ท่านก็เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ เวลาของพี่ มันเข้ามาใกล้ทุกทีแล้ว พี่เตรียมตัวพร้อมแล้วนะค่ะ ทั้งสามีและลูก ฝึกให้ลูกได้อยู่กับพ่อ เมื่อวันที่ไม่มีแม่แล้ว เค้าสองคนจะต้องอยู่ได้ โดยไม่เจ็บปวดและทุกข์ทรมาร ตอนนี้ได้เตรียมพร้อมไว้ ทุกเรื่อง ไม่มีอะไร ติดค้าง และเตรียมถึงแม้กระทั่งว่า วันนั้นจะใส่ชุดไหน จะเลือกวิธีการที่จากไปอย่างไร อาจารย์คุยกับสามี ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม พอได้ฟังแล้วทางทีมงานเยี่ยมบ้านก็รู้สึกดี ที่ครอบครัวของอาจารย์ สามารถยอมรับในการจากไปของอาจารย์ ได้ และก็ไม่ทุกข์ทรมารกับอาการที่มันรุมเร้าเข้ามา เช่น อาการ ปวด เหนื่อย และพวกเค้าก็ได้เลือกที่จะจากไปอย่างสมศักดิ์ศรี และมีคุณค่า ท่ามกลางความอบอุ่น และอ้อมกอดของสามีและลูกสาว พอฟังอาจารย์พูดจบ สิ่งที่คิดมาแว้บคือ และคิดว่า ซักวัน หนึ่ง ถ้าเป็นตัวเรา เราจะทำได้แบบนี้มั้ยน้า การที่เราได้มีโอกาสดูแลคนไข้มะเร็งระยะสุดท้าย มันก็ทำให้เราเริ่มยอมรับ อะไรได้ง่ายขึ้น รู้จักการปล่อยวางมากขึ้น สิ่งที่ยังค้างคาใจ สิ่งที่เราต้องทำ บุพการี และผู้มีอุปการะคุณต่อเราทุกท่าน เราต้องรีบ ทำวันนี้ก่อนเสมอค่ะ คงไม่พูดว่า พรุ่งนี้ค่อยทำ เพราะ วันพรุ่งนี้อาจจะเป็นวันของเราก็ไดค่ะ นี่ก็เป็นเรื่องเล่าที่เก็บมาฝากแล้วคิดว่าทำให้เรามีสติ จริงๆ ต้องไม่ประมาทในการใช้ชีวิต แล้ววันหลังจะมาเล่าให้ฟังต่อนะค่ะ
หลังจากวันนั้นอีกไม่กี่วัน อาจารย์ได้จากพวกเราไปแล้วค่ะ ท่านจากไปอย่างสงบ และมีสติตลอดเวลา ท่ามกลางอ้อมกอดของแม่ สามี ลูก และญาติพี่น้องเพื่อนสนิท ทุกคนยืนให้กำลังใจ อาจารย์ และครอบครัวของอาจารย์ ก็สำหรับ ผู้ป่วยรายนี้ทางทีมพยาบาลผู้ดูแลก็รู้สึกอาลัยในการจากไปของอาจารย์ เพราะพวกเราดูแลกันมานานจึงรู้สึกผูกพัน เหมือนเป็นญาติของพวกเราคนหนึ่ง ส่วนทางครอบครัวที่แสนอบอุ่นของอาจารย์ ก็ยังถูกเก็บไว้ในความทรงจำที่ดีของ พวกเราเสมอๆ สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณท่านอาจารย์ และครอบครัวมากๆนะค่ะ