ละเอียด ประวัติ สุทธิรัตน์ มุตตามระ แฉเส้นทางรัก อดีตพระมิตซูโอะ - สุทธิรัตน์ มุตตามระ


1,576 ผู้ชม



ละเอียด  ประวัติ สุทธิรัตน์ มุตตามระ  แฉเส้นทางรัก อดีตพระมิตซูโอะ - สุทธิรัตน์ มุตตามระ

โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน /วิทยา ปะระมะ

พลิกแผ่นดินหาเพื่อขจัดสิ้นข้อสงสัย “หญิงปริศนา” ที่ปรากฏกายเคียงข้างอดีตพระปฏิบัติชื่อดัง มิตซูโอะ คเวสโก คือพี่สาวแท้ๆ ของอดีตเลขานุการรัฐมนตรียุครัฐบาลประชาธิปัตย์ วิทเยนทร์ มุตตามระ

แอน – สุทธิรัตน์ มุตตามระ คือชื่อของเธอ

ใช่ใครอื่นไกล, หากแต่เป็นที่คุ้นชินในแวดวงสังคมชั้นสูง, “สุทธิรัตน์” ในวัย 52 ปี ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทในเครือเดอะควอลิตี้ กรุ๊ป และประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิว เมดิคอล เซ็นเตอร์ จำกัด ผู้นำเทคโนโลยีศูนย์ต่อต้านความชราครบวงจรภายใต้แบรนด์ คิว เมดิคอล เซ็นเตอร์

เมื่อปี 2554 เธอ กร้าวประกาศทุ่มงบราว 800-1,000 ล้านบาท ก่อตั้งเป็นโรงพยาบาลแพทย์ต่อต้านความชรา หรือโรงพยาบาลแอนไทน์เอจจิง (Anti-Aging Hospital) เพื่อผงาดขึ้นเป็นผู้นำด้านธุรกิจความงาม

มาในวันนี้ ... เธอพิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง

“สุทธิรัตน์” จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ในปี 2522 จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เพียงชั่วข้ามคืน, เธอกลายมาเป็นจุดรวมของสายตานับล้านคู่ ภาพที่แสดงในเฟซบุ๊ก “Suttirat Muttamara” เรียกความสนใจปนข้อเคลือบแคลงนานัปการ

ลึกเข้าไปในอัลบั้มส่วนตัวของ “สุทธิรัตน์” ปรากฏ 11 รูปคู่กับอดีต “พระมิตซูโอะ” ในอิริยาบถเปี่ยมสุข

รูปแรกของเธอและคู่ โพสต์ขึ้นประจักษ์ต่อสาธารณะ เมื่อเวลา 17.47 น. ของวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา เป็นรูปขี่ม้าในประเทศฟิลิปปินส์ โดยรูปดังกล่าวถูกโพสต์ภายหลังที่เธอเขียนข้อความ เพียง 11 นาที

“ขอบคุณสำหรับผู้ที่ไม่หวังดีต่อดิฉัน ที่กล่าวหาว่าดิฉันวางยา Blackmail อาจารย์มิตซูโอะ โดยมีเจตนาทำให้ดิฉันเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงทำให้อาจารย์มิตซูโอะผู้ที่มีเมตตา และความรักต่อดิฉัน จะต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของดิฉัน ด้วยการเปิดเผยความจริงต่อสังคมเร็วๆ นี้ ขอบคุณอีกครั้ง” คือข้อความที่เธอเขียนขึ้น ก่อนตัดสินใจโพสต์รูปคู่ใน 11 นาทีให้หลัง จากนั้น “สุทธิรัตน์” ใช้เวลาอีก 6 นาที โพสต์รูปจนครบ

สำหรับสาเหตุที่เธอตัดสินใจต้องโพสต์รูป คาดการณ์กันว่าเป็นเพราะมีกระแสข่าวว่าพระมิตซูโอะจำใจลาสิกขา เพราะถูกผู้หญิงวางยาและถ่ายคลิปข่มขู่ ซึ่งรูปคู่ที่แสดงต่อสาธารณะชนนั้นเป็นไปในลักษณะตรงกันข้าม กล่าวคือทั้งคู่ดูมีความสุข

สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดในเฟซบุ๊กของ “สุทธิรัตน์” ก่อนมีการโพสต์รูปคู่ คือเรื่อง “กำไรชีวิต” โดยต้องย้อนกลับไปถึงวันที่ 11 มี.ค. และความเคลื่อนไหวก่อนหน้าต้องย้อนกลับไปถึงวันที่ 25 ก.พ.

เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจและได้ข้อคิดจากเฟซบุ๊กของ “สุทธิรัตน์” ถูกเขียนขึ้นในวันที่ 15 ก.พ. ภายหลังวันวาเลนไทน์เพียง 1 วัน ความว่า ‘ความรัก..ที่ถูกหลักวิชา ก่อนจะรักใครให้รักตัวเองก่อน รักตัวเองไม่ใช่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวคือการเติมความไม่บริสุทธิ์ให้ตัวเอง รักตัวเองจะปรารถนาให้ตัวเองมีความสุข จึงต้องสร้างเหตุจะเติมแต่ความดี รักตัวเองอย่างถูกวิชชาต้องคลายความผูกพัน หยุดนิ่งอยู่ภายใน แล้วจะเป็นสุขด้วยตัวของตัวเอง รักตัวเองได้ฉันใด เราก็จะรักเพื่อนมนุษย์ได้ฉันนั้น”

วันที่ 13 ธ.ค.2554 “สุทธิรัตน์” โพสต์ความจากภาพยนตร์เรื่อง Notting Hill (1999) ความว่า “การพบกันเป็นความบังเอิญ .. การยิ้มให้กันเป็นความตั้งใจ”

นอกจากนี้ ในเฟซบุ๊ก “Suttirat Muttamara” ยังมีการโพสต์รูปเกี่ยวกับการตักบาตรทำบุญร่วมกับครอบครัวและบุตรชาย รวมทั้งรูปตัวเองนุ่งชุดขาวอีกเป็นจำนวนมาก สะท้องถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า

สำหรับ “พระมิตซูโอะ” ตามกระแสข่าวได้ลาสิกขาเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่มีผู้ใดสามารถระบุสาเหตุที่แท้จริงของการตัดสินใจครั้งนี้ และไม่มีความชัดเจนว่าท่านลาสิกขา ณ วัดใด

ถัดมาอีก 2 วัน คือวันที่ 10 มิ.ย. มูลนิธิมายาโคตรมี ได้ประชุมคณะกรรมการและแถลงข่าวยืนยันการลาสิกขาจริง อย่างไรก็ตามในวันดังกล่าวพบว่า ทั้งคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิมายาโคตรมี ไม่ยินดีเปิดเผยข้อมูลถึงสาเหตุที่แท้จริงของการลาสิกขา

พระอาจารย์หนูพรม สุชาโต รองเจ้าอาวาสและรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม ลงนามในแถลงการณ์เรื่องการลาสิกขาของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา และได้เผยแพร่ต่อสื่อมวลชนในเวลา 20.30 น. ความว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อต่างๆ ว่า พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ลาสิกขานั้น วัดสุนันทวนาราม ขอยืนยันว่าเป็นความจริง

ขณะนี้ท่านเดินทางไปต่างประเทศแล้ว โดยมีจุดหมายปลายทางที่ประเทศญี่ปุ่นบ้านเกิดของท่าน โดยจะยังคงทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในฐานะของฆราวาสต่อไป ทั้งนี้ในส่วนของมูลนิธิฯ และโครงการต่างๆ ที่ท่านได้ริเริ่มไว้ คณะทำงานจะยังคงดำเนินงานไปตามปกติ เนื่องจากพระอาจารย์ได้วางรากฐานไว้แข็งแรงแล้ว

ขอให้พวกเราทุกคนรักเมตตาต่อกัน และดำเนินงานประหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวกันดังความประสงค์ของพระอาจารย์ไว้ให้จงดี

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ไม่ได้บอกในคำแถลงการณ์ก็คือ ก่อนหน้านี้มูลนิธิมายาโคตมีได้ร่างแถลงการณ์มาแล้ว 1 ฉบับ ซึ่งมีการระบุไว้ว่าสาเหตุของการลาสิกขามาจากปัญหาด้านสุขภาพ แตกต่างกับแถลงการณ์ฉบับที่เผยแพร่ซึ่งไม่ได้ระบุสาเหตุแต่อย่างใด

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่และกรรมการมูลนิธิฯ ท่าทีประหยัดถ้อยคำและจำกัดคำถามของสื่อมวลชน โดยจะตอบเพียง 3 ประเด็นเท่านั้น คือ 1.พระอาจารย์ลาสิกขาแล้วหรือไม่ 2.สาเหตุจากอะไร 3.การดำเนินการของมูลนิธิฯ หลังจากนี้

ดารณี บุญช่วย กรรมการและเหรัญญิกมูลนิธิฯ ระบุในวันแถลงข่าวว่า พระอาจารย์ได้ลาสิกขาจริงและได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่ได้แจ้งเหตุผลและไม่มีใครทราบว่าท่านลาสิกขาที่วัดใด

ทั้งนี้ ระหว่างการซักถามรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้แจ้งให้ผู้สื่อข่าวหยุดสัมภาษณ์ และเชิญให้ร่วมรับฟังคำชี้แจงจากพระอาจารย์หนูพรม แต่ไม่ให้บันทึกภาพโดยเด็ดขาด

สำหรับการชี้แจงของพระอาจารย์หนูพรม ระบุว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าพระอาจารย์มิตซูโอะจะลาสิกขา โดยเพิ่งทราบเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา

เมื่อผู้สื่อข่าวซักว่า ท่านทราบถึงการลาสิกขาได้อย่างไร พระอาจารย์หนูพรม มีท่าทีครุ่นคิดก่อนตอบว่า ทางเราก็... (นิ่งคิด 3 วินาที) ลักษณะที่ท่านเดินทางกะทันหัน ท่านก็ไปนั่น จะให้ตอบยังไงดี

ถามย้ำว่า ทำไมท่านถึงทราบว่าพระอาจารย์มิตซูโอะลาสิกขา พระอาจารย์หนูพรม ตอบว่า อันนี้ก็ ... (เงียบ) อาจารย์ถามไปทางวัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานีจึงได้คำตอบ

ผู้สื่อข่าวพยายามถามถึงสาเหตุการลาสิกขาและความเป็นมา รวมถึงการติดต่อกับพระอาจารย์มิตซูโอะหลายครั้ง แต่พระอาจารย์หนูพรม ยืนยันเพียงว่า เป็นไปตามแถลงการณ์

“คนไทยกับคนต่างชาติมีมุมมองต่างกัน เป็นธรรมดาของคนไทยที่ยึดติดตัวบุคคล ส่วนท่านก็อยากเผยแพร่คำสอนของศาสนาให้เป็นสากล คำสอนของท่านจะไม่ยึดติดกับพระพุทธเจ้า เพื่อให้ศาสนาอื่นสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาได้ และบางทีการเป็นฆารวาสก็เผยแพร่ศาสนาได้มากกว่า เพราะต่างชาติก็ไม่ได้ยอมรับพระ” พระอาจารย์หนูพรม ให้เหตุผล

