อาหาร 10 อันดับยอดนิยมที่อันตรายต่อสุขภาพ


819 ผู้ชม


อาหารยอดนิยมที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ นำมาจัด 10 อันดับอันตราย ที่ผู้บริโภคควรรู้และระวังไว้มีดังนี้ 1)แฮมเบอร์เกอร์ 2) ฮอตด็อก3)เฟรนซ์ฟราย4)ออริโอคุ๊กกี้5)พิซซา6)นำ้อัดลม 8)ชิ้นไก่ทอดไม่มีกระดูก9)โดนัท 10)โปเตโต้ชิ๊พ   
อาหาร 10 อันดับยอดนิยมที่อันตรายต่อสุขภาพนั้นมีอะไรบ้าง 1.แฮมเบอร์เกอร์ จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะมีมาตรฐานทางด้านสุขภาพต่ำ จากการที่มีการ ทำกันมาขายเป็นอุตสาหกรรมเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำเนื้อมาใช้ปรุงทำให้มีแบคทีเรียเกิดขึ้นได้สูงทำให้จำเป็นต้องมีการใช้สารเคมีมาช่วยกำจัดเนื้อที่กำลังจะเน่าเสีย ทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว การใช้สารเคมีสีแดงย้อมทำให้เนื้อดูสดแฮมเบอร์เกอร์ส่วนใหญ่จะย้อมด้วยสารเคมีสีแดง ยกเว้นแต่จะทำด้วยกรรมวิธีอื่นๆ • แฮมเบอร์เกอร์ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ นี่คือสาเหตุว่าทำไมคนอเมริกันถึงได้ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ เนื้อบดเป็นเสมือนกับอาหารของคนลี้ภัยอาหารเบอร์เกอร์ทำให้เกิดโรค E-coli ที่ต้องทำการรักษา มากกว่าโรคที่เกิดจากอาหารชนิดอื่น • แฮมเบอร์เกอร์เป็นอาหารยิ่งใหญ่รายการเดียวที่ทำให้เกิดความเสียหายและก่อความทุกข์ให้กับอาหารของอเมริกัน...บริการอาหารได้นับพันล้านชุด...ค่าหมอและค่าโรงพยาบาลรักษานับพันล้านเหรียญ....ฮอร์โมนที่ใช้ฉีดวัวควาย ทำให้ท่านอ้วนขึ้นได้ หากท่านบริโภคเนื้อเหล่านั้น ชีสเบอร์เกอร์ ประกอบด้วยไขมันทั้งหมดเกินกว่า 100% ของอาหารไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน • เบอร์เกอร์คิง ซ้อนหลายชั้นชุดพิเศษ จะให้พลังงาน 1.150 แคลอรี่ และไขมันรวม 76 กรัม เป็นไขมันอิ่มตัว 33 กรัม และเกลือโซเดียมอีก 1,530 ม.ก.เครื่องปรุงรสของเบอร์เกอร์ พริก กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ล้วนใช้สารก่อมะเร็งจากเกลือเคมีกำมะถันเพื่อควบคุมความสดของผัก • เบอร์เกอร์ส่วนใหญ่จะมีเกลือโซเดียมอยู่ 1,090 ม.ก. (เท่ากับ 45% ของปริมาณที่กำหนดให้ใช้ในแต่ละวัน) ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ 2. ฮอทด็อก o จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะมีมาตรฐานทางด้านสุขภาพต่ำ จากการที่มีการ ทำกันมาขายเป็นอุตสาหกรรมเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำเนื้อมาใช้ปรุง ทำให้มีแบคทีเรียเกิดขึ้นได้สูง ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้สารเคมีมาช่วยกำจัด o ฮอทด็อกทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หู เล็บและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100% o ฮอทด็อกทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย o ฮอทด็อกจะใส่สารไนไตรท์ ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นสารที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งในเม็ดเลือด เนื้องอกในสมองและมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ o สารเติมช่วยทำให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็ม อาจเป็นจำพวกธัญญาหาร อาจเป็นนมผงรบกพร่องมันเนย ถั่วเหลืองหรือสารอย่างอื่นก็ได้ ทำให้เพิ่มจำนวนคาร์โบไฮเดรตและกระบวนการในการผลิตด้วย o ถุงหลอดที่ใช้บรรจุฮอทด็อกทำจากคอลลาเจนสังเคราะห์ ที่เป็นสารก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้สูง o มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% o เมื่อนำไปปิ้งย่าง มันจะให้สารพิษร้ายแรงที่เรียกว่า อะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อมะเร็งและทำลายประสาท 3. เฟร้นช์ฟราย มันฝรั่งทอด (ชอบแย่งเด็กกินเป็นประจำ) o เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง”การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท o น้ำมันที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์ และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์ o มันฝรั่งมีดรรชนี กลีซิมิค(Glycemic) อยู่สูงมาก นั่นหมายถึง มันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็วมาก การรับประทานมันฝรั่งปิ้งหนึ่งหัว (หรือเฟร้นช์ฟรายในปริมาณเทียบเท่ากัน) จะมีประมาณน้ำตาลเท่ากับรับประทานเค้กช็อคโกเล็ตชิ้นโตๆทีเดียว 4. ออริโอ คุกกี้ คุ๊กกี้ที่ขายดีอันดับหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา (ขนาด 6 ชิ้น = ขนาดในการบริโภคต่อครั้ง) o ที่เด่นชัดมากก็คือ สัดส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว o ช็อกโกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก o พลังงาน 370 แคลอรี่ที่แทบจะไม่มีสารประกอบของอาหารที่ให้พลังงานอยู่เลย แคลอรี่เทียบได้เท่ากับการรับประทานเนื้ออกของไก่ 2 ชิ้น คุกกี้ 6 ชิ้น จะมีไขมันอยู่ 12 กรัม ไขมันอิ่มตัว 2.5 กรัม คาร์โบไฮเดรต 40 ---หมายถึง คุ๊กกี้แค่ 6 ชิ้น มี จำนวนคาร์โบเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อวันเสียอีกออริโอคุกกี้จะเพิ่มความกระหายน้ำตาลให้ท่านได้มากยิ่งขึ้นภายใน 3 ชั่วโมงเท่านั้น o กลิ่นรสธรรมชาติที่ระบุไว้นั้น เป็นสารเคมีจากทางโรงงานที่ทำให้ออริโอมีรสชาติยังกับคุกกี้ช็อกโกเล็ตจากกระบวนการผลิตชั้นสูง ที่ทำให้ออริโอคุกกี้ได้กลิ่นรสที่ไม่ได้เป็นมาจากธรรมชาติเหล่านั้นที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากสารเคมีที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งบริษัท นาบิสโก ได้ปฏิเสธที่จะเปิดเผยจำนวนไขมันที่แปรเปลี่ยน (Transfats) ว่า มีอยู่เป็นจำนวนเท่าไหร่ เพียงแต่บอกว่า มีอยู่ในปริมาณที่ยอมรับได้สำหรับอาหารในประเภทนี้ o น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น 5. พิซซ่า o พิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไปด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม 5 ชนิด 1. เนยแท้ (cheese) เพียง 10% เท่านั้นที่ไม่ควรจะเรียกว่าเนยแท้ได้เลย 2. แป้งที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไปใหม่ 3. ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง ในร่างกายของท่าน 4. แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม 5. มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ ในฝ้ายเมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสารพิษต่างๆเอาไว้ได้มากที่สุด กระทรวงเกษตรและกระทรวงสาธารณะสุขต่างก็ไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่า มันปลอดภัยต่อการบริโภคได้หรือไม่มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่มันเป็นน้ำมันไฮโดรจีเนตและมีอันตรายต่อสุขภาพของท่านเป็นอย่างยิ่ง o ผิวหน้าแป้งพิซซ่าที่อบปิ้งในอุณหภูมิสูง อาจจะมีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) เกิดขึ้น ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาทได้ o การเพิ่มหน้าพิซซ่า เพ็พเปอโรนิหรือเพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจากไนไตรต์ สารกันบูดและสารเคมีอื่นๆ รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเติมเข้าไปจากโรงงาน 6. น้ำอัดลม o สารตัวสำคัญที่มีอยู่ในโค้กก็คือกรดกำมะถัน (Phosphoric acid) ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วันกรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ o น้ำโซดาจะเป็นตัวชะล้างแคลเซียมออกจากกระดูกของท่าน ช่วยทำเกิดโรคกระดูกพรุน o ในน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋อง จะมีน้ำตาลที่ไม่ให้พลังงานอยู่ประมาณ 12 ช้อนชา o ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว (Diet soda) ที่ใช้น้ำตาลเทียมสังเคราะห์ (Artificial sweetener) เพิ่มความหวาน จะทำให้ร่างกายของท่านกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เพราะว่า น้ำตาลสังเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก o สีที่ใช้เติมในน้ำอัดลม เป็นสารเคมีก่อมะเร็ง o เราเรียกน้ำอัดลมนี้ว่า น้ำตาลเหลว