เก่ง เมธัส จิ๊บ คีตภัทร - เก่ง เมธัส ประวัติ - คีตภัทร อันติมานนท์ เก่ง เมธัส
“เก่ง เมธัส” เปิดใจถึงเรื่องราวชีวิตหลังตกเป็นข่าวฉาวตลอดเวลา เผยชีวิตลำบากเคยคิดสั้นฆ่าตัวตาย สำนึกผิดขอขมากับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมขอโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่
เคยตกเป็นข่าวโด่งดังกรณีที่ “เจ จินตัย อันติมานนท์” ซึ่งเป็นพี่ชายของนักแสดงวัยรุ่นชื่อดังได้พาเพื่อน 2 คน พกปืนบุกเข้าไปบ้านของ “เก่ง เมธัส สวนศรี” หลานชายพระเอกลิเกเงินล้าน “พงษ์ศักดิ์ สวนศรี” เพื่อค้นหาน้องสาว ทว่าไม่พบ เป็นเหตุให้นักแสดงหนุ่มรุ่นพี่โกรธอาละวาดทำลายข้าวของในบ้านรวมถึงทำร้ายร่างกาย “ด.ช.ฉัตรชัย สวนศรี” น้องชายของเมธัสได้รับบาดเจ็บ และส่งผลให้เมธัสต้องไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับเจ จินตัย ในขณะเดียวกันฝ่ายเจ จินตัยก็ได้พาน้องสาวมาแจ้งความกลับให้ดำเนินคดีกับเมธัส ในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวและข่มขืนกระทำชำเรา ทำให้กลายเป็นข่าวดังเมื่อหลายปีก่อน
นอกจากนี้แล้วเก่ง เมธัส ก็ยังตกเป็นข่าวฉาวอีกหลายครั้งไม่ว่าจะเป็น คดีพยายามฆ่านักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต คดีร่วมกับเพื่อนรุมทำร้ายนายจีรพันธ์ แสงทองรุ่งเรือง อายุ 25 ปี บุตรชายเจ้าของร้านจิวเวลลี่ย่านวังบูรพาบริเวณลานจอดรถ "เดอะบริทคลับ 99" ถนนเพชรบุรีตัดใหม่
และล่าสุดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2551 ที่ผ่านมาศาลชั้นต้นก็ได้ตัดสินพิพากษาจำคุก 5 ปีกรณีพรากผู้เยาว์และทำร้ายร่างกายสาวอายุ 16 ปี จากการที่ตกเป็นคดีความมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้หลายๆ คนมองว่า เก่ง เมธัส เป็นผู้ชายอันตราย , เสือผู้หญิง ,นักเลง แต่ที่ผ่านมาเก่งก็เลือกที่จะเก็บตัวไม่โต้ตอบทุกประเด็น แม้ว่าจะมีรายการโทรทัศน์หลายต่อหลายรายการติดต่อเข้ามา
แต่เมื่อวันแม่ที่ผ่านมาเก่ง เมธัสได้เดินทางไปทำบุญให้แม่ที่วัดสวนแก้ว และยอมเปิดอกกับบันเทิงผู้จัดการถึงเรื่องราวในชีวิตทั้งหมด
“วันนี้ผมมาทำบุญถวายสังฆทานให้คุณแม่ และก็นำโกศกระดูกคุณแม่มาทำบุญ ซึ่งผมจะมาทำบุญที่นี่ทุกปี โดยเฉพาะช่วงที่มีเรื่องไม่สบายใจ คิดถึงครับ แม่เสียไปตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วถูกรถสิบล้อชน” เก่งเปิดประเด็น ก่อนจะเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับชีวิตที่มาพร้อมกับความตายของแม่
