้ประชาชนสูงเด่นขึ้น    มีน้อยคนนักที่จะคุยได้ว่าตัวเองสามารถทำให้คนที่ไม่ใช่มุสลิมเข้ามายอมรับอิสลามเป็นจำนวนมาก   แต่ที่เห็นกันชัด ๆ ก็คือระบบกษัตริย์ได้เป็นสาเหตุที่สร้างความเสียหายให้แก่อสลามเป็นอย่างมาก    

การขาดการศึกษาที่เหมาะสม
 การขยายตัวของอิสลามในส่วนต่าง ๆ  ของโลกทั้งหมดนั้นเนื่องมาจากความพยายามของบรรดาผู้ทรงความรู้  พวกซูฟี    และบรรดาผู้ที่มีคุณธรรม แต่อย่างไรก็ตามความพยายามของคนเหล่านั้นก็มีขอบเขตจำกัด    คนเหล่านี้ทำได้อย่างดีที่สุดก็แค่เป็นแบบอย่างและชี้ทางที่ถูกต้องให้กับประชาชน    และเคี่ยวเข็ญให้คนเดินไปตามทางนั้น    พวกเขาไม่สามารถที่จะให้การศึกษาอบรมที่เหมาะสมแก่ประชาชนจำนวนนับร้อยนับพันที่กำลังหันเข้ามับอิสลามได้   

    ความจริงเรื่องเช่นนี้เป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่จะเอาใจใส่แต่ผู้ปกครองเหล่านั้นกลับไม่ค่อยจะสนใจ     ถ้าหากแค่ผู้ปกครองเพียงแต่ร่วมมือกับพวกที่สอนศาสนาอิสลาม    และมีการจัดระเบียบการศึกษาให้เหมาะสมแก่ผู้ที่นักเผยแผ่ศาสนากำลังดึงตัวเข้ามาสู่หลักการอิสลามด้วยความสมัครใจแล้ว    สภาพการณ์ก็คงจะแตกต่างกว่าที่เป็นอยู่เช่นนี้แน่นอน   

   แต่เท่าที่เป็นอยู่ในตอนนั้นความพยายามของพวกเผยแผ่ศาสนาได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากพวกที่มีความยึดมั่นในหลักการของศาสนาและมีความรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น    พวกนี้ได้ตั้งโรงเรียนขึ้น    แต่เท่าที่เห็นกันอยู่ แม้เอกชนจะยื่นมือเข้ามามันก็ไม่สามารถสู้ของรัฐบาลได้    ดังนั้นถ้าหากรัฐบาลไม่ลงมือเองแล้ว    การที่จะช่วยผู้ที่หันเข้ามารับอิสลามให้พ้นจากแอกแห่งความโง่เขลาเบาปัญญา    และพัฒนาพวกเขาให้เป็นมุสลิมที่แท้จริงก็เป็นสิ่งยากยิ่งที่จะทำได้

     ดังนั้นผลร้ายของการศึกษาที่มีต่อมุสลิมในระหว่างที่มุสลิมปกครองอินเดียอยู่จึงได้ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน   กล่าวคือ   มุสลิมในประเทศนี้ยังคงเปียกชุ่มไปด้วยไสยศาสตร์และถูกแอกแห่งพิธีกรรมขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่ตกทอดมาตั้งแต่อดีตก่อนอิสลามสวมทับอยู่ ชีวิตของคนมุสลิมในอินเดียจึงเสื่อมถอยลงเพราะได้รับเอาอิทธิพลขอฮินดู    และพุทธตลอดจนอิทธิพลของลัทธิอื่น ๆ ซึ่งฝังรากมาตั้งแต่อดีตมาใช้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คืออดีตของเราได้บิดรอยเท้าแห่งปัจจุบันของเราหันเหออกไปทางอื่นนั่นเอง