มิตซูโอะ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Suttirat Muttamara
          สุทธิ รัตน์ มุตตามระ พบรัก อดีตพระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก ได้อย่างไร เฟซบุ๊กอ้างคำบอกเล่าของลูกศิษย์คนสนิท แฉเส้นทางรัก อดีตพระมิตซูโอะ - สุทธิรัตน์ มุตตามระ อ้างรักษาเบาหวาน ส่งรถตู้ติดฟิล์มมารับประจำ
          จาก กรณีที่ อดีตพระมิตซูโอะ คเวสโก เจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ได้แต่งงานกับ นางสุทธิรัตน์ มุตตามระ หรือ แอน นักธุรกิจสาวไฮโซคนดังของไทย พร้อมจดทะเบียนสมรสกันเรียบร้อยแล้ว ที่สำนักงานเขตในจังหวัดอิวาเตะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา พร้อมเผยว่า "บวชมา 38 พรรษา ไม่เคยคิดจะสึก ไม่เคยคิดจะแต่งงานในชาตินี้ แต่สำหรับแอนน่าจะเป็นเนื้อคู่มาแต่ชาติก่อน เป็นคู่บารมีของอาจารย์" พร้อมทั้งมีการแชร์จดหมายซึ่งระบุว่าเป็นลายมือของเจ้าตัว ระบุว่าเขาและภรรยาได้ทำตามกฎเกณฑ์ ไม่ได้กระทำในสิ่งที่ขัดต่อพระธรรมวินัยในทางธรรม ซึ่งก่อให้เกิดกระแสฮือฮา และเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยหลายคนรู้สึกเสียดายที่อดีตพระมิตซูโอะตัดสินใจสึกเพื่อไปแต่งงาน ในขณะที่บางคนก็มองฝ่ายหญิงในแง่ลบว่าเป็นสาเหตุให้พระสึก ส่วนอีกกระแสก็มองว่า เป็นการตัดสินใจของอดีตพระดัง ซึ่งก็เหมาะสมแล้ว ไม่ได้มีอะไรเสียหาย ขณะเดียวกัน ก็ยังมีบางส่วนรู้สึกข้องใจว่า อดีตพระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก และสุทธิรัตน์ มุตตามระ ไปพบรักกันได้อย่างไร เป็นช่วงเวลาที่ฝ่ายชายยังอยู่ในผ้าเหลืองหรือไม่
          เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว มีรายงานจากเว็บไซต์ข่าวไทยอีนิวส์ว่า มีเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า กุหลาบ ปากซัน ได้โพสต์อ้างถึงคำบอกเล่าจากลูกศิษย์คนสนิทของ อดีตพระมิตซูโอะ คเวสโก ระบุเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไว้ ดังนี้
มิตซูโอะ