“เมื่อก่อนเราเคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันไป พอขาดแม่ไปมันก็รู้สึกแปลกๆ ขาดแม่ไปคนหนึ่งก็เหมือนขาดเสาหลักของบ้าน อย่างมาวันนี้เห็นแม่คนอื่นก็ทำให้นึกถึงแม่เรา วันนี้ดารานักแสดงคนอื่นๆ ก็คงจะกราบคุณแม่รายการโน้นรายการนี้ ก็ทำให้นึกถึงตัวเอง เมื่อก่อนเราเองก็เคยไปนั่งไปกราบแม่ และก็มีรายการมาถ่าย เราได้กอดแม่ได้หอมแม่แต่วันนี้ไม่มี”
“กับเรื่องราวที่ผ่านมาตอนคุณแม่ยังอยู่ก็จะสอนผมตลอด จะคอยเตือนสติอันนี้ดีหรือไม่ดี อันนี้ควรหรือไม่ควร ตอนที่มีข่าวเรื่องน้องจิ๊บ(คีตภัทร อันติมานนท์) ตอนนั้นศาลยังไม่ตัดสินแต่คุณแม่โดนรถชนเสียชีวิตก่อนที่ศาลจะตัดสินประมาณสองเดือน ชีวิตมันเหมือนพังลงมาเลย ผมรู้สึกกลัวและท้อ รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีใคร ถึงจะมีญาติๆ แต่แม่เราล่ะ พ่อเราล่ะ”
“แต่ที่ยืนอยู่ทุกวันนี้ได้ก็เพราะเราเห็นแก่น้อง เราต้องดูแลน้อง ดูแลคุณย่า ดูแลคุณพ่อ ถึงแม้วันนี้ท่านจะมีครอบครัวใหม่ไปแล้ว แต่เราก็ยังต้องดูแลท่านอยู่ กำลังใจที่สำคัญที่ทำให้ลุกขึ้นสู้ต่อไปก็คือครอบครัว ญาติพี่น้อง บุคคลรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะพวกเขาเหล่านั้นจะคอยสอนและเตือนสติเราว่า ไม่เป็นไรยังมีพวกเขาอยู่นะ ยังมีลุงอยู่นะ ยังมีพ่ออยู่นะ ยังมีน้องอยู่นะ ถ้าผมเป็นอะไรไปหรือติดคุกไป น้องผมจะอยู่ยังไงครอบครัวผมจะอยู่ยังไง เพราะผมเป็นหลักของบ้าน”
“วันที่ผมต้องดูแลทุกคนมันทำให้ผมนึกถึงแม่มาก ตอนที่ผมทำงานในวงการได้เงินมาไม่เคยช่วยแม่เลย ผมไปถ่ายโฆษณาเล่นหนังเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้เงินมาก็ไม่เคยให้แม่เลยเก็บเอาไว้ใช้เอง แต่แม่ให้ผมตลอดให้ผมตั้งแต่เกิดจนก่อนวันที่เขาเสียเขาก็ยังให้ผมตลอด ผมไม่เคยทำอะไรให้แม่รู้สึกดีเลย......”
“คิดไปถึงวันนั้นแล้วก็เสียใจ แต่วันนี้ผมก็พยายามชดใช้ทุกอย่าง ตอนนี้ทำงานมาก็ให้พ่อให้น้องเลี้ยงดูย่า ผมเชื่อว่าวันนี้แม่คงมองเห็น ผมก็อยากจะฝากบอกไปยังน้องๆ หรือคนที่มีแม่อยู่กับเราว่า เราควรจะทำดีให้แม่เห็นทุกวัน หรือทุกครั้งที่มีโอกาสได้อยู่กับแม่ ไม่ใช่รักแม่เฉพาะวันแม่ วันนี้อาจจะเป็นวันพิเศษที่เราจะได้กราบเท้าแม่ แต่เราควรที่จะทำดีกับท่านทุกวัน ไม่งั้นวันที่เราไม่มีโอกาสได้กราบเท้าท่านเราจะเสียใจ เหมือนที่ผมเสียใจ วันนี้สิ่งที่ผมทำได้ก็คือเอาโกศท่านมาทำบุญถวายสังฆทานให้”
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงจะดี ผมจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นเรื่องแม่หรือเรื่องต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น ผมไม่อยากจะมีเรื่อง ไม่อยากจะเข้าวงการเลยด้วยซ้ำ เพราะการเป็นคนของสังคมเราเหมือนเป็นตัวอย่างให้กับสังคม ทั้งตัวอย่างที่ดีและไม่ดี ตรงนี้มันเป็นเหมือนดาบสองคม ถ้าเราทำพลาดอะไรไปมันแย่กว่าคนอื่น”
เผยหลังแม่ตายชีวิตลำบาก.....