การถือพรรคถือพวก

    ความเลวร้ายอีกอย่างนึ่งที่เกิดขึ้นในหมู่มุสลิมในช่วงเวลานั้นก็คือ    การถือผิวถือเผ่า    การหยิ่งในชาติและการรังเกียจเดียดฉันท์ผู้อื่นที่ไม่ใช่พวกของตน    ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยการปกครองของวงอุมัยยะฮฺและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานนักก็แผ่ขยายกว้างออกไปราวยังกับโรคระบาดและทำลายอาณาจักรมุสลิมในส่วนต่าง ๆ ของโลก    ความรู้สึกเช่นนี้เองที่นำความหายนะมาสู่อาณาจักรอุมัยยะฮฺ

    ทำให้ชีวิตของเผ่าอาหรับเลวลงทำลายวงศ์อุมัยยะฮ์ในสเปนและในที่สุดก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มุสลิมในแผ่นดินนั้นถูกทำลายล้าง  แม้ใกล้ ๆ บ้านของเราเอง    ความรู้สึกดังกล่าวได้มีส่วนในการทำลายอาณาจักรโมกุลและรับมุสลิมในเดคคา   

    พระผู้เป็นเจ้าและท่านศาสดาได้กระตุ้นมุสลิมให้ผนึกกำลังกันโดยอาศัยความศรัทธาในหลักการของอิสลามและเป็นพี่น้องซึ่งกันและกันกับผู้อื่น     แต่ อนิจจามุสลิมทั่วไปกลับลืมคำสอน    และหันกลับไปสู่การถือผิวชังพันธุ์ และรังเกียจเดียดฉันท์กันอีก    การถือพวกถือพ้องซึ่งพิสูจน์มาแล้วว่าเป็นอันตรายต่อมุสลิมทุกหนทุกแห่งในโลกเป็นระบบที่ตกทอดกันมาในระบบกษัตริย์   

    เพราะในช่วงที่อาณาจักรอิสลามถูกปกครองด้วยระบบกษัตริย์นั้น บรรดากษัตริย์ ได้นำเอาเรื่องการถือผิวชังพันธุ์ในหมู่ประชาชนมาใช้ประโยชน์ในการทำลายฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มตัว

    ตัวอย่างเช่น    วงศ์อุมัยยะฮฺซึ่งถูกคุกคามท้าทายและถูกทำลายโดยพวกอับบาซียะฮฺแหย่ให้พวกเปอร์เซียร์ต่อต้านพวกอาหรับ แล้วตัวเองก็เข้าไปตั้งราชวงศ์แทน
 การถือผิวชังพันธุ์ นั้นไม่เพียงแต่สร้างความวิบัติหายนะให้แก่อาณาจักรมุสลิมเท่านั้น แต่มันยังเป็นพิษภัยและสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตของประชาชนรัฐปากีสถานอีกด้วย    ไม่นานมานี้มุสลิมในอนุทวีปได้ผนึกกำลังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้ร่มธงของอิสลามในการตั้งรัฐปากีสถานขึ้น

    แต่ไม่ทันไร ความหยิ่งในศักดิ์ศรีและการถือผิวชังพันธุ์ ก็เกิดขึ้นมาอีกครั้งในหมู่ประชาชน เราเริ่มคิดกันในเรื่องเผ่าพันธุ์ ภาษา และท้องถิ่นคิดว่าตัวเองเป็นปาทาน ปัญจาบี เบงกาลี หรือซินด์กันอีก     นี่คือความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นภายในชาติของเรา

ความเห็นแก่ตัว
 โรคร้ายอีกอย่างหนึ่งที่เริ่มเกิดขึ้นในระหว่างสมัยที่ระบบกษัตริย์ได้และแพร่ขยายออกไปก็คือมุสลิมคลายความจงรักภักดีต่ออิสลามและหันไปให้ความจงรักภักดีต่อตัวเอง   ครอบครัวและ
วงศ์ตระกูลแทนตั้งแต่แรกเริ่ม    อิสลามได้เกิดมาก็เพื่อที่จะทำก็เพื่อที่จะทำลายเรื่องความจงรักภักดีที่มีพื้นฐานอยู่บนเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ    และภาษาจนหมดสิ้น     และให้มนุษย์ทั้งมวลจงรักภักดีต่อพระเจ้าศาสดาและความศรัทธาเพียงอย่างเดียว   