           มี โยมที่วัดบอกว่า ผู้หญิงคนนี้วันวันเอาแต่นั่งจ้องพระอาจารย์มิตซูโอะเป็นชั่วโมง ๆ ใครเข้าไปกราบท่าน หล่อนก็ไม่ถอยออกมา นั่งจ้องอยู่เช่นนั้น และต่อมา ผู้หญิงก็เสนอให้การรักษาโรคเบาหวานด้วยการทำ chelation โดยต้องไปทำที่คลินิกทองหล่อ ซอย 4 อาทิตย์ละ 1 ครั้ง โดย 2 ครั้งแรก เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ เดินทางไปด้วย แต่ตัวผู้หญิงไม่ได้ไป และหลังจากนั้นก็เพิ่มเป็นทุก ๆ 2 วัน โดยไม่มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ติดตามไปด้วย และผู้หญิงเสนอว่า เนื่องจากต้องไปคลินิกบ่อยอยู่แล้ว จึงให้คนขับรถของหล่อนมารับไปกิจนิมนต์ด้วยเลยทุกวัน ซึ่งรถที่มารับเป็น รถตู้ สีขาว ติดฟิล์มดำสนิท มีกระจกกั้นระหว่างคนขับกับห้องโดยสาร ไม่สามารถมองเห็นและได้ยินอะไรจากห้องโดยสารได้ ซึ่งในชั้นแรก เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ แจ้งท่านว่ารถคันนี้ไม่เหมาะสม จึงให้ผู้ชายในวัดติดตามไปด้วย 1 คน แล้วมารู้ทีหลังว่า โดนผู้หญิงสั่งให้ไปนั่งกับคนขับรถ บางครั้งไปนั่งด้านหน้า 3 คน รวมคนขับเป็น 4 คน ตอนลงรถก็คิดว่ามากันหลายคน แต่มาทราบภายหลังว่าทุกคนโดนผู้หญิงสั่งให้ไปนั่งด้านหน้าทั้งหมด
          พระอาจารย์ฯ มีกิจนิมนต์ที่ญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 2-17 พฤษภาคม (ผู้หญิงไม่ได้ไปด้วย) แต่หลังจากนั้น (ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม) ผู้หญิงคนนี้ก็มารับพระอาจารย์ฯ ที่มูลนิธิฯ ไปทำ chelation ทุกวัน เมื่อเจ้าหน้าที่สอบถามว่าทำไมต้องไปทุกวัน เธอก็ตอบว่ามีการทำ stem cell ร่วมด้วยจึงต้องไปทุกวัน ซึ่งโดยปกติพระอาจารย์ฯ จะต้องมีการตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ แต่ท่านปฏิเสธการตรวจสุขภาพทั้งหมด เจ้าหน้าที่มูลนิธิจึงเห็นสิ่งผิดปกติของเธอคนนี้ แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างไร พอมาคิดย้อนหลังจึงพบว่า พระอาจารย์ฯ ก็เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป นั่งเหม่อ เก็บตัว มีอาการโมโห โกรธ ในบางครั้ง ซึ่งท่านไม่เคยเป็นแบบนี้เลย เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นรวดเร็วมาก โดยไม่มีใครคาดคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะสึกพระ จนกระทั่งเย็นวันที่ 8 พระที่วัดได้โทรคุยกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ว่า มีคนในครอบครัวของผู้หญิงแจ้งไปที่วัดป่านานาชาติว่า เธอคนนี้จะสึกพระในเช้าวันอาทิตย์ที่ 9 และครอบครัวได้ห้ามแล้ว แต่ด้วยนิสัยของผู้หญิงที่จะเอาอะไรต้องเอาให้ได้ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
          เกิด ความสงสัยว่า ครอบครัวผู้หญิงรู้ได้อย่างไร จึงได้สอบถามไปที่ครอบครัวของหล่อน และได้คำตอบว่า พวกเขากลุ้มใจกันมาก แต่ไม่กล้าแจ้งทางมูลนิธิฯ ว่าหล่อนมาขอร้องให้ช่วยดำเนินการเรื่องวีซ่าไปประเทศญี่ปุ่น จึงได้รู้ความจริง จากนั้นการติดตามของลูกศิษย์ที่จะให้ได้พบตัวท่าน เพียงเพื่อจะได้เห็นกับตาว่าท่านสึกแล้วจริงหรือไม่ และจากกล้อง CCTV เราจึงบอกกับทางมูลนิธิฯ ว่า สึกจริงแล้ว สามารถยืนยันได้ และก็ปรึกษากันว่าจะตัดสินใจไปดักรอพบท่านที่สุวรรณภูมิ เพราะได้รับแจ้งจากวัดป่านานาชาติจากแหล่งข้อมูลเดิมว่าทั้งคู่จะเดินทางออก นอกประเทศไปฮ่องกง ในช่วงเช้ามืดของวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ เช้าที่สุดคือเวลา 02.15 น. จึงได้ไปถึงสนามบินในเวลาเที่ยงคืน และได้พบกับท่าน ก็ได้เข้าไปคุยกับท่าน ถามถึงเหตุผลที่สึก ท่านตอบว่า เป็นพระสอนได้แค่คนที่เคารพผ้าเหลือง ถ้าเป็นคนธรรมดาจะสอนคนได้ทุกชาติ ศาสนา และจากนั้นก็ขอให้ท่านอยู่ที่มูลนิธิฯ ต่อสัก 2-3 วันแล้วค่อยตัดสินใจใหม่แต่ท่านปฏิเสธ จึงได้ถามอีกว่า ท่านสึกแล้วทำไมถึงมากับผู้หญิง ท่านตอบว่า ด้วยเหตุและปัจจัย
