มนุษย์ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตและโลกมาตั้งแต่อดีตกาล คำถามพื้นฐานที่ผู้คนทุกเผ่าพันธุ์ได้สงสัยกันคือ โลกและจักรวาลที่มนุษย์อาศัยอยู่มีจุดกำเนิดหรือไม่?
จักรวาลมีกำเนิดมาอย่างไร?.
มนุษย์ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตและโลกมาตั้งแต่อดีตกาล คำถามพื้นฐานที่ผู้คนทุกเผ่าพันธุ์ได้สงสัยกันคือ โลกและจักรวาลที่มนุษย์อาศัยอยู่มีจุดกำเนิดหรือไม่? หากมีแล้วการกำเนิดที่เกิดขึ้นมีลักษณะอย่างไร? และใครเป็นผู้สร้าง?
ในแต่ละช่วงเวลาตามยุคสมัย คำถามพื้นฐานนี้ได้ถูกค้นหาโดยนักปรัชญา นักคิด นักวิทยาศาสตร์ รวมทั้งนักการศาสนา ได้ให้คำตอบและอธิบายแตกต่างกันไปตามรู้ ความเชื่อ ความศรัทธา โดยได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมของการดำเนินชีวิตของกลุ่มคนในสังคมหนึ่ง ๆ ในแต่ละช่วงเวลานั่นเอง
อิสลามเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ได้ให้คำตอบกับคำถามพื้นฐานนี้ผ่านคำวิวรณ์ของคัมภีร์อัลกุรอ่านได้ให้ความกระจ่างไว้
"พระองค์ผู้ทรงสร้าง บรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน อย่างไรเล่าที่พระองค์จะทรงมีพระบุตรโดยที่พระองค์มิได้ทรงมีคู่ครอง? และพระองค์นั้นทรงบังเกิดทุกสิ่งทุกอย่าง และพระองค์ก็ทรงรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างด้วย" (อัลกุรอ่าน, 6:101)
นี่เป็นข้อมูลจากอัลกุรอ่านเพื่อเป็นการยืนยันต่อการค้นหาคำตอบของนักวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจักรวาลมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด สิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นนี้เป็นวัตถุที่หลักการทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้และ กฏต่างๆทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถจะใช้ได้ กับสิ่งแรกๆนี้ นักวิทยาศาสตร์เรียกมันว่า สาเหตุเริ่มแรก(First cause) หรือเรียกว่า หนึ่งเดียว(Singularity) ภายในสิ่งแรกนี้มีพลังงานมหาศาลและ แปรปรวนมาก มันไม่เสถียร เมื่อสิ่งเริ่มแรก(หนึ่งเดียว: Singularity) ระเบิดออกมาหรือแยกออกมานักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า การระเบิดครั้งใหญ่ (BIG BANG) การเกิดบิกแบงทำให้จักรวาลเริ่มต้น โดยเริ่มต้นจากศูนย์ตามทัศนะของวิทยาศาสตร์
จนกระทั่งเมื่อ ปีค.ศ. 1965 โดย นักวิทยาศาสตร์สองคนแห่ง Bell Lab ที่รัฐนิวเจอร์ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา คือ Penzia และ Wilson ทั้งสองได้ค้นพบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่กระจัดกระจายอยู่ในเอกภพ เป็นพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาตั้งแต่เอกภพพึ่งกำเนิดขึ้นมาไม่นานจากการระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งเรียกกันว่า Cosmic Microwave Blackground Radiation การค้นพบ Cosmic Microwave Blackground Radiationนั้น นอกจากจะเป็นการยืนยันความถูกต้องของทฤษฎีบิกแบงแล้ว การที่คลื่นไมโครเวฟนี้มีลักษณะเหมือนกันหมดจากทุกทิศทางที่ทำการตรวจวัด ยังเป็นการยืนยันว่าเอกภพเมื่อแรกเกิดนั้นมีลักษณะที่เกือบจะเป็นเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับหลักจักรวาล ที่กล่าวว่า เอกภพของเรามีลักษณะที่เหมือนกันหมดทุกๆตำแหน่งเสมือนเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ว่าเราจะมองไปยังทิศทางไหนก็ไม่เห็นความแตกต่าง