ลักษณะเช่นนี้เป็นสิ่งที่อิสลามพยายามสร้างให้เป็นบุคลิกของมนุษย์ทุกคน    แต่ในช่วงของระบบกษัตริย์ ความจงรักภักดีเช่นนี้ได้อ่อนลง และเนื่องจากมันเป็นรากฐานของจริยธรรมทางสังคมและเป็นบุคลิกและลักษณะของบุคคล    ในที่สุดความอ่อนแอและความจงรักภักดีต่ออิสลามก็ยังผลให้ความเห็นแก่ตัวเจริญเติบโตขึ้น   

ประชาชนไม่อยากที่จะเสียสละ ทุกคนต่างคิดแต่จะหาผลประโยชน์ให้แก่ตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว    นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมมุสลิมในระหว่างยุคของระบบกษัตริย์ สังคมสมัยนั้นได้กลายเป็นสังคมที่คิดถึงแต่เงิน    ทหารและผู้บริหารแผ่นดินที่เห็นแก่เงินมีอยู่ดาษดื่น     และประชาชนทั่วไปต่างถือว่าความสะดวกสบายทางด้านวัตถุเป็นสิ่งสำคัญสุดยอดของชีวิต    ทหารมุสลิมที่เห็นแก่เงินเป็นจำนวนมากมายได้ยอมขยายตัวให้แก่กองทัพของหัวเมืองต่าง ๆ ที่ไม่ใช่มุสลิม

ตัวอย่างเช่น    Mahrattas    ผู้ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสลามในอินเดียมีทหารมุสลิมเป็นจำนวนมากอยู่ในกอบทัพของตน ต่อมามุสลิมก็เข้าร่วมสมทบกับกองกำลังของอังกฤษและช่วยพวกอังกฤษยึดดินแดน   

ความจริงอังกฤษไม่จำเป็นต้องนำกองทัพอัมมหึมาของตนมาจากโพ้นทะเลก็ได้เพราะอังกฤษสามารถที่จะหาทหารที่ตนต้องการใช้ในการปราบปรามและพลเรือนที่ต้องใช้ในการบริหารอาณานิคมได้ในอินเดียนั่นเองพวกที่เห็นแก่เงินนั้นไม่มีใครสักคนหนึ่งที่จะคิดว่าเขากำลังพิชิตดินแดนนั้นเพื่อใคร    และเขากำลังบริหาร   ราชการให้แก่ใคร เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมุสลิมได้จงรักภักดีสิ่งอื่นใดมากไปกว่าจงรักภักดีต่อตัวของพวกเขาเอง ต่อตระกูลและต่อครอบครัวของเขาเองซึ่งความจงรักภักดีเหล่านี้ถ้าหากเราวิเคราะห์แล้วจะเห็นว่ามันได้ทำให้มนุษย์กลายเป็นผู้ที่ไม่มมีวิญญาณ และกลายเป็นพวกเห็นแก่เงินที่ไม่มีหัวใจไป


 ในที่สุด    ขบวนการอันชั่วร้ายดังกล่าวได้ทำให้โลกมุสลิมถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่ ฟิลิปปินส์ยันมอรอคโค    และปูทางให้พวกตะวันตกเข้ามาทำลายอิสลาม  


 การปกครองของพวกตะวันตกนั้นมิใช่เรื่องของความบังเอิญ     แต่มันเป็นผลขอสาเหตุทางประวัติศาสตร์ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วอย่างคร่าว ๆ และเป็นสาเหตุที่นำเราไปสู่ยุคที่สามซึ่งเป็นยุคที่มุสลิมแทบทั้งหมดตกไปเป้นเยื่อของจักรวรรดินิยมตะวันตกส่วนรัฐที่เหลืออยู่ไม่กี่แห่งและไม่ได้ตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของตะวันตกโดยตรง    อาทิ  ตรุกี   อิหร่าน    และอัฟกานิสถานนั้น ในทางปฏิบัติแล้ว ก็ถูกทำให้ตกอยู่ในฐานะที่เลายิ่งกว่าทาสเสียอีก

อัพเดทล่าสุด