          สิ่งผิดปกติที่สังเกตเห็นคือ มือของท่านทั้งสองข้างคล้ำแบบดำเขียว เหมือนกับช้ำมาก เป็นเฉพาะที่มือ ทั้งหน้ามือและหลังมือ จึงถามท่านว่า ทำไมมือของท่านดำมาก ท่านไม่สบายหรือเปล่า ท่านเก็บมือใส่กระเป๋าเสื้อแล้วบอกว่าสบายดี ไม่เป็นอะไร แต่พวกเขาไม่ยอม จึงขอให้ท่านเอามือออกมาเทียบกับมือของตน ก็พบว่ามือของท่านผิดปกติ แต่ท่านก็ยังยืนยันว่าสบายดี โดยในระหว่างที่ถาม ท่านแสดงอาการไม่พอใจที่มาพบท่าน และพูดไล่พวกเขากลับไป ซึ่งอาการเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน ท่านไม่เคยปฏิเสธใคร ดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
          วัน นั้น พวกเขายืนมองท่านเดินจากไป เห็นท่าเดินที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เป็นท่าเดินลากเท้าเหมือนคนอ่อนแรง โดยปกติท่านจะเป็นคนที่เดินแบบยกเท้าพ้นพื้น แล้วจรดเท้าลงแบบเดินจงกรม เห็นท่านยืนรอผู้หญิงแลกเงินอย่างเหม่อลอย เป็นภาพที่เรารู้สึกว่า นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะช่วยท่าน แต่จะด้วยอะไรก็ตาม วันนั้นพวกเขาทำเพียงยืนดูท่านจากไป และในคืนนั้นเอง พวกเขาได้กลับมาหา ข้อมูลของผู้หญิงคนนี้ต่อ พบว่า ในเว็บไซต์เขียนถึงหล่อนว่า แต่งงานมาแล้ว และหย่ามาแล้วหลายครั้ง มีหนี้สินมากกว่าพันห้าร้อยล้าน มีคดีที่ต้องขึ้นศาลตลอดเวลา และต่อมา ก็ได้คุยกับผู้ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับยาว่า คนที่มีอาการแบบนี้ เป็นไปได้ที่จะโดนยากล่อมประสาท แต่เนื่องจากต้องเดินทางไกล จึงต้องสเน็ปยาเข้าไปที่ข้อมือมากกว่าปกติ มือจึงดำ ประกอบกับอาการเหม่อลอยและเดินลากขา เป็นเพราะยากล่อมประสาท เช่น dormicum และจากการปล่อยข่าวของผู้หญิง ทั้งรูปและวิดีโอ สร้างภาพให้เป็นการสึกด้วยความรักหล่อน ทำให้สงสัยว่า ด้วยเวลาตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน ถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2556 จะสามารถสึกพระ 38 พรรษาได้จริงหรือ ถ้าไม่มีตัวช่วย
          อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า เรื่องราวจากเฟซบุ๊กดังกล่าว ซึ่งแฉเกี่ยวกับเส้นทางรักของ อดีตพระมิตซูโอะ - สุทธิรัตน์ มุตตามระ นั้นเป็นความจริงหรือไม่ ซึ่งหากใครต้องการอ่านข้อมูลดังกล่าวแบบเต็ม ๆ สามารถติดตามได้ที่ เฟซบุ๊ก กุหลาบ ปากซัน และหากมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติม ทางกระปุกดอทคอม จะนำมารายงานให้ทราบกันต่อไป
          อนึ่ง ใน เฟซบุ๊ก Suttirat Muttamara ซึ่งเป็นเฟซบุ๊กของ สุทธิรัตน์ มุตตามระ ที่ได้ลงภาพคู่ของเธอกับอดีตพระมิตซูโอะไว้หลายรูป ได้โพสต์สถานะไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (27 มิถุนายน 2556) ระบุว่า "ขอบ คุณสำหรับผู้ที่ไม่หวังดีต่อดิฉัน ที่กล่าวหาว่าดิฉันวางยา Blackmail อาจารย์มิตซูโอะ โดยมีเจตนาทำให้ดิฉันเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงทำให้อาจารย์มิตซูโอะผู้ที่มีเมตตา และความรักต่อดิฉัน จะต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของดิฉัน ด้วยการเปิดเผยความจริงต่อสังคมเร็ว ๆ นี้ ขอบคุณอีกครั้ง" ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้มีคลิปที่อดีตพระมิตซูโอะ กล่าวเกี่ยวกับความรักของเขากับ แอน สุทธิรัตน์ มุตตามระ ออกมานั่นเอง
มิตซูโอะ