เพราะมันมีน้ำตาลประกอบอยู่สูง การดื่มน้ำอัดลม ก็เสมือนกับการกินแท่งช็อกโกเล็ตน้ำตาลเหลว o ส่วนประกอบสำคัญในน้ำอัดลมก็คือ น้ำเชื่อมฟรัคโต๊สที่ได้มาจากข้าวโพด 7. ชิ้นไก่ทอดเนื้อนุ่มไร้กระดูก o ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆการรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมันมีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง o มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้นในห้องปฏิบัติการทดลอง และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นได้ o มีสารฟอสเฟตประกอบอยู่ด้วย ทำให้ร่างกายเกิดเป็นกรด เป็นการยากที่จะทำให้มันเผาไหม้ไขมันได้อย่างเหมาะสมถูกต้อง จึงถูกสะสมและยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ o นัคเก็ตชิคเก้นบางอัน (ของแม็คโดนัล) จะมีสารอะลูมิเนียมด้วย ซึ่งเป็นสารพิษที่มีอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเมตะโบลิสซึมของร่างกายด้วย o น้ำมันที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์ และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์ 8. ไอศกรีม o มีไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น o เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเน็ตและไขมันที่แปรเปลี่ยน(Transfat) ไปจากธรรมชาติและ 1. ช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรัล 2. ทำให้เส้นเลือดแดงใหญ่อุดตัน 3. ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากยิ่งขึ้น(เป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็ง) o ฮอร์โมนที่ฉีดให้กับวัวเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำนม จะลดการเมตะโบลิสซึมของร่างกายให้ลดน้อยลง ทำให้เกิดเนื้องอก ซีสต์และมะเร็งที่ทรวงอกและรังไข่ 9. โดนัท o โดยเฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน o มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ o โดนัทนั้นทอดในน้ำมันที่มีการออกซิไดซ์ และในแต่ละครั้งน้ำมันนั้นใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์ o ดังกิ้นโดนัทเปลี่ยนน้ำมันใช้ทอดทุกครั้งเมื่อทอดโดนัทครบ 3,600 ชิ้น o น้ำมันในอุณหภูมิที่สูงจะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้น ทำให้เกิดสารพิษและทำให้ร่างกายเมตะโบลิสซึมช้าลงเป็นการคุกคามต่อสุขภาพที่ดีของท่าน o มีน้ำตาลอยู่สูง ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น 10. โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยวยามว่างที่มียอดขายมาอันดับ 1 ของอเมริกันชน o คนอเมริกันในปัจจุบันบริโภคโปเตโต้ชิพมากกว่าประชากรอื่นใดในโลก มีการบริโภคมันสำปะหลังเป็นอันดับสองรองจากข้าว มันกลายเป็นสินค้าโลกไปแล้วมันสำปะหลัง 4 ปอนด์ ใช้ทำโปเตโต้ชิพได้เพียง 1 ปอนด์ o ขนาดเล็กของโปเตโต้ชิพที่บรรจุ 2 ออนซ์ มันจะมีพลังงานที่อัดแน่นสูงเกินกว่า 300 แคลอรี่ o น้ำมันที่ใช้ในการทอดโพเตโต้ชิพในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์ และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์ o การทอดโปเตโต้ชิพจะทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท o การรับประทานโปเตโต้ชิพหนี่งถุงอาจได้รับสารอะคริลิไมด์สูงมากกว่า 500 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปได้การรับประทานโปเตโต้ชิพหนี่งชิ้น อาจได้รับสารอะคริลิไมด์เท่ากับอัตราที่มีอยู่ในน้ำ ดื่มหนึ่งแก้ว o มีไขมันอิ่มตัวแอบแฝงอยู่มาก o มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดแคลนน้ำได o ไปปิดกั้นการดูดซึมของไขมัน ทำให้การดูดซึมแร่ธาตุจากสารอาหาร ที่เรารับประทานเข้าไปได้น้อยลง o ทำให้ปิดกั้นการดูดซึมสารคาโรทินอยด์และสารเคมีอื่นๆที่ได้มาจากพืชที่ช่วยในการป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคจุดด่างของผิวหนังทำงานได้ด้อยลง แหล่งข้อมูล : https://blog.eduzones.com/vespanarak/7895 
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=4863

อัพเดทล่าสุด