ข่าวรถปอร์เช่ ปอร์เช่ เจาะข่าวเด่นไขปริศนา ปอร์เช่ 270 กม./ชม. คลิปปอร์เช่ชนฟอร์จูนเนอร์
เจาะข่าวเด่น ไขปริศนาปอร์เช่ 280 กม./ชม.
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youyube.com โพสต์โดย LadyBimbettes
จากกรณีรถยนต์ปอร์เช่ชนกับรถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เข้าอย่างจัง เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา บน ทางด่วนโทลล์เวย์ขาออก เป็นเหตุให้ นายไทฟ้า ชยวรประภา นักธุรกิจ คนขับรถปอร์เช่ และ พ.ต.ศักดิภัทร ปทุมารักษ์ คนขับรถฟอร์จูนเนอร์ ลูกชายนายชาญชัย ปทุมารักษ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และ รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสียชีวิตทันที
ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบไปยังสภาพรถพบว่า เข็มไมล์ของรถปอร์เช่ตกอยู่ที่ 280 กิโลเมตร/ชั่วโมง ท่ามกลางความสงสัยของประชาชน และบรรดาช่างเทคนิคทั้งหลายว่า เมื่อไฟฟ้าในระบบรถตัด แต่ทำไมตัวเลขถึงไม่กลับไปอยู่ที่เลข 0 หรืออันที่จริงแล้ว คนขับรถปอร์เช่ไม่ได้ขับด้วยความเร็ว 280 กิโลเมตร/ชั่วโมง กันแน่
เกี่ยว กับเรื่องนี้ รายการ เจาะข่าวเด่น (11 พฤษภาคม) ได้สัมภาษณ์ พลตำรวจโทจรัมพร สุระมณี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึงเรื่องราวข้อเท็จจริงดังกล่าว โดย พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวว่า จากการตรวจสอบอย่างละเอียดในส่วนของความเร็วของรถปอร์เช่ และเรือนไมล์ที่ตกอยู่ที่ 280 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีความเร็วรอบเครื่องยนต์ถึง 6,000 รอบต่อนาที ซึ่งเมื่อผู้เชี่ยวชาญได้ประสานกับทางช่างเทคนิคของปอร์เช่ ก็ได้คำตอบว่า โดยปกติแล้วสายไฟส่งกำลังไปเข็มก็จะขึ้น ซึ่งหลังจากมีการเฉี่ยวชนนั้น กระแสไฟมีกำลังพอที่จะเลี้ยงมอเตอร์ทำให้เข็มขึ้นไปอยู่ในจุดดังกล่าว พอเมื่อตัดไฟพอดีเฟืองจึงไม่มีโอกาสขยับได้เอง จึงเป็นเหตุให้เข็มตกลงบนเลข 280 ไม่ได้ และไม่มีทางเป็นไปได้ที่ขาจะอยู่ตรงคันเร่งแล้วมีแรงกดทับจนทำให้เหยียบถึง 280 หรือเข็มตีกลับได้
พล.ต.ท.จรัมพร ยังกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จากองค์ประกอบโดยรอบแล้ว ยังมีหลักฐานที่แสดงว่า คนขับรถปอร์เช่ขับมาด้วยความเร็วดังกล่าวจริง โดยเฉพาะหลักฐานจากกล้องบนโทลเวย์จำนวน 16 ตัว ที่วัดความเร็วจากจุด เริ่มต้น จนถึงจุดที่ความเร็วคงที่ คือกล้องตัวที่ 3 และจุดที่เกิดเหตุคือกล้องตัวที่ 15 ซึ่งพบว่ารถฟอร์จูนเนอร์ขึ้นโทลเวย์มาก่อน ขับด้วยความเร็ว 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากนั้นอีก 1.32 นาที รถปอร์เช่ก็ขับตามมาด้วยความ 280 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากนั้นอีก 1.8 นาที รถมาสด้าก็ขับตามมา
ส่วนลักษณะการชนทั้ง พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวว่า รถทั้งหมด 3 คัน ขับในเลนส์กลางแต่ต่างเวลากัน เริ่มแรกรถฟอร์จูนเนอร์ขับมาด้วยความเร็วต่ำมากสำหรับโทลเวย์ เนื่องจากสภาพรถเกียร์ค้างอยู่ที่เกียร์ L ต่อมารถปอร์เช่ขับด้วยความเร็วสูง พอเห็นรถฟอร์จูนเนอร์ก็พยายามจะเบี่ยงซ้าย แต่ด้วยความเร็วที่สูงมากทำให้ไม่ทันจะเบี่ยงก็ชนเสยเข้าไปที่ท้ายรถของฟอร์ จูนเนอร์ และด้วยความที่ว่ารถปอร์เช่เป็นรถที่มีหน้าต่ำ และรถฟอร์จูนเนอร์เป็นรถคันใหญ่ท้ายสูง ลักษณะการชนจึงเหมือนการเสยเข้าไป
พล.ต.ท.จรัมพร ยังกล่าวอีกว่า ทั้งนี้เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ว รถปอร์เช่ได้ไถลไปด้านซ้ายแล้วแน่นิ่งทันที ส่วนรถฟอร์จูนเนอร์นั้นท้ายเหวี่ยงขวางเลนไว้ ด้านรถมาสด้าที่ขับตามมา จึงไม่เห็นไฟท้าย เลยพุ่งชนเข้าอย่างจัง และรถก็เคลื่อนตัวไปอีกระยะหนึ่งก่อนจะแน่นิ่งไป ขณะที่รถฟอร์จูนเนอร์ไถลไปทางขวาขูดกับแผงกั้นถนน และไฟข้างทาง
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวต่อว่า การเหตุการณ์ครั้งนี้ ทางแพทย์ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่าคนขับรถปอร์เช่เสียชีวิตทันทีเมื่อรถเสยเข้าไปที่ท้ายรถฟอร์จูนเนอร์ ส่วนคนขับฟอร์จูนเนอร์ด้วยแรงกระแทกอย่างแรง บวกกับคนขับไม่คาดเข็มขัดนิรภัยทำให้ร่างกระเด็นมาด้านหลัง เสียชีวิตทันทีเช่นกัน ด้านคนขับรถมาสด้าบาดเจ็บ แต่ไม่สาหัส นอกจากนี้ เมื่อตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดของคนขับทั้งคู่ปรากฎว่า เกิน 50 ตามที่ได้ตั้งไว้ โดยคนขับรถฟอร์จูนเนอร์ปริมาณแอลกอฮอล์เกินนิดหน่อย แต่คนขับรถปอร์เช่ปริมาณแอลกอฮอล์เกินเยอะกว่าหลักร้อยเลยทีเดียว ซึ่งเหตุนี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจหักหลบไม่ทัน
ปริศนาปอร์เช่ 280 กม./ชม. 11 พฤษภาคม
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
รายการ เจาะข่าวเด่น