          จากนั้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2556 พระอาจารย์หนูพรม สุชาโต รองเจ้าอาวาส รักษาการเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม สาขาวัดหนองป่าพง ที่ 117 หมู่ 8 ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ได้กล่าวถึงกรณีที่อดีตพระมิตซูโอะ อดีตเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม สาขาวัดหนองป่าพง ออกมายืนยันว่าจดทะเบียนสมรสกับนางสุทธิรัตน์ หรือแอน มุตตามระ แล้วจะมีผลกระทบต่อวัดหรือไม่ ว่า ปัจจุบันยังไม่รู้ เพราะเป็นเรื่องของอนาคต ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนประสานเข้ามาเพื่อขอยกเลิกการมา ปฏิบัติธรรมตามกำหนดเดิม กิจกรรมปฏิบัติธรรมก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ ขณะที่พระสงฆ์ แม่ชี และคณะทำงาน ก็ไม่ได้สอบถามหรือพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ เนื่องจากมองว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ต้องยอมรับตามนั้นไป ส่วนเรื่องเงินบริจาคของวัด ทางคณะกรรมการวัดยังไม่ได้พูดคุยกัน
          ด้านนายศุภมิตร แก้วงอก ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ต.ไทรโยค กล่าวว่า ส่วน ตัวไม่ได้ติดใจเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะขณะที่ท่านอยู่ในสมณเพศ ได้ปฏิบัติธรรม เผยแผ่พุทธศาสนา สั่งสอนให้ทุกคนสร้างแต่คุณงามความดี นอกจากนี้ อดีตพระมิตซูโอะ ยังได้สร้างประโยชน์ให้ชุมชนอย่างมากมาย ขณะที่ท่านอยู่ในสมณเพศก็ไม่เคยมีเรื่องทำให้เสื่อมเสียทั้งเรื่องเงินและ ผู้หญิง ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงยอมรับได้กับการที่ท่านออกมาแถลง เพราะหากท่านยังอยู่ในสมณเพศแล้วแอบไปมีสีกา นั่นคือความผิดร้ายแรงอย่างมหันต์ ชาวบ้านคงยอมรับไม่ได้และไม่ให้อภัยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวบ้านบางส่วนที่รู้สึกช็อกและรับไม่ได้กับข่าวดังกล่าว เนื่องจากเชื่อมั่นเลื่อมใสศรัทธาในตัวอดีตพระอาจารย์มาก
          นอกจากนี้ นายศุภมิตรยังกล่าวอีกว่า ชาวบ้านบางคนก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาก็สวยดี ไม่น่ามาสึกพระอาจารย์ ซึ่งตนได้ตอบไปว่า จะสึกไม่สึกอยู่ที่ตัวพระ ไม่ต้องไปโทษใคร ต้องโทษเวรกรรม พรหมลิขิต พระอาจารย์มีบุญอยู่ในผ้าเหลืองแค่นี้ก็คือแค่นี้ แต่ชาวบ้านบางคนที่ไปปฏิบัติธรรมเป็นประจำ ก็ยังคงไปปฏิบัติธรรมและทำบุญใส่บาตรตามปกติ โดยตั้งแต่มีข่าวว่าท่านลาสิกขา ก็มีผู้ใหญ่หลายท่านใน จ.กาญจนบุรี สอบถามเข้ามามากมาย ซึ่งในวันนั้นทราบเพียงว่าท่านสึกเพราะปัญหาสุขภาพ เนื่องจากป่วยด้วยโรคเบาหวาน แต่หลายคนก็ยังคงสงสัยและกังขา ก็ได้พยายามหาข้อมูลข้อเท็จจริงมาโดยตลอด จนมาเห็นภาพอดีตพระอาจารย์กับผู้หญิงตามสื่อต่าง ๆ จึงทราบเรื่อง