“หลังจากที่แม่เสียชีวิตผมเปลี่ยนไปเลย ลำบากพอสมควร เพราะเมื่อก่อนตอนแม่อยู่แม่ก็จะดูแลเรา เงินที่ได้จากการทำงานในวงการก็เก็บไว้ใช้เอง แต่พอไม่มีแม่ผมก็ต้องเป็นคนที่ดูแลครอบครัว การที่ผมมีคดีทำให้งานในวงการของผมลดน้อยลง ใครๆ ก็ไม่กล้าจ้างเขากลัวว่าเราจะไปทำงานเขาเสีย เหมือนเราเสียทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กัน ก็ต้องตั้งสติให้ดี คิดว่าพรุ่งนี้จะทำยังไงดี”
“แต่ก็โชคดียังพอมีงานโชว์ตัวเล็กๆ น้อยๆ ไปร้องเพลงที่โน่นที่นี่ก็พอมีรายได้เลี้ยงครอบครัว แต่บางเดือนงานไม่เยอะก็ต้องไปเบียดเบียนคุณลุงบ้าง รบกวนคุณลุงอยู่ประมาณ 2 ปี ผมก็มีโอกาสได้ไปช่วยจัดงานออแกไนซ์ให้กับบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่ง ทางผู้ใหญ่เห็นเราทำงานออกมาดีก็ถามว่า อยากเปิดบริษัทไหม ผมก็บอกว่าอยากแต่ไม่มีตังค์ ท่านก็เลยให้โอกาสผมเปิดบริษัทให้ผมก็ทำให้ชีวิตผมดีขึ้น ท่านก็เตือนว่าโตแล้วนะอยากให้รักษาภาพบริษัท ต่อไปนี้จะไปทำตัวไม่ดีไม่ได้นะ โตแล้วความรับผิดชอบเยอะทั้งเรื่องการงานและครอบครัว จะทำตัวเหลวไหลไม่ได้นะ”
ที่มา manager.co.th
-----------
ในฉับพลันที่ข่าวเก่ง เมธัส ดารานักแสดงเจ้าของรางวัลระฆังทอง(บุคคลแห่งปี) ครั้งที่ 3 ในปี 2553 ขับรถหนีการตรวจวัดระดับแอลกฮอล์ แถมยังเร่งเครื่องหนีพร้อมลากมือ ของนายตำรวจยศ พ.ต.ท.ไปด้วย จนทำให้นายตำรวจท่านดังกล่าวได้รับบาดเจ็บที่แขน หลายเสียงแต่คิดตรงกันในทำนองว่า อีกแล้วเหรอ?
หลายคนยังสงสัยต่อว่า เก่ง เมธัส เป็นใคร? มีของดีอะไร? เพราะเขารอดคุกมาได้ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง
เก่ง เมธัส สวนศรี เป็นหลานชายของพระเอกลิเกชื่อดัง พงษ์ศักดิ์ สวนศรี เข้าวงการมาจากการเป็นนายแบบ และดังเปรี้ยงทันทีจากคดีกักขังหน่วงเหนี่ยวและบังคับขืนใจนางเอกสาวชื่อดัง น้องสาวของดาราดังหนุ่ม ศาลตัดสินจำคุกรวม 5 ปี แต่ขณะที่ก่อเหตุอายุเพียง 17 ปีและรับสารภาพ จึงลดโทษเหลือกึ่งหนึ่งและศาลเห็นว่ากระทำผิดเป็นครั้งแรก โทษจำคุกจึงรอให้ลงอาญาไว้ 2 ปี
หลังจากนั้นชื่อเก่ง เมธัส ก็ปรากฎตามหน้าหนังสือพิมพ์เป็นระยะๆ จากข่าวคาว มีดังต่อไปนี้
+คดีใช้อาวุธปืนพยายามฆ่านักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต
+คดีร่วมกับเพื่อนรุมทำร้ายบุตรชายเจ้าของร้านจิวเวลลี่ย่านวังบูรพาบริเวณลานจอดรถเดอะบริทคลับ 99
+คดีรุมทำร้ายลูกชายเจ้าของร้านเพชรในผับ ในปี 2549
+ข่าวชกเบ้าตาและกัดขังพริตตี้สาว ซึ่งสุดท้าย พริตตี้ได้ออกมาปฏิเสธว่าเป็นเรื่องเข้าในผิดกัน
+คดีพรากผู้เยาว์เมื่อปี พ.ศ.2548 จากการที่ เก่ง เมธัส ได้ทำร้ายร่างกาย และล่อลวงนักเรียนหญิง อายุไม่เกิน 16 ปี ไปทำอนาจารและข่มขืนในม่านรูดย่านบางใหญ่ ซ้ำยังถ่ายรูปไว้แบล็กเมล์จนถูกตำรวจชุด ปดส. ตามจับกุมคาห้างดัง (ศาลได้พิพากษาจำคุก 10 ปี แต่ จำเลยให้การรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือต้องโทษจำคุก 5 ปี และไม่รอลงอาญา เนื่องจากผู้ต้องหาเคยก่อคดีลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง ยังอยู่ในขั้นตอนอุทธรณ์สู้คดี)
+คดีใช้ปืนตบหน้าผู้รับเหมาก่อสร้าง ปี พ.ศ.2552
+มีเรื่องกับ รปภ. ในคลับดังย่านพัทยา
เก่ง เมธัส ให้สัมภาษณ์นักข่าวหลังจากมารับทราบ 5 ข้อกล่าวหากับ พล.ต.ต. คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รรท.ผบช.ภ.1 ว่า ด้วยความกลัวว่าจะถูกดำเนินคดี เพราะเคยมีแผลมาแล้ว และนึกว่าตำรวจให้ออกขวาไป จึงขับรถออกมา โดยไม่รู้ว่ามีตำรวจเกาะมาด้วย
งานนี้คงต้องติดตามตอนต่อไปว่า เก่ง เมธัส จะรอดอีกครั้งหรือไม่ แต่ที่แน่ๆคือ เขา'มีแผล'เพิ่มขึ้นอีกแล้ว