ภาพแสดง Cosmic Microwave Blackground Radiation
ซึ่งแสดงอุณหภูมิของเอกภพซึ่งใกล้เคียงกันในทุกๆจุด อุณหภูมิเฉลี่ยของเอกภพนั้นมีค่าประมาณ 2.7 เคลวิน ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่วัดได้นั้นต่างกันเพียงแค่ประมาณ 0.0001 เปอร์เซนต์ (สีแดงและสีน้ำเงินแสดงอุณหภูมิที่ต่างกันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากท้องฟ้า)
"และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นแต่ก่อนนี้ รวมติดเป็นอันเดียวกัน แล้วเราได้แยกมันทั้งสองออกจากกัน และเราได้ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตมาจากน้ำ ดังนั้นพวกเขาจะยังไม่ศรัทธาอีกหรือ" (อัลกุรอ่าน, 21:30)
เมื่อเราเปรียบเทียบข้อความในอายะฮที่ผ่านมาเข้ากับทฤษฎี Big Bang เราเห็นว่ามันสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ที่สุด เพียงแต่ทฤษฎี Big Bang ได้รับการนำเสนอในฐานะทฤษฎีที่ถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 นี้เอง
"และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นแต่ก่อนนี้ รวมติดเป็นอันเดียวกัน แล้วเราได้แยกมันทั้งสองออกจากกัน และเราได้ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตมาจากน้ำ ดังนั้นพวกเขาจะยังไม่ศรัทธาอีกหรือ" (อัลกุรอ่าน, 21:30)
เมื่อเราเปรียบเทียบข้อความในอายะฮที่ผ่านมาเข้ากับทฤษฎี Big Bang เราเห็นว่ามันสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ที่สุด เพียงแต่ทฤษฎี Big Bang ได้รับการนำเสนอในฐานะทฤษฎีที่ถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 นี้เอง
"หลังจากนั้นพระองค์ทรงบันดาลฟากฟ้า ในขณะที่มันเป็นหมอกเพลิง(อัดดุคอน)อยู่ และตรัส แก่มันทั้งสองว่าจงเกิดตามคำสั่งเถิด จะโดยสมัครใจหรือฝืนใจก็ตาม มันทั้งสอง กล่าวว่าเราทั้งสองเกิดโดยสมัครใจ" (อัลกุรอ่าน, 41:11)
ณ วันนี้มีความชัดแจ้งแล้วว่า ทฤษฎีบิกแบง ได้ล้มล้างความเชื่อเก่า ๆ และได้พิสูจน์แล้วว่า "จักรวาลเป็น "สิ่งที่ถูสร้างขึ้นจากความไม่มี" หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า มันถูกสร้างโดยพระเจ้านั่นเอง
"และพระองค์คือ ผู้ที่ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินด้วยความจริง และวันที่ พระองค์ตรัสว่า เจ้าจงเป็นขึ้น แล้วมันก็จะเป็นขึ้น พระดำรัสของพระองค์คือความจริง และอำนาจทั้งหลายนั้นเป็นของพระองค์ ในวันที่จะถูกเป่าเข้าไปในแตร พระผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับ และในสิ่งเปิดเผย และพระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน" (อัลกุรอ่าน, 6:73)
และพระองค์ได้กล่าวเตือนแก่บรรดาผู้ปฎิเสธศรัทธา ว่า
"และพวกเขาได้ปฏิเสธมันอย่างยุติธรรมและเย่อหยิ่ง ทั้ง ๆ ที่จิตใจของพวกเขาเชื่อมั่นมัน ดังนั้นจงดูเถิดว่า บั้นปลายของบรรดาผู้บ่อนทำลายนั้นจะเป็นเช่นไร ?" (อัลกุรอ่าน, 27:14)
ขอบคุณ www.muslimthai.com