          ทั้งนี้ จากการสอบถามแม่ครัวและคนขับรถผู้ใกล้ชิดท่านทราบว่า ผู้หญิงที่ปรากฏในภาพมานั่งวิปัสสนาที่วัดแห่งนี้เมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา แต่ไม่มีท่าทางสนิทกันเป็นพิเศษแต่อย่างใด มีการถวายน้ำปานะและถวายอาหารตามปกติที่ทำกัน เนื่องจากการนั่งวิปัสสนาไม่ได้นั่งตัวต่อตัวกับอดีตพระอาจารย์ แต่จะนั่งวิปัสสนากันนับร้อยคน ฉะนั้นผู้หญิงคนนี้จึงไม่ได้มีอะไรที่ผิด สังเกตไปจากคนอื่น ๆ ที่ผ่านมาเวลาท่านไปทำกิจนิมนต์ที่ไหน ไม่เคยปรากฏผู้หญิงคนนี้นั่งรถไปด้วย หรือแอบนัดเจอกับผู้หญิงคนนี้ในสถานที่ที่ไปส่งท่านทำกิจนิมนต์เลย วันที่ท่านลาสิกขาแล้วเดินทางออกนอกประเทศไปนั้น ก็ได้ขับรถไปส่งที่กรุงเทพฯ ตามที่ท่านรับกิจนิมนต์ไว้ปกติ ทุกครั้งท่านจะสั่งให้ขับรถกลับวัดได้เลย เนื่องจากจะมีญาติโยมมารับและดูแลท่านในการเดินทางต่อไปยังสถานที่ต่าง ๆ เอง
          ส่วนนายฉัตรชัย ชูเชื้อ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า พระครูวิมล กาญจนารักษ์ เจ้าคณะตำบลไทรโยค เขต 1 ได้พิจารณาให้พระอาจารย์หนูพรม สุชาโต ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาสแล้ว ตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา มีอำนาจเต็มในการดูแลวัดเช่นเดียวกับเจ้าอาวาส ซึ่งตนได้เข้ากราบเยี่ยมนมัสการพระอาจารย์หนูพรมเพื่อสอบถามปัญหาหรือความ ต้องการความช่วยเหลือแล้ว พบว่าวัดสามารถบริหารจัดการในทุก ๆ เรื่องได้ ส่วนเรื่องเงินบริจาคของวัด พศ. จะไม่เข้าไปตรวจสอบหรือยุ่งเกี่ยว เพราะเป็นเรื่องของกรรมการวัดที่จะบริหารจัดการ แต่หากมีเรื่องเกิดขึ้นก็จะเข้าไปตรวจสอบ แต่ปกติการเบิกจ่ายเป็นไปในรูปของคณะกรรมการวัดเป็นผู้พิจารณา เจ้าอาวาสไม่สามารถเบิกจ่ายได้โดยลำพังอยู่แล้ว พร้อมเผยว่า หากเป็นเจ้าอาวาสวัดอื่น ๆ ลาสิกขาก็คงเป็นเรื่องปกติ แต่เนื่องจากอดีตพระอาจารย์เป็นพระดัง หลายคนจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยตอนนี้ที่วัดยังคงมีการบริหารงานตามปกติ และมีการปฏิบัติธรรมเป็นปกติเช่นกัน ซึ่งแต่เดิมพระอาจารย์หนูพรมดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

อัพเดทล่าสุด